อยากปรึกษา พูดคุย เรื่อง วิชชาธรรมกาย กับเพื่อนๆ ทาง MSN ครับ มีใครพอให้คำแนะนำได้บ้าง
#1
โพสต์เมื่อ 22 July 2006 - 04:38 PM
msn ผมนะครับ [email protected]
#3
โพสต์เมื่อ 22 July 2006 - 10:15 PM
ขอบุญ คุ้มครอง ผู้อยู่ในบุญ สา...ธุ
#4
โพสต์เมื่อ 23 July 2006 - 10:34 AM
ถ้าเกิดพลาดไป วิบากกรรมมันแรงงงงงงง+ นะครับ
#5
โพสต์เมื่อ 23 July 2006 - 05:47 PM
ถ้าเกิดพลาดไป วิบากกรรมมันแรงงงงงงง+ นะครับ
.................................................................
คงไม่ขนาดนั้นนะครับ
ถ้าเราพูดคุยกัน บนพื้นฐานที่มีศรัทธาที่มั่นคง ต่อมหาปูชนีย์ยาจารย์
และพูดคุยกันเพื่อปลูกฝังศรัทธา และแนวปฎิบัติจากผู้ที่มีประสบการณ์ภายใน
โดยเอามาเป็นฐานข้อมูลเพื่อฝึกการหยุด การนิ่ง ตามแนวทางคุณครูไม่ใหญ่
อย่างนี้จะเป็นบุญ เป็นกุศลมากครับ
แต่ถ้าพูดคุยกันบนพื้นฐานแห่งความลังเลสงสัย
และวิพากย์วิจารณ์ไปเพราะความไม่รู้
เพราะถูกอวิชชาครอบงำ อย่างนี้ลงมหานรกแน่นอนครับ...
โปรดใช้วิจารณญาณเลือกเอานะครับ
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#6
โพสต์เมื่อ 23 July 2006 - 11:35 PM
อาทิตย์ที่แล้วไปเดินร้านหนังสือเก่ามาค่ะ เจอหนังสือเล่มนึงชื่อว่า "ปราบมาร เล่ม 3" หน้าปกเป็นรูปของหลวงปู่ เขียนโดย นายการุณย์ บุญมานุช อดีตผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดจันทบุรี ปกในเขียนว่า ถ้าเราปราบ เรามีทางชนะ ถ้าไม่ปราบ มีแต่แพ้สถานเดียว หน้าแรกเป็นรูปหลวงปู่เขียนบรรยายใต้ภาพว่า พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อวัดปากน้ำ) ผู้ค้นพบวิชาธรรมกาย ผู้แรกเริ่มทำวิชาปราบมาร หน้าถัดมา เป็นรูป ดวงแก้วใสวางบนฐานไม้ มีคำบรรยายใต้ภาพว่า ดวงกายสิทธิ์ (ต้นปราบ) กายสิทธิ์ดวงนี้ เป็นที่ประทับอาศัยของจักรพรรดิภาคปราบ ทรงพระนามว่า "ต้นปราบ" พร้อมด้วยจักรพรรดิ "ตรีภพ" และ "หยกชมพู" และจักรพรรดิสำคัญอื่นๆ เป็นกองทัพปราบมาร
ในเล่มพูดถึง (ยกตัวอย่างเช่น)
วิชาปราบมาเป็นวิชาธรรมกายชั้นสูง
คุณของจักรพรรดิ
กายธรรมของหลวงพ่อ (หลวงปู่)
งานปราบมาร
หลักสูตรปราบมาร
การเดินวิชา
เป้าหมายของการเดินวิชา
และอื่นๆอีกมากมายค่ะ
อ่านไปได้นิดหน่อย ไม่กล้าอ่านต่อ เพราะไม่มั่นใจไงคะ เพราะไม่รู้ว่า "ควรอ่านหรือไม่"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ่านไปจนถึงตรงที่ว่า
การเดินวิชานั้นเดินอย่างไร เพราะมารมันหลอกได้เสมอ "เห็นอะไรแล้วอย่าเชื่อ ให้ตรวจสอบความถูกต้องเสียก่อน" เห็นหลวงพ่อก็อย่าเชื่อ เห็นพระพุทธองค์ก็อย่าเชื่อ เพราะมารเขาจำแลงกายมาให้เห็น เขาหลอกเราอย่างนี้มานับชาติไม่ถ้วนแล้ว เรานับถือใคร เขาจะเอาคนนั้นมาให้เห็น เราระลึกถึงใครเขาจะเอาผู้นั้นมาให้เห็น เราเกี่ยวข้องกับใครเขาจะเอามาให้เห็น
วิธีทำของเขาก็คือ เขาสอดละเอียดมาหยุดนิ่งที่ เห็น จำ คิด รู้ ของผู้นั้น แล้วเขาก็เอากายของเขาไว้ข้างใน เห็น จำ คิด รู้ ของผู้ใด ก็จะเป็นรูปร่างของเขาผู้นั้น ความรู้เรื่องนี้มีอยู่ว่า เห็น จำ คิด รู้ ทั้ง 4 นี้ รวมกันเข้าเป็นกาย 1 กาย เห็น จำ คิด รู้ ของใคร ก็เป็นกายของเขาผู้นั้น
วิธีตรวจสอบก็คือ เราพุ่งกายของเราเข้าไปในกายที่เราพบที่เราเห็น อธิษฐานเครื่องแลบ ลั่น ย่อย แยก ดับ ละลาย ไปจนสุดกายหยาบสุดกายละเอียด ถ้าเป็นของจริง กายที่เราพบเห็นจะขาวใส แต่ถ้าเป็นกายที่มารเขาหลอกเรา เราเดินวิชาไปไม่ทันสุดละเอียด กายนั้นจะหายไปเฉยๆ เราก็รู้ว่า นี่มารเขาหลอก..........
แล้วก็เป็นขั้นตอนการเดินวิชาตรวจสอบซึ่งยากมากๆอ่านแล้ว..............???????
แล้วจะยังไงดีล่ะคะทีนี้ แต่ก็ยังคงนั่งสมาธิต่อไปอยู่นะคะ ไม่ได้คิดกลัวว่าจะไปเข้าทางของใคร ที่มาดักไว้เพื่อหลอกให้เราหลงไหลกับกายที่จำแลงมาให้เราดีใจว่าเห็นนั่นเห็นนี่ แล้วอย่างนี้จะขอความรู้จากท่านผู้รู้ได้มั๊ยคะว่าเรื่องที่อ่านมาเนี่ย ใช่หรือเปล่าคะ จะได้ระวังไม่ดีใจเกินไปหากนั่งแล้วเห็นอะไรที่เราอยากเห็น
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#7
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 08:16 AM
เหมือนที่เจ้าชายสิทธัตถะแสวงหาสัจธรรมในสำนักอาจารย์ต่าง ๆ พระองค์ก็ไม่ได้มีอคติว่าสำนักนั้น สำนักนี้ พระองค์ทรงลองทุกวิถีทางและลองอย่างสุด ๆ คือไม่มีใครในสำนักนั้น ๆ ทำได้มากกว่าพระองค์อีกด้วย แต่เพราะความที่พระองค์เป็นคนจริง มีความตั้งใจที่จะหาของจริง ไม่ได้หลงติดกับทางเหล่านั้นว่าตัวเองทำได้ดีแล้วเลยไม่ยอมแสวงหาต่อ พระองค์ยังคงเห็นว่านั่นยังไม่ใช่ทาง และแสวงหาต่อไปจนเจอในที่สุด ทางที่ไม่มีทางอื่นอีกต่อไป ทางสายเอกสายเดียวคือทางสายกลางนั่นเองครับ
เส้นทางเดินมีแล้ว แต่เรายังขาดความตั้งใจจริงกันอยู่ ทำแบบทีเล่นทีจริงเลยไม่ได้อะไร เบื่อ ๆ อยาก ๆ แล้วก็เลยอยากหาอะไรใหม่ ๆ ไม่เคยทำจริงสักที ชีวิตนี้เลยเอาดีอะไรไม่ได้ หลวงปู่วัดปากน้ำบอกว่า ต้องจริงแค่ชีวิตครับ
#8
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 09:37 AM
อย่างที่คุณยายอาจารย์เคยฝากไว้กับบางท่าน
"คุณไปทำหยุดทำนิ่งให้ได้ก่อนเถอะ"
ครูไม่ใหญ่เสริมว่า ถ้าหยุดใจยังไม่ได้มันจะเลอะ ๆ เทอะ ๆ ครับ
จะเรียน Advance
Basic ต้องแน่น และให้ได้ก่อนครับ ไม่ต้องใจร้อน
Basic = การหยุดใจ
Advance = วิชชาธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 09:40 AM
.
.
.
ในสมัยหลวงปู่วัดปากน้ำยังมีชีวิต ท่านก็ไม่ได้เอาตำราออกมาเผยแพร่แบบโจ่งครึ่ม
.
.
.
เพราะผู้ที่มีพื้นฐานความรู้ที่ไม่แน่นพอ ไปอ่านแล้วอาจจะเกิดความไขว้เขว หรืองุนงงได้
.
.
.
ที่สำคัญหนังสือปราบมารที่ออกวางขายตามท้องตลาดนั้นท่านผู้รู้จริงไม่รับประกันความถูกต้อง (ไม่อยากใช้คำว่าเพี้ยน)
#10
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 09:45 AM
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#11
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 11:28 AM
"63 กัณฑ์หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ" (ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ)
ถ้ารู้สึกว่าเล่มหนาไปสำหรับการเริ่มอ่าน ก็อ่าน
หนังสือรวมรวมคำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ , หนังสือประวัติหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฯ
ที่ทางมูลนิธิธรรมกายได้จัดพิมพ์มาหลายเล่มแล้วค่ะ
คำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านสอนให้ "หยุด เป็นตัวสำเร็จ"
เริ่มจากการนั่งสมาธิ ปฏิบัติด้วยตนเอง
วางใจที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 วางใจสบายๆ พร้อมสติ
หยุด นิ่ง เฉยไปเรื่อยๆ
เมื่อประกอบเหตุสมบูรณ์ ผลก็จะบังเกิดขึ้นมาเอง
เหมือนปลูกต้นกล้วย ย่อมได้ผลกล้วย, ปลูกต้นมะม่วง ย่อมได้ผลมะม่วง
......................................................
ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องอยากรู้ไปก่อน โดยการไปค้นอ่านหนังสือที่เล่าเรื่องที่ละเอียดเกินไป
เพราะการกระทำแบบนี้มักส่งผลให้ผู้อ่านอ่านแล้วเกิดความคาดคิด คาดหวัง
นั่งสมาธิ ก็จะนั่งไปนึกไป โดยกะว่า น่าจะเห็นอย่างนั้น อย่างนี้ เลยทำให้ใจไม่ใส เพราะมีความอยากอยู่ภายใน ใจเลยไม่สงบ
พอใกล้จะรวมก็นึกอีกแล้ว ว่าเดี๋ยวเราต้องเห็นอย่างนี้อย่างนั้น ....เอ๊ะ ทำไมไม่เห็นเรานั่งผิดวิธีหรือเปล่า
เอ๊ะ ทำไมเห็นอย่างนี้ละ หรือ...เอ...ทำไมไม่เห็นอะไรเลย
ถ้านั่งไปอย่างนี้ไปหลายวัน หลายสัปดาห์ หลายเดือน หลายปี อาจไม่ก้าวหน้า
ต้องหยุดอยากทุกอย่าง (รวมทั้งความอยากรู้) นั่งสมาธิอย่างถูกวิธี ปล่อยไปตามธรรมชาติของการนั่งสมาธิ
เด็กหลายคน เป็นเด็กในครอบครัวต่างศาสนา อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่พุทธเลย พระคือใคร ไม่รู้จัก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เด็กก็ไม่รู้จัก วิชชาคืออะไรไม่รู้จักมาก่อน(เรื่องเหล่านี้ผู้ใหญ่บางคนจะยังไม่สอนเด็กก่อน)
ตรงข้าม เด็กๆ กลับนั่งสมาธิได้ดี ได้ผลการปฏิบัติธรรมที่ดี
โดยที่ไม่เคยอ่านหนังสือพุทธศาสนา ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะ สวดมนต์ไม่เป็น
แต่พวกเขาเรียนรู้เรื่องราวธรรมด้วยการปฏิบัติธรรมจากภายใน
พวกเขาพบคำตอบ จากในกลางของตนเอง จากองค์พระภายในตัวของพวกเขา
รู้ได้โดยไม่ต้องอ่านหนังสือเหล่านั้น
......................................................
ยกตัวอย่างเรื่องจริง... เด็กหญิงคนหนึ่งประมาณ 4-5 ขวบ คุณยายมานั่งสมาธิประจำ
แต่วันนี้พ่อแม่และพี่เลี้ยงไม่อยู่เลยพาเด็กมาฝากคุณยายเลี้ยงในวันนี้ แล้วคุณยายก็เลยพาหลานมาวัดด้วย
เด็กเอาแต่ติดเล่น เล่นกอดตุ๊กตาที่เอามาด้วย
เธอมาวัดครั้งแรก ไม่คุยกับคนแปลกหน้า ไม่ยอมร่วมพิธี เอาแต่โกรธและร้องอยากกลับบ้าน ทำท่าก้าวร้าว
ร้องเสียงดังจนต้องพาไปนั่งห่างจากที่เขาปฏิบัติธรรมกัน
สงสารเด็ก เลยไปถามเด็กว่า "ดวงแก้วนี่นะ" (หยิบให้ดู) "ดูแล้วจำได้ไหม"
เด็กมองนิดนึงแล้วบอกว่า "ได้"
ก็พูดว่า "จำได้นะ เอางี้ นึกลูกแก้วนี้ไว้ในท้อง ทำได้ไหมล่ะ"
ชี้ไปที่ท้องเด็ก "นึกไว้ข้างในท้องน่ะ นึกไว้เรื่อยๆเลยนะ"
ทำท่าให้เด็กดู หลับตา เอามือประสานกัน แล้วชี้ไปที่ท้อง
(เด็กคงเบื่อๆ ที่นั่งอยู่คนเดียว เหมือนถูกทิ้ง พอมีคนมาคุยด้วยก็เลยทำตาม เด็กก็เลยนั่งที่เก้าอี้ หลับตา)
คนพูดก็เลยสบายแล้ว เด็กไม่ร้องรบกวนคนนั่งสมาธิแล้ว ก็เดินไปทำธุระแวบนึง
ผ่านไป 7-8 นาที แล้วเดินกลับมาดูว่าเด็กเดินไปที่ไหนหรือเปล่า
เห็นเด็กนั่งนิ่งๆ ลืมตาอยู่ที่เก้าอี้ พอเข้าไปถาม เป็นไงบ้าง
เด็กก็พูดคุยแบบสงบกว่าเมื่อก่อนนั่งสมาธิ แต่คราวนี้ลืมตาแล้ว
เด็กก็บอกว่า เห็นตัวเองตัวใหญ่มากเลย เอามือทำใหญ่ๆ เมื่อยิ้มให้เธอ เธอก็ยิ้มตอบ
"จริงเหรอ เธอตัวแค่นี้จะไปตัวใหญ่ได้ไง" เธอก็ตอบว่า "จริงๆนะ สูงขนาดนี้ " ชี้ไปที่ข้างบน
"แล้วก็เห็นพระ อายุมากแล้ว" เธอบรรยายลักษณะนักบวช "ชุดสีเหลืองๆ" "นั่งสมาธินิ่งๆ แต่ใหญ่กว่าตัวหนู หนูอยู่ในพระองค์นั้น"
ถามเธอว่า "พระองค์นั้น เธอรู้จักไหม"
เธอก็บรรยายแล้วก็บอกว่า "หน้าตาไม่เหมือนพระที่เธอเห็นในวันนี้ ใส่ชุดสีเหลืองเหมือนกัน แต่หน้าตาไม่เหมือนกัน"
เธอก็บอกว่า "เมื่อกี้นั่งนิ่งๆ แล้วมีความสุขมากเลย ดีค่ะ"
หน้าตาท่าทางเธอดูสงบอย่างที่เธอพูด ราวกับโตขึ้นอีก 5 ปี คือดูเรียบร้อยขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
เธอหันมองไปทางโน้น ทางนี้ แล้วเธอก็เดินไปดูตรงโน้นตรงนี้
ที่มีสื่อธรรมะ รูปหลวงพ่อธัมมชโย รูปบวชพระ หนังสือธรรมะต่างๆ
เธอชี้ไปที่ภาพหลวงพ่อวัดปากน้ำ "โอ นี่ไง นี่คือพระที่เห็นตอนนั่งหลับตาเมื่อกี้นี้ "
ถามเธอว่า "รู้จักไหม" เธอก็ส่ายหัว "ไม่รู้จัก" เธอก็ถามต่อว่า "พระองค์นี้อยู่ที่วัดนี้หรือเปล่าคะ"......
แล้วเธอก็ขอไปนั่งสมาธิกับคุณยายของเธอ
...............................................
เด็กๆ ที่มีผลการปฏิบัติธรรมที่ดี จะรักการนั่งสมาธิ
และจะพูดบรรยายถึงสมาธิได้เอง ดีอย่างไร โดยไม่มีใครไปบอกบทให้พูด
เด็กๆ พูดได้อย่างชัดเจน ไม่อ้อมค้อม เด็กไม่โกหกความรู้สึกของตัวเอง
ความใส ความอินโนเซ้นท์ ความที่ไม่มีข้อมูลใส่ตัวมาก่อน กลับทำให้เด็กนั่งสมาธิได้ดี
เพราะเด็กไม่ได้คาดหวังอะไร .....นึกดวงก็คือนึกดวง, นึกองค์พระก็คือนึกองค์พระ,
สบาย ก็คือสบาย, เฉยๆ ก็คือเฉยๆ ง่ายๆ แค่นี้เท่านั้น
..............................................
ธรรมะ คือของจริง ต้องปฏิบัติจริง จึงจะรู้ได้
หนังสือหรือเรื่องราวที่เล่าขาน อาจมีที่ถูก อาจมีที่ผิด
อาจผิดเพี้ยน ด้วยเพราะการรับรู้, เข้าใจ, การเล่า, การเรียบเรียง, การบันทึก, การผลิตพิมพ์ ที่บกพร่อง หรือด้วยเจตนาใดๆ ก็ตาม
แต่ถ้าเรานั่งสมาธิ ของเราเอง ศึกษาธรรมะด้วยตัวของเราเอง ดูภายในตัวของเรานี่ละ
(ครบสูตร กาลามสูตร เลย)
#12
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 12:14 PM
มากนักใหญ่โตมโหฬาร พูดหยุดให้ได้เสียก่อน
สรุปว่า ท่านให้หยุดใจให้ได้ก่อน
เป้าหมายขั้นแรก ดวงปฐมมรรคใส ๆ
#13
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 03:00 PM
ดังนั้น ก็คิดเอาเองละกันนะครับ ว่าไอ้ตำราต่างๆ ที่มีที่เห็น วางขายกันตามท้องตลาดน่ะ มันควรอ่านหรือไม่ และความถูกต้องมันมีแค่ไหน พิจารณาเอาเองครับ ผมเองบอกและเตือนได้เท่านี้แหละ
Someday I'm gonna be free.
#14
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 03:44 PM
น้าจี้
#15
โพสต์เมื่อ 24 July 2006 - 08:05 PM
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#16
โพสต์เมื่อ 25 July 2006 - 02:21 PM
สุดท้ายเราก็จูงมือกันไปฝึก
วิชชาธรรมกายจากพระอาจารย์ผู้รู้
#17
โพสต์เมื่อ 25 July 2006 - 11:09 PM
#18
โพสต์เมื่อ 26 July 2006 - 04:54 PM
ถ้าดีจริง วัดคงพิมพ์แจกไปแล้ว
#19
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 11:23 AM
#20
#21
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 09:38 PM
ครอบคลุมทุกอย่างแล้วครับ
#22
โพสต์เมื่อ 29 July 2006 - 08:14 PM
วิชาธรรมกายเป็นของกลาง ไม่จำกัดเฉพาะที่วัดนะครับ ความรู้ทำให้คนแตกต่างกัน หยุดในหยุด เดินวิชาต้องหมั่นทบทวนตำรา ความยากมันอยู่ตรงนี้ ไม่ทบทวนความรู้ก็เพี้ยน ใครเพี้ยนไม่เพี้ยน เถียงกันตายเลย
ไม่สังเกตบ้างเหรอ ว่าเป็นวิชาธรรมกายเหมือนกัน ทำไมรู้เห็นไม่เหมือนกัน เคยหาคำตอบไหม
ผมเข้าวัดมานาน ศึกษาไปเรื่อยๆ จนวันนี้ ยังศึกษาไม่หมดเลยครับ
#23
โพสต์เมื่อ 30 July 2006 - 07:48 PM
#24
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 03:30 PM
2.เรื่องหนังสือปราบมาร ของท่านศึกษาการุณย์เขียน ผมได้อ่านทั้ง 5 เล่มแล้วครับ( อ่านจาก http://www.###### ครับ)
2.1 สำหรับผมแล้ว ไม่ต้องการให้ผู้ศึกษาวิชชาธรรมกายแตกแยกกันเลยครับ ไม่อยากให้แบ่งฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ เพราะเราทุกคนกำลังเรียนตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน หรือเรียนรู้และปฏิบัติตามที่ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย(หลวงปู่สด)ท่านสอนไว้
2.2 ส่วนการปฏิบัติ ผลการปฏิบัติเป็นอย่างไร จะเหมือนหรือแตกต่างแบบไหน เมื่ออาจารย์ไม่อยู่แล้ว ผมไม่เห็นด้วยที่ศิษย์จะมาทะเลาะกัน
2.3 สำหรับผมในเรื่องหนังสือปราบมารทั้ง 5 เล่มนั้น อยู่เหนือขอบเขตปัญญาของตนในตอนนี้ โดยพยายามศึกษาให้ส่วนดีปรากฎ อธิบายส่วนไม่ดี ไม่ควร กำกับหรือแก้ไขไว้ เพื่อให้ผู้เป็นบัณฑิตที่ศึกษาในภายหลังต้องระวัง
2.4 สำหรับท่านอื่นที่ต้องการศึกษา ก็ขอให้ใช้ความระมัดระวัง และมีสติให้มากนะครับ
#25
โพสต์เมื่อ 15 March 2007 - 04:44 PM
#26
โพสต์เมื่อ 28 September 2007 - 07:59 PM
คำสอนของคุณครูไม่ใหญ่ประโยคหนึ่ง" บุคคลประเภทที่ไม่รู้จริง แล้วเอาธรรมะละเอียดมาอวดอ้าง เช่น ผู้ที่เขียนหนังสือ “ปราบมาร” จนทำให้อดีตสามเณรผู้อ่านหลงผิดนั้น จะทำให้มีวิบากกรรม คือ จะมีส่วนแห่งความเป็นบ้า ,
จิตจะวิปลาสแปรปรวนถึงขั้นเป็นจิตประสาท เมื่อตายแล้วก็จะไปอยู่ภพพิเศษที่ทุกข์ทรมานมากกว่าโลกันตนรกจ๊ะ "
อ้างอิงจาก
http://www.dmc.tv/pa...2549-08-28.html
#27
โพสต์เมื่อ 16 July 2008 - 12:22 PM
ห้ามคนอื่นอ่านก็แปลว่าอะไร อ่านหรือไม่อ่านใครได้ใครเสีย คนอ่านแล้วเขาได้ประโยชน์มีมากมาย คนที่ปัญญาไม่เข้มแข็งอ่านหนังสืออะไรก็หลงผิดไปเองได้ แต่คนมีปัญญาเขาไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน
ผมอ่านมาทั้ง 5 เล่มแล้ว ผมว่าน่าสนใจดี ความรู้ลึกซึ้งดี ไปถามพระบางองค์ยังไม่มีความรู้ที่จะตอบได้อย่างนี้เลย พอถามมากเข้าก็ขู่เราว่าเรื่องละเอียดเขาไม่พูดกัน แปลกทำไมท่านไม่พูดตรงๆ ว่าท่านเองไม่รู้เรื่องไม่มีความรู้ก็จบ