ไม่ควรอึดอัดใจ ถ้าสอนธรรมะใครแล้วเขาไม่เอา
#1
โพสต์เมื่อ 30 August 2008 - 07:46 PM
อรรถกถา การันทิยชาดก
ว่าด้วย การทำที่เหลือวิสัย
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอโก อรญฺเญ ดังนี้.
ได้ยินว่า พระเถระให้ศีลแก่คนทุศีลทั้งหลาย มีพรานเนื้อและคนจับปลาเป็นต้น ที่ผ่านๆ มา ซึ่งท่านได้พบได้เห็นเท่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงถือศีล ท่านทั้งหลายจงถือศีล.
ชนเหล่านั้น มีความเคารพในพระเถระ ไม่อาจขัดขืนถ้อยคำของพระเถระนั้น จึงพากันรับศีล ก็แหละครั้นรับแล้วก็ไม่รักษา คงกระทำการงานของตนๆ อยู่อย่างเดิม
พระเถระเรียกสัทธิวิหาริก(ลูกศิษย์)ทั้งหลายของตนมาแล้วกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย คนเหล่านี้รับศีลในสำนักของเรา ก็แหละครั้นรับแล้วก็ไม่รักษา. สัทธิวิหาริกทั้งหลายกล่าวว่า ท่านขอรับ ท่านให้ศีลโดยความไม่พอใจของชนเหล่านั้น พวกเขาไม่อาจขัดขืนถ้อยคำของท่านจึงรับเอา ตั้งแต่นี้ไป ขอท่านอย่าได้ให้ศีลแก่ชนทั้งหลายเห็นปานนี้.
พระเถระไม่พอใจต่อถ้อยคำของสัทธิวิหาริก.
ภิกษุทั้งหลายได้สดับเรื่องราวนั้นแล้วก็สนทนากันขึ้นในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ยินว่า พระสารีบุตรให้ศีลแก่คนที่ท่านได้ประสบพบเห็นเท่านั้น.
พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไรหนอ เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบว่า เรื่องชื่อนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระสารีบุตรนี้ก็ให้ศีลแก่คนที่ตนได้ประสบพบเห็นซึ่งไม่ขอศีลเลย แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลพราหมณ์ เจริญวัยแล้ว ได้เป็นอันเตวาสิกผู้ใหญ่ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกศิลา ชื่อว่าการันทิยะ.
ครั้งนั้น อาจารย์นั้นให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็นมีชาวประมงเป็นต้นผู้ไม่ขอศีลเลยว่า ท่านทั้งหลายจงรับศีล ท่านทั้งหลายจงรับศีล ดังนี้.
ชนเหล่านั้นแม้รับเอาแล้วก็ไม่รักษา อาจารย์จึงบอกความนั้นแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย อันเตวาสิกทั้งหลายจึงพากันกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านให้ศีลโดยความไม่ชอบใจของชนเหล่านั้น เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงพากันทำลายเสีย จำเดิมแต่บัดนี้ไป ท่านพึงให้เฉพาะแก่คนที่ขอเท่านั้น อย่าให้แก่คนที่ไม่ขอ.
อาจารย์นั้นได้เป็นผู้วิปฏิสารเดือดร้อนใจ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ยังคงให้ศีลแก่พวกคนที่ตนได้ประสบพบเห็นอยู่นั่นแหละ.
อยู่มาวันหนึ่ง มนุษย์ทั้งหลายมาจากบ้านแห่งหนึ่ง เชิญอาจารย์ไปเพื่อการสวดของพราหมณ์. อาจารย์นั้นเรียกการันทิยมาณพมาแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพ่อ ฉันจะไม่ไป เธอจงพามาณพ ๕๐๐ นี้ไปในที่สวดนั้น รับการสวดแล้ว จงนำเอาส่วนที่เขาให้เรามา ดังนี้ แล้วจึงส่งไป.
การันทิยมาณพนั้นไปแล้วกลับมา ในระหว่างทาง เห็นซอกเขาแห่งหนึ่งจึงคิดว่า อาจารย์ของพวกเราให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็น ซึ่งไม่ขอศีลเลย จำเดิมแต่บัดนี้ไป เราจะทำอาจารย์นั้นได้ให้ศีลเฉพาะแก่พวกคนที่ขอเท่านั้น เมื่อพวกมาณพนั้นกำลังนั่งสบายอยู่ เขาจึงลุกขึ้นไปยกศิลาก้อนใหญ่โยนลงไปในซอกเขา โยนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นแหละ.
ลำดับนั้น มาณพเหล่านั้นจึงลุกขึ้นพูดกะการันทิยมาณพนั้นว่า อาจารย์ ท่านทำอะไร. การันทิยมาณพนั้นไม่กล่าวคำอะไรๆ มาณพเหล่านั้นจึงรีบไปบอกอาจารย์
อาจารย์มาแล้ว เมื่อจะเจรจากับการันทิยมาณพนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ท่านผู้เดียวรีบร้อน ยกก้อนหินใหญ่ กลิ้งลงไปในซอกเขาในป่า ดูก่อนการันทิยะ จะประโยชน์อะไรแก่ท่าน ด้วยการทิ้งก้อนหินลงในซอกเขาเล่านี้หนอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกนุ ตวยิธตฺโถ ความว่า ประโยชน์อะไรหนอ ด้วยการที่ท่านทิ้งศิลาลงในซอกเขานี้.
การันทิยมาณพนั้นได้ฟังคำของอาจารย์นั้นแล้ว ประสงค์จะท้วงอาจารย์ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ลงจักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ ซึ่งมีมหาสมุทรสี่เป็นขอบเขต ให้ราบเรียบเพียงดังฝ่ามือ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ทิ้งหินลงในซอกเขา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหํ หิมํ ความว่า ก็ข้าพเจ้าเกลี่ยหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ลง จักกระทำแผ่นดินใหญ่นี้ให้ราบเรียบ. บทว่า สาครเสวิตนฺตํ ได้แก่ อันสาครทะเลใหญ่บรรจบแล้ว มีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นที่สุด. บทว่า ยถาปิ ปาณิ ความว่า เราจักกระทำให้ราบเสมอดังฝ่ามือ. บทว่า วิกีริย แปลว่า เกลี่ยแล้ว. บทว่า สานูนิ จ ปพฺพตานิ ได้แก่ ภูเขาดินและภูเขาหิน.
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
ดูก่อนการันทิยะ เราเห็นว่า มนุษย์คนเดียว ย่อมไม่สามารถจะทำแผ่นดินให้ราบเรียบดังฝ่ามือได้ ท่านพยายามจะทำซอกเขานี้ให้เต็มขึ้น ท่านก็จักละชีวโลกนี้ไปเสียเปล่าเป็นแน่.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า กรณายเมโก นี้ ท่านแสดงว่า คนผู้เดียวไม่อาจกระทำได้ คือไม่สามารถจะกระทำได้.
บทว่า มญฺญามิมญฺเญว ทรึ ชิคึสํ ความว่า เราย่อมสำคัญว่า แผ่นดินจงยกไว้ก่อนเถิด ซอกเขานี้เท่านั้น ท่านพยายามเพื่อต้องการจะทำให้เต็มขึ้น เที่ยวแสวงหาหินทั้งหลายมา คิดค้นหาอุบายอยู่นั่นแล จะละคือจักละชีวโลกนี้ไป อธิบายว่า จะตายเสียเปล่า.
มาณพได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
ข้าแต่ท่านพราหมณ์ หากว่า มนุษย์คนเดียว ไม่สามารถจะทำแผ่นดินใหญ่นี้ให้ราบเรียบได้ ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์เหล่านี้ผู้มีทิฐิ(ความคิดเห็น)ต่างๆ กันมาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
คำที่เป็นคาถานั้นมีความว่า ถ้ามนุษย์คนเดียวนี้ ไม่อาจ คือไม่สามารถทำแผ่นดิน คือปฐพีใหญ่นี้ให้ราบเรียบ ฉันใด ท่านก็จักนำมนุษย์ทุศีลผู้มีความคิดเห็นต่างกันมาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน
คือท่านกล่าวกะมนุษย์เหล่านั้นว่า พวกท่านจงรับศีล จักนำมาสู่อำนาจของตนไม่ได้ฉันนั้น ด้วยว่าคนที่เป็นบัณฑิตเท่านั้น ย่อมติเตียนปาณาติบาตว่าเป็นอกุศล ส่วนคนพาลไม่เชื่อสังสาระ เป็นผู้มีความเข้าใจในเรื่องนั้นว่าเป็นกุศล ท่านจะนำคนเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน เพราะฉะนั้น ท่านอย่าให้ศีลแก่คนที่ได้ประสบพบเห็น จงให้แก่คนที่ขอเท่านั้น.
อาจารย์ได้ฟังดังนั้นคิดว่า การันทิยะพูดถูกต้อง บัดนี้ เราจักไม่กระทำอย่างนั้น
ครั้นรู้ว่าตนผิดแล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :-
ดูก่อนการันทิยะ ท่านได้บอกความจริงโดยย่อแก่เรา ข้อนี้เป็นอย่างนั้นจริง แผ่นดินนั้นมนุษย์ไม่สามารถจะทำให้ราบเรียบได้ ฉันใด
เราก็ไม่อาจทำมนุษย์ทั้งหลายให้มาอยู่ในอำนาจของเราได้ ฉันนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมายํ ตัดเป็น สมา อยํ.
อาจารย์ได้ทำความชมเชยมาณพอย่างนี้. ฝ่ายมาณพนั้นท้วงอาจารย์นั้นแล้ว ตนเองก็นำท่านไปยังเรือน
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
พราหมณ์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
ส่วนการันทิยบัณฑิตในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาการันทิยชาดกที่ ๖
การันทิยชาดก
http://84000.org/tip....php?b=27&i=727
เครดิต SpiritWithin_HolyStream
#2
โพสต์เมื่อ 30 August 2008 - 10:47 PM
#3
โพสต์เมื่อ 31 August 2008 - 02:18 AM
บางครั้งเราก็ทำเป็นดูคนเดียว แต่เปิดเสียงดังให้เขาได้ยิน เรื่องราวก็จะเข้าหูเขาเองครับโดยที่เขาไม่รู้ตัว
ก็ บอก ๆ อธิบายให้เขาฟังไปแหละครับ ไม่ต้องคิดไรมาก แล้วเขาจะคิดได้ทีหลังเอง ตอนนี้เขาเล่าให้คนอื่น
ฟังคล่องเชียว
อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
ยืนยันตัวจริงเสียงจริงเจ้าของกรณีศึกษากฎแห่งกรรม
http://video.dmc.tv/programs/life_in_samsara/page5.html
หนังสือเรียนธรรมะ DOU http://book.dou.us/d...ya-book-gl.html
GL 101 จักรวาลวิทยา http://book.dou.us/gl101.html
GL 102 ปรโลกวิทยา http://book.dou.us/gl102.html
GL 203 กฎแห่งกรรม http://book.dou.us/gl203.html
GL 305 ปฏิปทามหาปูชนียาจารย์ http://book.dou.us/gl305.html
#4
โพสต์เมื่อ 12 September 2008 - 11:42 PM
#5
โพสต์เมื่อ 13 September 2008 - 07:32 PM