ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

มนต์ดำกฤษณา


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 January 2010 - 09:36 PM

nerd_smile.gif มนต์ดำกฤษณา เป็นมนต์ที่ร้ายกาจที่สุด ที่บังคับบัญชาชายอกสามศอกผู้เชี่ยวชาญการศึก สยบแทบเท้านารีพิฆาต ด้วยมือน้อยๆไกวเปล มีน้ำตาเป็นอาวุธ dont_tell_anyone_smile.gif

ดังเรื่อง พระเจ้าสัตตุตาปนะ เป็นหนึ่งในพระชาติที่ดำริไว้ในใจ ของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

ชาติหนึ่งพระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ตระกูลกษัตริย์ ที่นครสิริมดี ทรงพระนามว่า พระเจ้าสัตตุตาปนะ ทรงมีพระราชสมบัติเพียบพร้อม แวดล้อมด้วยข้าราชบริพารที่จงรักภักดี ทรงครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรม ประชาราษฎร์อยู่ร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้า

แนบไฟล์  script_art_43jun_fig01.jpg   21.01K   59 ดาวน์โหลด

พระเจ้าสัตตุตาปนะโปรดการประพาสคล้องช้างเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งทรงทราบข่าวเรื่องมีช้างเผือก จึงเสด็จไปคล้องได้มาโดยไม่ยาก โปรดให้นำมาขึ้นระวางเป็นช้างมงคลคชสาร ทรงมีรับสั่งให้นายหัตถาจารย์(ควาญช้างผู้เชี่ยวชาญตำราคชเวท) ฝึกหัดให้ช้างเชื่อง ชำนาญพิธีใช้งานได้อย่างดีภายใน 7 วัน

พอวันที่ 8 พระองค์ทรงประทับบนหลังช้างมงคลคชสารเสด็จชมเมืองจนถึงเวลาเย็น ทรงสดับข่าวว่า ในราตรีก่อนมีช้างป่าโขลงใหญ่บุกเข้าทำลายอุทยานพังยังเยิน จึงทรงช้างไปทอดพระเนตร

ทันทีที่เข้าเขตพระราชอุทยาน ช้างมงคลคชสารของพระองค์ซึ่งเยื่องย่างเป็นสง่าอย่างดีก็พลันมีอาการเปลี่ยนแปรไป สลัดนายหัตถาจารย์ตกลง แล้วตั้งหน้าวิ่งเตลิดเข้าป่า แม้พระราชาจะทรงลงทัณฑ์โดยพระขอคมกริบเพื่อบังคับ ช้างทรงก็ไม่เกรงกลัว ยังคงวิ่งตะลุยฝ่าดงไม้ไม่คิดชีวิต

แนบไฟล์  script_art_43jun_fig02.jpg   20.65K   56 ดาวน์โหลด

พระเจ้าสัตตุตาปนะ ทรงเห็นว่าพระองค์อาจถูกกิ่งไม้ทำอันตรายถึงแก่พระชนม์ชีพจึงทรงคว้ากิ่งมะเดื่อ โหนพระวรกายขึ้นประทับอยู่บนกิ่งไม้พ้นอันตรายในครั้งกระนั้น จึงทรงพิโรธอย่างมาก

เมื่อทรงซักถามนายหัตถาจารย์ถึงสาเหตุ นายหัตถาจารย์กราบทูลว่า เป็นเพราะช้างมงคลคชสารได้กลิ่นนางช้างที่ถ่ายมูลไว้ที่ราวป่า ด้วยอำนาจมนต์(ราคะ)ดำกฤษณา จึงเกิดมัวเมาด้วยไฟราคะ ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ความเจ็บปวดจากตะขอสับ เมื่อได้พบนางช้างและเสพสังวาสเสร็จกิจตามประสงค์แล้ว จะเชื่องและกลับมาอยู่ในอำนาจมนต์ตามเดิม

เหตุการณ์เป็นไปตามที่นายหัตถาจารย์กราบทูล ในวันถัดมาช้างมงคลคชสารก็กลับมา

นายหัตถาจารย์ทูลว่า"ขึ้นชื่อว่ามนต์ดำกฤษณานี้ ย่อมมีคมเฉียบแหลมยิ่ง เกินกว่าคมแห่งพระแสงขอเป็นร้อยเท่าพันทวี อนึ่ง ถ้าจะว่าข้างร้อนเล่า ขึ้นชื่อว่าร้อนแห่งเพลิงคือมนต์ดำกฤษณานี้ ย่อมร้อนรุ่มอยู่ในทรวงของสัตว์อย่างเหลือล้น ยิ่งกว่าความร้อนแห่งเพลิงตามปกติเป็นไหนๆ

อนึ่ง ถ้าจะว่าไปข้างเป็นพิษเล่า ขึ้นชื่อว่าพิษคือมนต์ดำกฤษณานี้ ย่อมมีพิษซึมซาบฉุนเฉียวเรี่ยวแรงรวดเร็วยิ่ง เกินกว่าพิษแห่งจตุรพิธภุชงค์ คือ พิษแห่งพญานาคราชทั่งสี่ชาติสี่ตระกูลเป็นไหนๆ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงมิสามารถหยุดยั้งด้วยกำลังพระแสงขอได้ พระเจ้าข้า !"

" แล้วไฉนพญาคชสารนี้ จึงกลับมาโดยลำพังใจของตนเอง" พระราชาทรงถามขึ้นหลังจากที่ฟังนายหัตถาจารย์อธิบายเป็นเวลานาน

" การที่พญาคชสารกลับมาในครั้งนี้ ใช่ว่าจะมาโดยเจตนาก็หาไม่ แต่เป็นเพราะกำลังอำนาจมนตรามหาโอสถของข้าพระพุทธเจ้า !"

เมื่อทรงสดับดังนั้นแล้ว พระองค์จึงตรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์แสดงกำลังมนตรามหาโอสถให้ทรงทอดพระเนตร ส่วนนายหัตถาจารย์ก็ได้ให้บริวารไปนำเอาก้อนเหล็กก้อนใหญ่มา แล้วให้ช่างทองเอาใส่เตาสูบ เผาด้วยเพลิงให้ก้อนเหล็กนั้นสุกแดงแล้วจึงเอาคีมคีบออกจากเตา เรียกช้างมงคลคขสารเข้ามาแล้วร่ายมนต์ พลางบังคับให้คชสารจับเอาก้อนเหล็กแดงนั้นด้วยคำกำชับสั่งว่า "ดูกรพญานาคินทร์ผู้ประเสริฐ จงหยิบเอาก้อนเหล็กนั้น ณ บัดนี้ แม้นเรายังไม่ได้บอกให้วาง ท่านจงอย่าได้วางเลยเป็นอันขาด" ครั้นช้างมงคลคชสารได้ฟังคำสั่งบังคับ ก็ยื่นงวงออกมาจับเอาก้อนเหล็กที่ลุกเป็นไฟ แม้ว่าจะร้อนงวงเหลือหลายจนงวงไหม้เป็นเปลวควันขึ้นก็ดี ก็ไม่อาจจะทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียได้ด้วยกลัวต่ออำนาจมนตราของนายหัตถาจารย์เป็นกำลัง

แนบไฟล์  script_art_43jun_fig03.jpg   21.61K   67 ดาวน์โหลด

เมื่อพระราชาทอดพระเนตรเห็นงวงช้างมงคลคชสารถูกเพลิงไหม้เช่นนั้น ก็ทรงสงสารเวทนาและเกรงช้างมงคลคชสารจะถึงแก่ความตาย จึงดำรัสสั่งให้นายหัตถาจารย์บอกให้ช้างมงคลคชสารทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสีย ทรงหวนคิดถึงอำนาจมนต์ดำกฤษณาของช้างมงคลคชสาร พร้อมกับคำชักอุปมาอธิบายของนายหัตถาจารย์ ทรงยิ่งสังเวชในใจหนักหนา จึงเปล่งสังเวชเวทีว่า "โอหนอ...น่าสมเพชหนักหนา ด้วยฝูงสัตว์มาติดต้องข้องขัดอยู่ด้วยมนต์ดำกฤษณา อันมีพิษพิลึกน่าสะพรึงกลัวร้ายกาจยิ่งนัก ราคะคือความกำหนัดนี้ย่อมมีมหันตโทษมหาศาล เพราะเพลิงราคะมีกำลังหยาบช้ากล้าแข็ง ร้อนรุ่มสุมทรวงสัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายจึงต้องถูกกิเลสราคะย่ำยีบีฑา นำทุกข์มาทุ่มถมให้จมอยู่ในอู่แอ่งอ่าวโลกโอฆสงสารไม่มีวันสิ้นสุดลงได้ เพราะราคะกิเลสนี้แล สัตว์ทั้งหลายจึงต้องไปตกหมกไหม้อยู่ในมหานรกทั้งแปดขุม และสัตว์ทั้งหลายบางหมู่ต้องไปเกิดอยู่ในกำเนิดเดียรัจฉาน สัตว์ทั้งหลายต้องบ่ายหน้าไปสู่อบายภูมิ ก็เพราะมนต์ดำกฤษณานี้เป็นประการสำคัญ สัตว์ทั้งหลายที่เบียดเบียนบีฑาซึ่งกันและกันก็เพราะอำนาจมนต์ดำกฤษณา ทำให้ต้องระทมตรมทุกข์ถึงซึ่งความพินาศนานับประการ ไม่เว้นแม้แต่บุตรธิดา มารดาบิดา ภรรยาสามีที่รักเป็นหนักหนา ก็ยังต้องเบียดเบียนบีฑาฆ่ากันเพราะอำนาจดำนี้มานักต่อนัก มิใยถึงคนอื่นที่มิใช่ญาติเล่า ก็ยิ่งฆ่ากันเป็นมีอำนาจดำกฤษณานี้เป็นเหตุพื้นฐาน บางครายอมจ่ายทรัพย์สินไปในทางไร้ประโยชน์ บางทียอมเสื่อมจากยศและเกียรติคุณ บางทีย่อมประกอบกรรมอกุศลทำให้สิ้นสุข และเมื่อจิตใจเบือนจากกุศลย่อมไปสู่ทุคติภพ บางทีให้ลุอำนาจแก่ ความโลภ โกรธ หลง จนต้องเจริญโทษทุกภพทุกชาติที่เกิด ให้ถือกำเนิดในอบายภูมิทั้งสี่ เพียงเท่านี้ก็หาไม่ บางคราย่อมทำตนให้พินาศจากศีลสมาทาน บางกาลทำให้คนเสื่อมจากฌานภาวนาสมาธิจิตเป็นนิจกาล ราคะกิเลสจึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์มหันตโทษให้เสวยทุกขเวทนา เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายต้องมีความเศร้าหมองต่างๆ มากมาย"

เมื่อตรัสเช่นนั้นแล้ว ก็มอบรางวัลให้แก่นายหัตถาจารย์เป็นอันมาก แล้วคำนึงในพระราชหฤทัยว่า "สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้จักพ้นจากอำนาจมนต์ดำกฤษณาอันเป็นทุกขภัยในวัฏฏะนี้ได้ด้วยประการใด?" แล้วจึงเห็นแจ้งในพระราชหฤทัยว่า ธรรมทั้งหลายอื่นนอกจาก "พุทธกรณธรรม" แล้วก็ไม่เห็นว่าสิ่งอื่นจะเปลื้องตนให้พ้นจากวัฏสงสารได้ ดังนั้นพระองค์จึงหยั่งพระราชหฤทัยลงเที่ยงแท้ถือเอา "พระพุทธภูมิ" ปณิธานว่า "เราได้ตรัสรู้ซึ่งพระโพธิญาณแล้ว ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้รู้ด้วย เราพ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อใด ก็จักทำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ในวัฏสงสารเมื่อนั้นด้วย" ครั้นทรงกระทำปณิธานปรารถนาเฉพาะพระพุทธภูมิในพระราชหฤทัยด้วยประการฉะนั้นแล้ว ก็ทรงสละราชสมบัติ ดำรงเพศเป็นพระดาบสบำเพ็ญพรตปฏิบัติชอบอยู่ตราบสิ้นอายุขัยแล้วก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์เทวโลกเสวยสุขอยู่สิ้นกาลนาน และ

พระเจ้าสัตตุตาปนะ กลับชาติมาเกิดในชาติสุดท้าย คือ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

ช้างมงคลคชสาร กลับชาติมาเกิดในชาติสุดท้าย คือ พระมหากัสสปเถระเจ้า

นายหัตถาจารย์ควานช้าง กลับชาติมาเกิดในชาติสุดท้าย จักได้ตรัสรู้เป็น พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า

ผลจากชาตินี้นำไปสู่บุพกรรมระหว่างนายหัตถาจารย์และช้างมงคลคชสาร กล่าวคือ

ในพุทธกาลของพระสมณโคดม หลังพุทธปรินิพพาน พระมหากัสสปะเถระเมื่อทำหน้าที่เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พำนักอยู่ที่เวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงขันธ์อยู่ถึง120ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพาน 1วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านแล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอนภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาทแล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิต ขอให้ภูเขาทั้ง 3ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง 3ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น สรีระของท่านไม่เน่าเปื่อย เพราะท่านทำความเพียรอย่างแรงกล้า ด้วยกำลังแห่งอนิมิตตเจโตสมาธิ ปธานสังขารอิทธิบาทภาวนา ส่วน ตา หู จมูก และ ฟัน ก็ยังสมบรูณ์อยู่อย่างอัศจรรย์

และเมื่อพระศรีอาริยเมตไตรยได้ตรัสรู้ประกาศพระศาสนาแล้ว คราวหนึ่งพระองค์จักเสด็จไปที่ "ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต" อันเป็นที่บรรจุสรีระของพระมหากัสสปเถรเจ้า พร้อมสงฆ์หมู่ใหญ่ในยุคภัทรกัลป์สุดท้าย แล้วพระองค์จักทรงยื่นพระหัตถ์ ยกสรีระของพระมหากัสสปะนั้น ขึ้นชูไว้บนฝ่าพระหัตถ์ขวา อันประกอบด้วยจักรลักษณะแล้ว(พระวรกายพระศรีอาริยเมตไตรย สูง 88ศอก ขณะที่สรีระของพระมหากัสสปเถระ ยาวราว 18ศอก) จะมีพุทธฏีกาตรัสแก่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายว่า "ดูกร..เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย ! เธอจงพากันมองดูซึ่งสรีระนี้ นี่คือผู้เป็นพี่ชายของตถาคต(สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรย เคยบวชเป็นพระภิกษุในสมัยพุทธกาลมีนามว่า "อชิตภิกษุ" เป็นภิกษุที่มีพรรษาน้อย ฉะนั้น พระองค์จึงเรียกพระมหากัสสปเถระเจ้าด้วยคำกล่าวออกนามว่า พี่ชายของตถาคต ในกาลครั้งนั้น) ซึ่งเป็นสาวกใหญ่ในศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีนามปรากฏว่า พระอริยกัสสปเถระ เป็นผู้ทรงคุณพิเศษโดยถือธุดงค์ได้สิ้นทั้ง 13 ประการ ตราบเท่าดับขันธปรินิพพาน คือ

ถือบังสุกุลิกธุดงค์ เตจีวริกธุดงค์ บิณฑบาติกาธุดงค์ สัปปทานจาริกธุดงค์ เอกาสนิกธุดงค์ ปัตตบินฑิกธุดงค์ ขลุปัจฉาภัตติกธุดงค์ อารัญญิกธุดงค์ รุกขมลิกธุดงค์ อัพโภกาสิกธุดงค์ โสสานิกธุดงค์ ยถาลันตติกธุดงค์ เนสัชชิกธุดงค์ ตั้งแต่วันอุปสมบทมา ตราบเท่าถึงวันเข้าพระนิพพาน"

หลังสิ้นพุทธฎีกาแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของพระเถรเจ้า แล้วค่อยลามลุกไหม้ให้สิ้น ปราศจากเถ้าธุลีอยู่บนฝ่าพระหัตถ์ของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเป็นอัศจรรย์
(เตโชธาตุ...จากเศษกรรมในวิบากที่...พระมหากัสสปะเกิดช้างมงคลคชสารได้ฟังคำสั่งบังคับ ก็ยื่นงวงออกมาจับเอาก้อนเหล็กที่ลุกเป็นไฟ แม้ว่าจะร้อนงวงเหลือหลายจนงวงไหม้เป็นเปลวควันขึ้นก็ดี ก็ไม่อาจจะทิ้งก้อนเหล็กนั้นเสียได้ด้วยกลัวต่ออำนาจมนตราของนายหัตถาจารย์(ซึ่งก็คือพระศรีอาริยเมตไตรยในพระชาตินั้น)เป็นกำลัง...แต่ไฟธาตุก็หาได้ระคายพระหัตถ์ของผู้มีบารมีเต็มเปี่ยมไม่

nerd_smile.gifบเรื่องมนต์ดำกฤษณา dont_tell_anyone_smile.gif

ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#2 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 15 January 2010 - 09:02 AM


น่ากลัวจริงๆ BLACK MAGIC มนต์ดำกฤษณา

ดีค่ะที่คุณWISHนำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะป้องกันดีกว่าแก้ไข

พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ให้สำรวมอินทรีย์ ทั้งหก โดยเฉพาะตาเป็นภาษาใจ

ที่คุณยายสอนแล้วสอนอีกว่าอย่าให้ลูกตาให้มันช็อตกัน (ตาประสบตากันหญิงชาย)

ถ้ามันเกิดขึ้นแล้วแก้ยาก พิษร้ายนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการตัดทอนการสร้างบารมี

เพราะฉะนั้นอย่าประมาท จะได้ไม่ตกเป็นทาสพญามาร ต้องสู้ถึงจะชนะ(มาร)

ต้องใช้กำลังใจอย่างสูงส่ง หนักแน่น และอดทนฝึกฝนตบะ ความเพียรและขันติ

หากขันแตก สิพังแน่ๆๆแพ้พญามารเขาเสียแล้วเฮ้ออออออออ จบกัน






#3 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 January 2010 - 10:09 AM

สาธุ

#4 *Namkhang*_*

*Namkhang*_*
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 17 January 2010 - 01:48 PM

สาธุกับธรรมทานดีๆค่ะ


#5 ~เด็กวุ่นวาย~

~เด็กวุ่นวาย~
  • Members
  • 156 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 January 2010 - 08:47 AM

อนุโมทนาบุญกับธรรมะดีๆด้วยนะคะ

สาธุ
ความรักก็เหมือนการจับไฟนั่นแหละ ทางที่จะไม่ให้มือพองเพราะไฟเผามีอยู่ทางเดียว คืออย่าจับไฟอย่าเล่นกับไฟ
ทางที่จะปลอดภัยจากรักก็ฉันนั้น มีอยู่ทางเดียวคืออย่ารัก

#6 Nida49

Nida49
  • Members
  • 456 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 January 2010 - 09:38 AM

ขออนุโมทนาบุญ กับธรรมทานครั้งนี้ด้วยค่ะ

สาธุ

#7 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 January 2010 - 01:54 PM

สาธุ กับธรรมทานของเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ
เขียนได้อ่านง่ายและสนุกจริงๆ

#8 jag

jag
  • Members
  • 27 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 January 2010 - 02:00 PM

สาธุ....ครับ...กับเรื่องที่มาเล่า..


ผมล่ะกลัวมนต์นีซะจริงๆ...เฮ้อ...กลัวเพราะอยากลองนี่แหละ

#9 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 January 2010 - 05:45 PM

สาธุ สาธุ

#10 usr32812

usr32812
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 February 2010 - 05:24 PM

sah dhu.. very very story.

Very very good story ka. sha dhu

#11 Heng #37

Heng #37
  • Members
  • 26 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 February 2010 - 05:16 PM

อนุโมทนาด้วยคับ สาธุๆ
"ธรรมกายของพระพุทธศาสนาเป็นของแท้
ไม่ใช่ของเก๊หรือของเทียม ธรรมกายจะปรากฏเป็นความจริงแก่ผู้เข้าถึงธรรม
เรื่องอย่างนี้เราไม่หวั่น เราเชื่อในคุณพระพุทธศาสนา"

#12 Tapaw^^

Tapaw^^
  • Members
  • 21 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 April 2010 - 09:58 PM

โห...เพิ่งเคยอ่านเรื่องแบบนี้

แจ่มเลยค๊า

สาธุ สาธุ สาธุนะ^^
"ถ้าจะทำอะไร จงทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด"