หลวงพ่อ ตอบปัญหา
เริ่มโดย Dd2683, Nov 29 2007 11:35 PM
มี 3 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 29 November 2007 - 11:35 PM
ทำไมวันแรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ พระองค์ทรงสามารถเปล่งวาจาได้ทันทีครับ
#2
โพสต์เมื่อ 30 November 2007 - 12:17 AM
เรื่องนี้ในพระไตรปิฎกได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า
เมื่อพระองค์ยืนได้ถนัดดีแล้ว ก็เปล่ง อาสภิวาจา คือพูดได้เลย ก็พระองค์ตรัสเอาไว้ว่า
ข้อความตรงนี้และเหตุการณ์ตรงนี้
ถ้าใครที่ไม่เคยให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องกันมา
ก็ยากที่จะยอมรับเหตุการณ์และข้อความตรงนี้ได้
ทำไม ?
เพราะเราไม่เคยเห็นมนุษย์ที่คลอดออกมาแล้วพูดได้ทันที ก็จะไปเห็นได้อย่างไร
เพราะในโลกนี้ คนที่มีบุญมีบารมีบริบูรณ์เต็มเปี่ยมล้นมีน้อย
ที่มีเยอะๆ มีแต่พวกไม่ค่อยจะมีบุญทั้งนั้น
คลอดออกมาแต่ละราย อ้าปากร้องจ๊ากออกมาทั้งนั้น
เพราะพอคลอดออกมาก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวร้องลั่นกันหมด
แต่ผู้มีบุญได้สั่งสมบุญบารมีมามาก
เพราะฉะนั้น ไม่เฉพาะอยู่ในครรภ์ก็นั่งทำสมาธิ คลอดออกมายืนได้
แต่ว่าพูดได้อีกด้วย
และข้อความที่พูดก็เป็นข้อความที่รู้ว่า
ตัวเองบังเกิดมาทำไม และมีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ณ ตรงนี้ต้องย้อนกลับไปดูในพระไตรปิฎกท่อนต้น
ก่อนที่จะกล่าวถึงการตั้งครรภ์ของพระพุทธมารดานี้
มีข้อความที่อยากจะฝากเอาไว้ให้พวกเราได้รับรู้คือ
ก่อนที่พระโพธิสัตว์จะเข้ามาอยู่ในครรภ์พุทธมารดานี้
พระองค์เป็นเทพบุตรหรือเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
ทำไมไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นนั้น
ก็อย่างที่รู้กันมาว่านักสร้างบารมีทั้งหลาย พอละโลกจากมนุษย์ไป เขาก็ไปอยู่กันที่นั่น
แม้แต่พวกเราที่นั่งอยู่ในสภาธรรมกายแห่งนี้
เมื่อตั้งใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้เต็มที่
ละโลกจากนี้แล้วสวรรค์ชั้นดุสิตก็สามารถเป็นที่อยู่ของเรา
และเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แตกต่างจากเทวดาชั้นอื่นๆ ตรงที่ว่า
ขณะที่เป็นเทวดาอยู่ก็นั่งสมาธิไม่ไปเที่ยวเอิกเกริกเฮฮาเหมือนเทวดาที่อื่น
เป็นเทวดานักนั่งสมาธิ กลั่นกายกลั่นใจให้ใสให้สว่างยิ่งขึ้นไป
และพระโพธิสัตว์ของเรานี้ เมื่อขณะที่อยู่ในภพดุสิตนี้
รัศมีสีสันของพระองค์ท่านสว่างไสวเหลือเกิน
สว่างไสวจนกระทั่งเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ เห็นความสว่างที่น่าอัศจรรย์
และเทวดาเหล่านั้นก็รู้ด้วยใจตัวเองอีกเหมือนกันว่า
เทวดาที่รัศมีสว่างๆ อย่างนี้ มีอยู่ประเภทเดียวคือ
ถ้าจะลงไปเกิดมนุษย์ครั้งนี้ ก็จะไปเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนชาวโลก
เพราะว่าบารมีของท่านเต็มเปี่ยมแล้ว คือทั้งให้ทาน ทั้งรักษาศีล ทั้งเจริญภาวนา
สร้างบารมีทั้ง ๑๐ ประการมาครบถ้วนดีแล้ว จนกระทั่งใจทั้งใสทั้งสว่าง
ใจสว่างขนาดไหน ?
สว่างยิ่งกว่าเอาดวงอาทิตย์มาเรียงเป็นดวงๆ เต็มท้องฟ้า
เพราะฉะนั้น ขณะที่อยู่บนสวรรค์นั้น ความสว่างในใจของท่านมาก
จนกระทั่งความสว่างมันทะลุผิวกายออกมา กลายเป็นรัศมีทีเดียว
สว่างจนกระทั่งเทวดาทั้งหลายมองเห็นว่าสว่างเป็นพิเศษ
และสว่างอย่างนี้คือผู้มีบารมีแก่กล้าพร้อมจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
แล้วเทพบุตรพระโพธิสัตว์ก็รู้ด้วยว่า
เรานี้เตรียมตัวจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าสู่ครรภ์พุทธมารดาก็ตรึกนึกอยู่ถึงหน้าที่สำคัญของพระองค์ว่า
จะต้องมารื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทะเลทุกข์
เมื่อพระองค์ยืนได้ถนัดดีแล้ว ก็เปล่ง อาสภิวาจา คือพูดได้เลย ก็พระองค์ตรัสเอาไว้ว่า
“เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก
เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่เราอีกแล้ว”
เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย
บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่เราอีกแล้ว”
QUOTE
หมายเหตุ ***
อาสภิวาจา
วาจาแสดงความเป็นผู้องอาจ, วาจาองอาจ คือ
คำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลก
ตามเรื่องว่าพระมหาบุรุษเมื่อประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา
ย่างพระบาทไป ๗ ก้าวแล้วหยุดยืนตรัสอาสภิวาจาว่า
อคฺโคหมสมิ โลกสฺส
เราเป็นผู้เลิศเป็นยอดแห่งโลก
เชฏฺโหมสฺมิ โลกสฺส
เราเป็นผู้เจริญผู้ใหญ่แห่งโลก
เสฏฺโ-หมสฺมิ โลกสฺส
เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก
อยมนฺติมา ชาติ
ความบังเกิดชาตินี้มี ณ ที่สุด
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว
บัดนี้ความบังเกิดอีกมิได้มี.
อาสภิวาจา
วาจาแสดงความเป็นผู้องอาจ, วาจาองอาจ คือ
คำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลก
ตามเรื่องว่าพระมหาบุรุษเมื่อประสูติจากพระครรภ์ของพระมารดา
ย่างพระบาทไป ๗ ก้าวแล้วหยุดยืนตรัสอาสภิวาจาว่า
อคฺโคหมสมิ โลกสฺส
เราเป็นผู้เลิศเป็นยอดแห่งโลก
เชฏฺโหมสฺมิ โลกสฺส
เราเป็นผู้เจริญผู้ใหญ่แห่งโลก
เสฏฺโ-หมสฺมิ โลกสฺส
เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก
อยมนฺติมา ชาติ
ความบังเกิดชาตินี้มี ณ ที่สุด
นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว
บัดนี้ความบังเกิดอีกมิได้มี.
ข้อความตรงนี้และเหตุการณ์ตรงนี้
ถ้าใครที่ไม่เคยให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิอย่างต่อเนื่องกันมา
ก็ยากที่จะยอมรับเหตุการณ์และข้อความตรงนี้ได้
ทำไม ?
เพราะเราไม่เคยเห็นมนุษย์ที่คลอดออกมาแล้วพูดได้ทันที ก็จะไปเห็นได้อย่างไร
เพราะในโลกนี้ คนที่มีบุญมีบารมีบริบูรณ์เต็มเปี่ยมล้นมีน้อย
ที่มีเยอะๆ มีแต่พวกไม่ค่อยจะมีบุญทั้งนั้น
คลอดออกมาแต่ละราย อ้าปากร้องจ๊ากออกมาทั้งนั้น
เพราะพอคลอดออกมาก็เจ็บเนื้อเจ็บตัวร้องลั่นกันหมด
แต่ผู้มีบุญได้สั่งสมบุญบารมีมามาก
เพราะฉะนั้น ไม่เฉพาะอยู่ในครรภ์ก็นั่งทำสมาธิ คลอดออกมายืนได้
แต่ว่าพูดได้อีกด้วย
และข้อความที่พูดก็เป็นข้อความที่รู้ว่า
ตัวเองบังเกิดมาทำไม และมีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน
ณ ตรงนี้ต้องย้อนกลับไปดูในพระไตรปิฎกท่อนต้น
ก่อนที่จะกล่าวถึงการตั้งครรภ์ของพระพุทธมารดานี้
มีข้อความที่อยากจะฝากเอาไว้ให้พวกเราได้รับรู้คือ
ก่อนที่พระโพธิสัตว์จะเข้ามาอยู่ในครรภ์พุทธมารดานี้
พระองค์เป็นเทพบุตรหรือเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
ทำไมไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นนั้น
ก็อย่างที่รู้กันมาว่านักสร้างบารมีทั้งหลาย พอละโลกจากมนุษย์ไป เขาก็ไปอยู่กันที่นั่น
แม้แต่พวกเราที่นั่งอยู่ในสภาธรรมกายแห่งนี้
เมื่อตั้งใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้เต็มที่
ละโลกจากนี้แล้วสวรรค์ชั้นดุสิตก็สามารถเป็นที่อยู่ของเรา
และเทวดาในสวรรค์ชั้นนี้ แตกต่างจากเทวดาชั้นอื่นๆ ตรงที่ว่า
ขณะที่เป็นเทวดาอยู่ก็นั่งสมาธิไม่ไปเที่ยวเอิกเกริกเฮฮาเหมือนเทวดาที่อื่น
เป็นเทวดานักนั่งสมาธิ กลั่นกายกลั่นใจให้ใสให้สว่างยิ่งขึ้นไป
และพระโพธิสัตว์ของเรานี้ เมื่อขณะที่อยู่ในภพดุสิตนี้
รัศมีสีสันของพระองค์ท่านสว่างไสวเหลือเกิน
สว่างไสวจนกระทั่งเทวดาที่อยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ เห็นความสว่างที่น่าอัศจรรย์
และเทวดาเหล่านั้นก็รู้ด้วยใจตัวเองอีกเหมือนกันว่า
เทวดาที่รัศมีสว่างๆ อย่างนี้ มีอยู่ประเภทเดียวคือ
เทวดาที่จะไปเกิดเป็นชาติสุดท้ายแล้ว
ถ้าจะลงไปเกิดมนุษย์ครั้งนี้ ก็จะไปเป็นพระพุทธเจ้าสั่งสอนชาวโลก
เพราะว่าบารมีของท่านเต็มเปี่ยมแล้ว คือทั้งให้ทาน ทั้งรักษาศีล ทั้งเจริญภาวนา
สร้างบารมีทั้ง ๑๐ ประการมาครบถ้วนดีแล้ว จนกระทั่งใจทั้งใสทั้งสว่าง
ใจสว่างขนาดไหน ?
สว่างยิ่งกว่าเอาดวงอาทิตย์มาเรียงเป็นดวงๆ เต็มท้องฟ้า
เพราะฉะนั้น ขณะที่อยู่บนสวรรค์นั้น ความสว่างในใจของท่านมาก
จนกระทั่งความสว่างมันทะลุผิวกายออกมา กลายเป็นรัศมีทีเดียว
สว่างจนกระทั่งเทวดาทั้งหลายมองเห็นว่าสว่างเป็นพิเศษ
และสว่างอย่างนี้คือผู้มีบารมีแก่กล้าพร้อมจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
แล้วเทพบุตรพระโพธิสัตว์ก็รู้ด้วยว่า
เรานี้เตรียมตัวจะมาเป็นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าสู่ครรภ์พุทธมารดาก็ตรึกนึกอยู่ถึงหน้าที่สำคัญของพระองค์ว่า
จะต้องมารื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทะเลทุกข์
#3
โพสต์เมื่อ 30 November 2007 - 01:08 AM
เพราะฉะนั้นทันทีที่คลอดที่ประสูติออกมา
ก็ประกาศเจตนารมณ์ของการเกิดของพระองค์ชัดเจนเลยว่า
เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก คือ
มีบุญมีบารมีที่สะสมมามากกว่าชาวโลกทั้งหลาย
เจริญที่สุดแห่งโลก คือ
จิตใจยิ่งใหญ่เหลือเกิน ยิ่งใหญ่ขนาดที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ไปนิพพานให้หมดทั้งโลกทีเดียว
จิตใจยิ่งใหญ่เหลือเกิน ยิ่งใหญ่ขนาดที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ไปนิพพานให้หมดทั้งโลกทีเดียว
เราเป็นผู้ที่ประเสริฐสุดแห่งโลก
ก็เพราะว่าบุญบารมีที่สั่งสมมาดีแล้วนี้ จะเป็นเหตุให้เราได้ตรัสรู้ธรรม
แล้วเอาธรรมะที่ตรัสรู้มาสั่งสอนชาวโลกให้ชาวโลกได้พ้นทุกข์ตาม
พระองค์ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนอย่างนี้
เพราะมีสติสัมปชัญญะตลอด แม้ขณะอยู่ในครรภ์
ซึ่งสัตวโลกทั้งหลายทำอย่างนี้ไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นพระโพธิสัตว์ยังได้พยากรณ์ตัวเองต่อไปด้วยว่า
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่เรา
นี่คือเบื้องหลังความยิ่งใหญ่และความสำเร็จของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คือก่อนที่จะมาเป็นบรมครู มาตรัสรู้ มาสอนธรรมให้แก่พวกเรานั้น
ท่านมีการเตรียมการอย่างดียิ่งมาแล้ว สร้างบุญสร้างบารมีมาตามลำดับๆ
จนกระทั่งบุญบารมีเปี่ยมล้นแล้ว
บุญบารมีนั้นมากมายมหาศาลพอที่จะฆ่ากิเลสในตัวได้แล้ว
คือเตรียมตัวมาพร้อมจะเป็นบรมครูของชาวโลกจริงๆ
ยิ่งกว่านั้น เมื่อถึงคราวถึงวันที่พระองค์ประสูตินั่น
นอกจากเดินได้แล้ว เปล่งวาจาได้แล้ว ยังไม่พอ แม้ความสว่างก็บังเกิดขึ้นกับโลก
สว่างขนาดไหน ?
ในพระไตรปิฎกบันทึกเอาไว้ว่า
ขณะที่พระองค์ประสูตินั้น ความสว่างได้เกิดไปจนกระทั่งหมื่นโลกธาตุ
โลกที่เราอยู่ขณะนี้ เราก็มีความรู้กันพอสมควรแล้วว่า
ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลไม่ได้มีแต่โลกของเราโลกเดียว
ยังมีโลกอื่นๆ อีกนับไม่ไหว
และโลกอื่นๆ ที่มีอยู่นั้น เขาก็มีดวงอาทิตย์ ดวงดาว ดวงจันทร์เป็นบริวารเช่นเดียวกับโลกของเรานี้
และดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างแต่ละโลกนั้น แต่ละดวงก็คลุมโลกนั้นๆ เท่านั้น
ไม่ได้คลุมไปถึงโลกใบอื่น
แต่ว่า
ด้วยอำนาจบุญบารมีที่พระโพธิสัตว์สั่งสมมาดี
ความสว่างในใจของพระองค์ท่านมากมายมหาศาลขนาดหมื่นโลกธาตุก็พลอยสว่างไปด้วย
พูดง่ายๆ เมื่อวันที่พระองค์ประสูติรัศมีของพระองค์สว่างกว่าดวงอาทิตย์เป็นหมื่นเท่าหรือมากกว่านั้น
ถ้าจะหลับตานึกลองจินตนาการดูมันคงยาก
ตั้งใจนั่งสมาธิกันไป วันหนึ่งเราจะต้องทำใจหยุดนิ่งเข้าถึงธรรมกาย
แล้วทำใจหยุดนิ่งเข้าธรรมกายในธรรมกายไป
แล้วเราจะรู้เองว่าความสว่างขนาดหมื่นโลกธาตุก็สว่างตามไปด้วยนี้ขนาดไหน
ไปพิสูจน์เอาเองก็แล้วกัน
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม
#4
โพสต์เมื่อ 02 December 2007 - 06:26 AM
_/|\_ Krub