การมีภรรยามากกว่า 1 คน แต่ทุกคนในครอบครัวและในสังคมของเขายอมรับ ถือว่าผิดศีลหรือเปล่า
#1
โพสต์เมื่อ 10 April 2006 - 12:25 PM
#2
โพสต์เมื่อ 10 April 2006 - 08:55 PM
#3
โพสต์เมื่อ 10 April 2006 - 09:37 PM
ถึงได้ให้มีภรรยาได้แค่คนเดียว
สงสัยสมัยนี้นะคนใหญ่คนโตมักมีบริวารหลายคน เป็นเมียก็หลาย ๆ คน อย่างนี้
เรียกว่าบริวารทรัพย์หรือเปล่านะ ผู้หญิงเหล่านั้นก็เต็มใจเองด้วย
#4
โพสต์เมื่อ 10 April 2006 - 11:49 PM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#5
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 12:19 AM
มันเป็นวิบากกรรมของเขา
ที่ต้องเป็นเช่นนั้นเอง
( น่าจะนะ )
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#6
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 01:57 AM
ตอบ ขอมองต่างมุมนิดนึงนะครับ ผมคิดว่าไม่ผิดศีลครับ เพราะคำว่าศีล หมายถึงการระงับความชั่วทางกายเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ไปก่อกรรมกับบุคคลอื่นๆ กรณีศีลข้อที่ 3 ในระดับเบื้องต้นนั้นท่านหมายเอาเฉพาะการไม่ไประเมิดความรักของบุคคลอื่นที่มีเจ้าข้าวเจ้าของแล้วเท่านั้นครับ ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ใช่การหลอกลวงเพื่อให้อีกฝ่ายตกเป็นภรรยาแล้ว เกิดจากความยินยอมพร้อมใจกันทั้งของภรรยา 1 2 3 4 และผู้เป็นสามีว่าจะปรองดองกันรักใคร่กันก็ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อที่ 3 ครับ
เหมือนอย่าง ร.5 พระองค์ทรงมีมเหษีและสนมมากมายที่เกิดจากการที่ข้าราชบริภารถวายให้มารับใช้ก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดศีลครับ เพราะไม่ได้ไปใช้อำนาจบังคับ หรือกลอุบายหลอกลวงใคร และไม่ได้ไปละเมิดความรักของผู้ใดก็ไม่ถือว่าผิดครับ
หรือยกตัวอย่างเทวดา 1 องค์มีนางฟ้าเป็นบริวารเป็นร้อยๆ หรือเป็นพันๆ องค์ถามว่าเทวดามีนางฟ้าเป็นเป็นบริวารหรือเป็นเมียมากๆ หนะผิดศีลไหม ก็ต้องตอบว่าไม่ผิดครับเพราะเทวดานั้นไม่ได้หลอกลวงความรักของผู้ใด และไม่ได้ละเมิดความรักของผู้อื่นที่เขาเป็นเจ้าของแล้วครับ
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในแต่ละชาติถ้าสมมุติเกิดมา 500 ชาติ มีภรรยา 500 คน สมมุติว่าทุกคนตายไปแล้วไปเกิดที่จาตุมหาราชิกาหมดถามว่าการที่เทวดามีเมียเยอะบนสวรรค์ถึง 500 เท่ากับเป็นการผิดศีลไหมหละครับ???
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#7
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 02:25 AM
"อคมนิยวัตถุหรืออคมนิยฐาน" คือ วัตถุอันไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง ๒o ประเภท (ในที่นี้หมายเอา หญิงหรือชายที่ไม่ควรเกี่ยวข้องและเสพเมถุนธรรมด้วย) มีดังนี้
อคมนิยวัตถุ ๒o ประกอบด้วยหญิงหรือชายที่
๑) มีมารดาปกครอง เพราะบิดาตายและ/หรือแยกจากกันไป
๒) มีบิดาปกครอง เพราะมารดาตายและ/หรือแยกจากกันไป
๓) อยู่ในปกครองของทั้งบิดาและมารดา
๔) มีพี่สาวหรือน้องสาว ดูแลรักษา
๕) มีพี่ชายหรือน้องชาย ดูแลรักษา
๖) มีญาติเป็นผู้ปกครอง
๗) มีบุคคลในวงศ์ตระกูลหรือเชื้อชาติเดียวกันเป็นผู้ปกครองดูแล อาทิ คนที่ไปอยู่ต่างประเทศซึ่งต้องอยู่ในความดูแลของสถานฑูต
๘) มีหัวหน้าเป็นผู้ปกครอง อาทิ อยู่ในเพศพรหมจรรย์ แล้วมีหัวหน้าสำนัก/เจ้าอาวาสเป็นผู้ดูแลรักษา
๙) ผู้มีอำนาจจองตัวไว้
๑o) มีผู้หมายมั่นไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรือมีคู่หมั้นแล้ว
๑๑) เป็นผู้ถูกผู้อื่นซื้อหรือถูกไถ่ตัวไว้แล้ว โดยหญิงหรือชายผู้ถูกซื้อ/ไถ่ตัวนั้น ยินยอมให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ครอบครอง
๑๒) เป็นผู้สมัครใจไปอยู่เป็นสามีภรรยากับผู้อื่นอยู่ก่อนแล้ว
๑๓) เป็นฝ่ายยินยอมเป็นสามีภรรยาของผู้อื่น ด้วยปรารถนาทรัพย์ศฤงคาร
๑๔) เป็นฝ่ายยินยอมเป็นสามีภรรยาของผู้อื่น ด้วยปรารถนาเครื่องนุ่งห่ม
๑๕) แต่งงาน (โดยผ่านการประกอบพิธีแล้ว)
๑๖) เป็นสามีภรรยาของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือให้พ้นจากความยากลำบาก
๑๗) เป็นเชลยของผู้อื่น และตกไปเป็นภรรยา/สามีของผู้เป็นเจ้าของเชลยนั้น
๑๘) เป็นลูกจ้าง และตกเป็นภรรยา/สามีของนายจ้าง
๑๙) เป็นทาส และตกเป็นภรรยา/สามีของเจ้าของทาส
๒o) เป็นภรรยา/สามีชั่วคราวของผู้ว่าจ้าง
จากอคมนิยวัตถุดังกล่าวมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอยู่ว่า บุคคลประเภทที่ ๑-๘ หากยังมิได้เป็นภรรยา/สามีของผู้ใด ตนเองย่อมมีสิทธิในร่างกายของตน หากยินยอมมอบกายให้เป็นภรรยา/สามีแก่ผู้ใด ไม่ถือเป็นการก้าวล่วงกรรมบถ แต่ทั้งนี้อาจมีโทษถูกทางโลกตำหนิติเตียน (ที่เรียกกันเป็นภาษาพระว่า "โลกวัชชะ") ให้เป็นที่อับอายและนำมาซึ่งความโทมนัส คับแค้นใจมาสู่ตน ทำให้จิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส เมื่อละโลกนี้ไปแล้วย่อมเข้าสู่กำเนิดแห่งจตุรบายภูมิทั้ง ๔ มีอบาย (กำเนิดแห่งสัตว์เดรัจฉาน) ทุคติ (กำเนิดในเปตติวิสยภูมิ) วินิบาต (กำเนิดแห่งอสุรกาย) นรก (กำเนิดในนิรย/นรกภูมิ) เป็นต้น สำหรับผู้ที่เป็นฝ่ายล่วงเกินในบุคคลทั้ง ๘ จำพวกดังกล่าวข้างต้น โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้ยินยอมนั้น ถือเป็นการก้าวล่วงกรรมบถทั้งสิ้น
สำหรับชายหรือหญิงซึ่งเป็นบุคคลในประเภทที่ ๙-๒o ถือว่าเป็นผู้มีภรรยาและสามีแล้ว หากนอกใจคู่ครองของตนแม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว (แม้ในสัตว์เดรัจฉานก็ให้ล่วงประเวณีไม่ได้ ดังตัวอย่างของพระนางมัลลิกาเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งได้ล่วงกรรมบถข้อนี้กับสุนัขเพศผู้ในห้องน้ำ เมื่อทำกาละแล้วได้ไปบังเกิดใน "อเวจีมหานรก" เป็นเวลา ๗ วันในเมืองมนุษย์ โดยกุศลกรรมที่พระนางได้ทรงกระทำบำเพ็ญไว้อย่างมากมายเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ยังมิอาจทัดทานได้) อีกทั้งมีจิตกำหนัดยินดีและยินยอมให้ผู้อื่นล่วงเกินด้วยแล้ว ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม เป็นอันได้ล่วงกาเมสุมิจฉาจารทั้งสิ้น ในกรณีที่เป็นหญิงนครโสเภณี/หญิงงามเมืองนั้น เมื่อมีผู้จองตัวโดยชำระเงินไว้ก่อนแล้ว แต่ยังมิได้ประกอบกามกิจให้สำเร็จลง และในระหว่างนั้น หากได้ไปรับสินจ้างและยินยอมให้ผู้อื่นร่วมประเวณีด้วยแล้ว ก็ถือว่าล่วงกาเมสุมิจฉาจารเช่นเดียวกัน
#8
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 04:50 AM
#9
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 03:28 PM
ใจจริงดิฉันรู้สึกว่าไม่น่าจะผิดศีลอย่างที่คุณ xlmen กล่าวไว้ แต่ก็ห่วงเรื่องความน้อยใจระหว่างภรรยาคนที่ 1, 2, 3, 4 อย่างที่คุณท่านอื่น ๆ กล่าวไว้ เพราะคิดว่าน่าจะมีแน่ ๆ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม และเหตุนี้อาจทำให้เกิดวิบากได้
เหตุที่ถามคำถามนี้ก็เพราะว่าคุณตาทวดของดิฉันมีภรรยาหลายคนค่ะ ท่านเป็นผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ในสมัยก่อนนี้ ก็เลยมีภรรยาหลายคน (คนโน้นก็ยกให้ คนนี้ก็ยินยอมพร้อมใจ อะไรทำนองนี้) และก็พอทราบมาว่าคุณยายทวดแม้จะไม่ว่าอะไรเพราะสมัยนั้นผู้ชายมีภรรยาได้หลายคน แต่ว่าคุณยายทวดก็มีอาการน้อยใจเป็นบางคราวที่คุณตาทวดท่านเห็นด้วยกับภรรยาน้อยมากกว่าตน
สงกรานต์นี้จะไปทำบุญให้แก่บรรพบุรุษที่ต่างจังหวัด ก็เลยนึกถึงท่านขึ้นมาค่ะ จะได้เตรียมอธิษฐานให้ถูก ขอบคุณค่ะ
#10
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 05:41 PM
มากคน มากความ มากคน มากกาม
เสียเวลานั่งภาวนาดีกว่า สุขกว่ากันเยอะเลย
มีมาก มีไว้ทำอะไรหนอ อีกหน่อยมีลูก
จะตอบลูกว่าอย่างไร ว่าพ่อมี ภรรยากี่คน
#11
โพสต์เมื่อ 11 April 2006 - 09:28 PM
แต่โดยส่วนใหญ่ ภรรยาที่ไหนจะไปยินดีให้สามีมีภรรยาน้อยละครับ
ดังสุภาษิตไทยที่ว่า "เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร" ถ้าภรรยาไม่ยินยอมก็ถือว่าผิดศีลครับ เพราะนอกใจ
#12
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 10:51 AM
คือถ้าภรรยารู้เห็นเป็นใจ และสามีดูแลบุตรและภรรยาทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ผิดศีล แต่ผิดทำนองคลองธรรม และทำให้เป็นผู้มักมากในกาม ทำให้ห่างไกลจากหนทางพระนิพพานค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 08:19 PM
#14
โพสต์เมื่อ 12 April 2006 - 11:45 PM
เหมือนอย่าง ร.5 พระองค์ทรงมีมเหษีและสนมมากมายที่เกิดจากการที่ข้าราชบริภารถวายให้มารับใช้ก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดศีลครับ เพราะไม่ได้ไปใช้อำนาจบังคับ หรือกลอุบายหลอกลวงใคร และไม่ได้ไปละเมิดความรักของผู้ใดก็ไม่ถือว่าผิดครับ
เห็นด้วยกับคุณXLmen ค่ะว่าไม่ผิดว่าแนไปเช่นนั้น แต่ถ้าหากเป็นการละเมิดแน่นอนว่าผิด หรือหากทำให้เกิดความลำเอียง แม้นว่าจะด้วยไม่ตั้งใจ และไม่รู้ตัว ทำให้เป็นทุกข์ใจใครเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ ย่อมต้องติดบาป ถูกการจองเวร จะต้องรับกรรมในชาติใดชาติหนึ่งค่ะ
ส่วนภรรยาถ้าเบื่อหน่ายในการที่สามีมีหลายภรรยา หากทำบุญปล่อยสัตว์ ถือศีล 8 ทำภาวนา ไม่จองเวรกลับ แล้วอธิษฐานให้พ้นกรรมส่วนนี้ย่อมทำได้ค่ะ แต่ถ้ายังมีความรักยึดติดบุคคลนั้น ยินดียินร้าย ไม่ทำบุญ จองเวร ก็ยังติดอยู่ในบ่วงกรรมต่อไปค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 13 April 2006 - 01:38 AM
ใครสนใจเป็นโสดแบบไม่สดแบบผมก็ได้นะครับ 555+
****ถึงจะไม่ผิดศีล แต่คุณธรรมก็ไม่งามไม่เบ่งบานในจิตใจครับ ดังนั้นที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์
ยิ่งมากรัก ก็ยิ่งมากน้ำตา รักมากห่วงมาก หวงมาก หึงมาก ****
****ไอ้ที่อยากเขาก็หลอก ไอ้ที่หยอกเขาก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย
เลิกอยากลาหยอกรีบออกจากกามเสร็จกิจ 16 ไม่ตกกันดานหรือจะเรียกนิพพานก็ได้****
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#16
โพสต์เมื่อ 15 April 2006 - 09:12 AM
สรุปว่า ไม่ต้องไปมี เป็นดีที่สุด มีบุญจริง เดี๋ยวก็มีคนช่วยเหลือ มีคนค้ำจุน ยามเราแก่ชราเองล่ะ
เพราะถ้าเราแก่อย่างมีคุณค่า ใครๆ ก็อยากดูแล... เย้...........
#17
โพสต์เมื่อ 21 April 2006 - 01:40 PM
งั้ยมาลงเอยที่ "อยู่คนเดียวถ้ามันดีกว่า"
อ้อ อันคือสัจจธรรมสินะ
ลงคะแนนเพิ่มให้อีก 1 คนค่ะ ว่าอยู่เป็นโสดดีซู้ดเลย
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#18
โพสต์เมื่อ 11 May 2006 - 03:34 PM
เพราะเคยได้ยินเหมือนกัน จาก case study ครับ
#19
โพสต์เมื่อ 21 January 2008 - 05:44 PM
เพราะความกลัวว่าสามีจะไม่รักเรา ถึงมีก็มีมากกว่าน้อยกว่า
มีใครทนได้ล่ะ ที่มีการจัดอันดับ รักอันดับ 1 -1... เราจะอยู่อันไหน ใครๆก็อยากเป็น 1 ไม่มีใครอยากเป็น 2หรือที่เท่าไรก็ไม่รู้