ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

การเกิดใหม่ระลึกชาติกับกระบวนทัศน์


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 25 January 2007 - 04:24 PM

การเกิดใหม่ระลึกชาติกับกระบวนทัศน์ การเกิดใหม่เป็นความเชื่อของมนุษย์ มาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานเป็นบ้านเป็นชุมชนเกษตร อันเป็นกระบวนทัศน์ทางสังคมเก่าเดิมของมนุษย์ ทุกเชื้อชาติสายพันธุ์โดยไม่ยกเว้น หลักฐานของหลุมศพผู้จากไปพร้อมกับ อาวุธและเครื่องใช้ประจำตัว


ยังคงพอเห็นแม้ในทุกวันนี้ ส่วนการระลึกชาตินั้นก็เป็นเช่นที่กฤษณะพูดกับอรชุน ในภควัตคีตาที่บันทึกไว้เมื่อ 2,300 ปีก่อนว่า “อรชุนท่านจำได้เพียงเรื่องราวของชาตินี้...ส่วนข้านั้น ข้าสามารถจดจำย้อนกลับไปได้ไม่ว่าจะเมื่อไรชาติไหน” แต่ต่อมา ด้วยการ#####วิทยาศาสตร์ การ#####อุตสาหกรรม ที่เริ่มขึ้นในโลกตะวันตก วิทยาศาสตร์กายภาพ โดยเฉพาะชีววิทยาที่บ่งบอกว่า ชีวิตเป็นผลผลิตของการคัดเลือกตามธรรมชาติ หรือความบังเอิญ ก็ได้ล้มล้างความเชื่อเรื่องของการเกิดใหม่ลงไปทั้งหมด และกระแสของกระแสตะวันตกเช่นนี้เองที่ได้ค่อยๆ แพร่สู่ภูมิภาคของโลกด้วยลัทธิล่าอาณาคม กระบวนทัศน์ “สมัยใหม่” ก็กลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของชนทุกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ รวมทั้งบ้านป่าเมืองดอยมาแต่นั้นกระทั่งบัดนี้

บทความของวันนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์กัน ของกระบวนการธรรมชาติสองกระบวนการ นั่นคือระหว่างการเกิดใหม่ที่เป็น ปัจเจกกรณี ที่ทุกวันนี้และด้วยวิทยาศาสตร์ทางจิตสาขาจิตวิทยาผ่านพ้น ตัวตน (transpersonal psychology) ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่า การตาย การเกิดใหม่ เป็นวัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติธรรมดาๆ นั่นอย่างหนึ่ง - กับกระบวนทัศน์หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ระดับโลกที่เป็นกระบวนการธรรมชาติธรรมดาๆ อีกอย่างหนึ่ง ส่วนการระลึก ชาติที่แยกจากการเกิดใหม่ไม่ได้ เพราะเป็นส่วนขยายที่สนับสนุนการเกิดใหม่ หลังการตายทางชีววิทยาที่ว่านั้น (Ian Stevenson : The Children Who Remember..., 1987 ; Joel Whitton and Joe Fisher ; Life between Life, 1986) นั่นคือสองกระบวนการที่คนทั่วไปรวมทั้งนักวิชาการส่วนใหญ่ที่มั่นคง อยู่กับปรัชญาวัตถุนิยมและอารยธรรมโลกานุวัตร “สมัยใหม่” ปฏิเสธไม่ยอม รับ โดยเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ “เอามาจากไหนก็ไม่รู้” แต่หากคน ทั่วไปและนักวิชาการเหล่านี้ได้ติดตามวิทยาศาสตร์ยุคใหม่หรืออ่านหนังสือ ใหม่ๆ นอกสายอาชีพของตนบ้างก็จะต้องพบว่า ทุกวันนี้ นักวิชาการส่วน ใหญ่ได้สรุปจนเป็นที่ยอมรับกันว่า สังคมโลกกำลังเปลี่ยนแปลงสู่กระบวน ทัศน์ใหม่ไปแล้ว พร้อมกันนั้นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตได้จัดเรื่องของการเกิด ใหม่และการระลึกชาติให้เป็นความรู้ เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต ในสาขา จิตวิทยาว่าด้วยสภาพจิตที่เปลี่ยนแปลงไป (the science of non-ordinary states of consciousness, see Ken Wilber ; How Big Is Your Umbrella, 1994 : Stanislav Grof ; Holotropic Mind, 1998)

วิวัฒนาการทางสังคมก็เป็นเช่นเดียวกับกระบวนวิวัฒนาการ ของจักรวาลทั้งหลายทั้งปวง เป็นต้นว่า วิวัฒนาการทางชีววิทยาที่แสดงถึง ทิศทางและขั้นตอนของวิวัฒนาการขององค์กรชีวิตของเผ่าพันธุ์ไล่ขึ้นมาตามลำดับ กระทั่งเป็นนกแต่ละตัว เป็นมนุษย์แต่ละคน สังคมเองก็ต้องเปลี่ยนแปลง หรือวิวัฒนาการไปตามทิศทางและผ่านขั้นตอนไปตามลำดับเช่นเดียวกัน ซึ่งทิศทางและขั้นตอนของวิวัฒนาการธรรมชาติทั้งหมดไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่เป็นวัฏจักรหรือเป็นวงเวียนที่หมุนอยู่ในวงเวียนที่ใหญ่กว่า และอยู่ในวง เวียนที่ใหญ่กว่านั้นอีกซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่แต่ละวงที่หมุนเวียนวนไปแต่ ละรอบไม่เคยมีการซ้ำที่ทับรอยเดิม

คำว่ากระบวนทัศน์ที่ใช้ๆ กันในปัจจุบันนั้น ดูเหมือนว่า จะมีคนใช้และคุ้นกับมันน้อยกว่าใช้ทับศัพท์ตรงๆ ว่าพาราไดม์ (paradigm) สมัยก่อนเขาเรียกว่าโลกทัศน์ (world view) ที่กระชับกว่าที่หมายถึงความ เชื่อหรือทัศนะร่วมของคนที่ดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม - มีต่อโลกต่อธรรมชาติ ความเชื่อหรือทัศนะที่มีอิทธิพลต่อความคิด ต่อวิถีการดำรงอยู่ของเรา คือคุณค่าและความหมายของความเป็นตัวเรา และความเป็นสังคมโดยรวม

สำหรับที่บ้านเรานั้น - เพียงเมื่อไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก่อนนี้หรือแม้ใน ชนบทที่ห่างไกลออกไปเช่นชีวิตเด็กของผู้เขียนโลกทัศน์ของชุมชนในเวลานั้น ยังคงยึดถือวิถีธรรมชาติเป็นแนวทาง นั่นคือการเติบโตหมุนเวียนไปด้วยกัน โดยไม่มีการเบียดเบียนทำลายล้างกันโดยไม่จำเป็น แม้ว่าจำเป็น ยังต้องผ่าน กรรมวิธีประเพณีที่นับถือร่วมกันเป็นความศักดิ์สิทธิ์ เป็นเมื่อไม่กี่ทศวรรษมา นี้ หลังสงครามโลกครั้งที่สองมานี้เองที่กระแสตะวันตก - อารยธรรมวัตถุก็ได้ เข้ามาเจือจางวิถีธรรมชาติของเรา และเร่งรัดปรับแปรวัฒนธรรมการดำรงชีวิต แบบเดิมๆ ของเราให้กลายเป็นตะวันตกมากขึ้นและมากขึ้น จนเนื้อหาสาระ ความเป็นเรา กลายเป็นเข็มที่หล่นในกองฟางยากที่จะควานหาได้พบ ซึ่ง จริงๆ แล้วปัจจุบันนี้และในวันนี้ มันไม่ใช่เพียงแต่สังคมบ้านเราเท่านั้นที่รับ มาซึ่งกระแสตะวันตกเช่นนั้น ที่ไหนๆ ก็เป็น รวมทั้งที่ทิมบักตูและที่อาราเร่ แห่งทวีปแอฟริกา เพราะว่า ณ วันนี้ กระแสตะวันตกที่ว่าได้กลายเป็น กระแสโลกานุวัตรไปแล้ว ไม่ว่าที่ไหน สังคมใด

ดังที่กล่าวมาแล้วว่า การระลึกชาติสนับสนุนวัฏจักรของการ เวียนว่ายตายเกิด ตามที่ศาสนาทางตะวันออกทุกศาสนากล่าวเอาไว้ เพียงแต่มีบางคนเท่านั้นที่สามารถจำความเป็นมาของตนในชาติก่อนได้ การระลึกชาติอาจมีความหมายต่อการวิวัฒนาการทางจิตก็เป็นได้ หากว่าต่อ มาผู้มีประสบการณ์ สามารถทรงความจำของชาติก่อนๆ นั้นได้ และโน้มนำ ให้ตนเลือกเส้นทางของการดำรงชีวิตให้ห่างไกลวงจรแห่งโลกียะได้ จริงๆ แล้วเรื่องของการระลึกชาติได้นั้น โดยหลักการ - เด็กส่วนมากหรืออาจจะทุกคน น่าที่จะระลึกได้ โดยเฉพาะในวัยระหว่างสองขวบครึ่งถึงห้าขวบ ซึ่งเราอาจ ทดสอบได้โดยเลือกจังหวะและอารมณ์ของเด็กกับวิธีการตั้งคำถาม ตามที่มี รายงานเอาไว้เมื่อสามสี่ทศวรรษก่อน การระลึกชาติเป็นประสบการณ์ที่พบ น้อยมาก และการค้นพบหรือข้อสรุปจะถูกปฏิเสธจากนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการตะวันตกทุกคนอย่างทันทีทันใด แต่อยู่ๆ เพียงไม่กี่ปีหลังตั้งแต่ ปลายทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา รายงานการระลึกชาติได้เพิ่มจำนวนมาก พร้อมๆ กับมีผู้ที่เชื่อและยอมรับ รวมทั้งนักวิชาการก็มีจำนวนเพิ่มตามไป อย่างสอดคล้อง เป็นหนึ่งในสี่ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ และเพิ่มเป็นหนึ่งใน สามเพียงอีกไม่กี่ปีต่อมา ทุกวันนี้คนอเมริกันที่เป็นผู้ใหญ่ รวมทั้งนักวิชาการ ที่เชื่อในเรื่องการเกิดใหม่และการระลึกชาติได้เพิ่มขึ้นเป็นร่วม 40 เปอร์เซ็นต์

นักวิทยาศาสตร์ทางจิตเชื่อว่า ประสบการณ์การระลึกชาติให้ การรับรู้ภายในที่มีความหมายที่สำคัญยิ่งว่า เรามีเวลาอย่างไม่จำกัดต่อการค้น พบความหมายและที่มาของเราและพัฒนาการรับรู้ตัวเองนั้นไปสู่ปัญญาเหนือ ปัญญาให้ได้ รับรู้ด้วยว่ากรรมได้กำหนดกฎแห่งกรรมเพื่อที่เราจะได้ชดใช้ เรียนรู้ตัวเอง รู้ปัญญาที่เหนือล้ำนั้น ด้วยความรู้เร้นลับที่ได้มาจากศาสนาที่ว่า กระทั่งความรู้ใหม่ จิตวิทยาใหม่ๆ ทำให้นักวิชาการจำนวนไม่น้อยในเวลา ปัจจุบันพากันยอมรับว่า การเกิดใหม่โดยเฉพาะด้วยข้อมูลที่ปฏิเสธไม่ได้นอกจากว่าเป็นการระลึกชาติ ชีวิตจึงไม่ได้สิ้นสุดด้วยการตายไปจากโลกโดย ที่จิตไม่ได้ตาย และคงไม่มีวันตายไปได้ ศาสนาและจิตวิทยาใหม่จึงเชื่อ เหมือนๆ กันว่า วิวัฒนาการไม่ใช่เพียงเป็นวิวัฒนาการทางชีววิทยาของชีวิต หรือของเผ่าพันธุ์ไล่ขึ้นมาจนถึงมนุษย์แต่ละคนโดยความบังเอิญ ลองผิดลอง ถูกของธรรมชาติอย่างตาบอดตาใสเท่านั้น หากมันยังมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ สำคัญกว่า วิวัฒนาการของจิตวิญญานต่างหากที่ความหมายของตัวตนและกฎ แห่งกรรมแสดงให้เห็นด้วยการเวียนว่ายตายเกิดนั้น ซึ่งก็เป็นการเวียนว่ายตาย เกิดของแต่ละคนแต่ละจิต

แต่จักรวาลไม่น่าจะจำกัดดั่งเช่นวิทยาศาสตร์เก่าที่จำกัด แค่ความเป็นรูปธรรมกายภาพของมนุษย์แต่ละคน หรือศาสนาที่พูดกันแต่เรื่อง ของจิตแต่ละจิตเป็นปัจเจก ความคิดที่หนีไม่พ้นหลักการแยกส่วน แม้แต่การ เกิดใหม่ การระลึกชาติ ก็พยายามพูดให้เป็นวิวัฒนาการของจิตวิญญาณที่ แปลกแยกเป็นเอกเทศ แต่ทุกวันนี้เราเริ่มรู้แล้วว่าจักรวาลให้เนื้อหาสาระที่ยิ่ง ใหญ่กว่านั้น ทุกวันนี้เราเริ่มรู้ว่ามันไม่เพียงเป็นเรื่องของคนแต่ละคนหรือจิต แต่ละจิตเป็นปัจเจกเท่านั้น แท้ที่จริงการเกิดใหม่กับการระลึกชาติยังแสดงออก ซึ่งความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างเราแต่ละคนและจิตแต่ละจิตกับสังคม โดยรวมที่แยกจากกันไม่ได้อีกด้วย

นักวิทยาศาสตร์ทางจิตเชื่อว่า การระลึกชาติคือจุดเริ่มต้นของ ความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริงต่อความหมายของชีวิตและวิวัฒนาการของจิต แต่ละคน ซึ่งความรู้ความเข้าใจนั้นเองจะนำไปสู่การเปลี่ยนย้ายกระบวนทัศน์ ทางสังคม น่าสนใจที่ความรู้ในด้านของวิทยาศาสตร์ทางจิตได้มาพ้องจองกับ การค้นพบวิทยาศาสตร์ใหม่และแควนตัมฟิสิกส์ซึ่งให้ความจริงสอดคล้องกับ ศาสนาที่อุบัติทางตะวันตก - เช่นศาสนาพุทธของเรา - ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อันเป็นประเด็นร่วมอีกประเด็นหนึ่งที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความรู้ความ คิดความเชื่อตลอดจนวิถีชีวิตหรือวัฒนธรรมของมนุษยชาติไปจากความเป็น “สมัยใหม่” ได้เช่นเดียวกัน นั่นเป็นสิ่งที่นักวิชาการสายสังคมและนักปรัชญา ที่มั่นคงอยู่กับกระแสหลัก หรือกับตรรกะและเหตุผล ต้องกระวนกระวายใจ ทนไม่ได้ที่เห็นเรื่องไร้สาระหรือไสยศาสตร์ดึกดำบรรพ์กลับได้รับการยอมรับ และขยับขยายมายืนเคียงคู่ทางวิชาการกับความเป็น “สมัยใหม่” แถมยังทำ ท่าว่าจะนำหน้ากลายเป็นกระแสหลักทางสังคมไปภายในเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า อีกด้วย ดังจะเห็นได้ว่าในช่วงทศวรรษที่แล้วเป็นต้นมา - ประเทศทางตะวันตก แทบทุกประเทศได้เกิดมีฟอรั่ม มีการอภิปรายเสวนาระหว่างสองกระแส สองกระบวนการคิดของนักวิชาการในสถาบันต่างๆ และในมหาวิทยาลัยอย่าง ดุเดือดถี่กระชั้น ซึ่งแน่นอนว่า ยิ่งมีการพูดกันมาก การอภิปรายกันมาก ก็ยิ่งชี้บ่งถึงความสำคัญและความหมายของการระลึกชาติ และการเปลี่ยนย้าย กระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคมที่จะเป็นกระบวนทัศน์ทางจิตวิญญานให้เด่นชัด มากขึ้นและมากขึ้น

หากเราหันไปพิจารณาให้รอบด้านก็พอจะเห็นหรือสรุปได้ว่า - ไม่ว่าด้วยการ#####ของฟิสิกส์ใหม่ต่อวิทยาศาสตร์กายภาพหรืออารยธรรม “สมัยใหม่” ที่กลายเป็นหลักการของฟิสิกส์ปรัชญาที่แพร่สู่สาธารณชนมา ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ก็ดี (Fritjof Capra, The Tao of Physics, 1975 ; Gary Zukav, The Dance of The Wu-Li Master, 1979) หรือเรื่องของ การเกิดใหม่ การระลึกชาติ กับชีวิตหลังความตายที่แพร่สู่สาธารณชนในช่วง เวลาเดียวกันที่เริ่มด้วยอลิซาเบธ คิบเลอร์ - รอส เรย์มอนด์ มูดดี้ ตามมาด้วย เอียน สตีเวนสัน และสตานิสลัฟ โกรฟ ที่ได้อ้างไว้แล้วก็ดี - นั่นคือช่วงเวลา ของวิกฤติโลกในทุกๆ ด้าน ทุกๆ ระดับ เป็นต้นว่า ความหายนะของสิ่งแวด ล้อมที่ตามมาด้วยภัยพิบัติทางธรรมชาตินานัปการ หรือความแปลกแยกขัดแย้ง ทางสังคม เผ่าพันธุ์ และวัฒนธรรมที่นำไปสู่การก่อการร้ายและสงคราม หรือว่าความถดถอยทางเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่ความล่มสลายของธุรกิจการ ตลาดเสรีและเศรษฐกิจโยนทิ้งโลกานุวัตร วิกฤติหลากหลายทั้งหมดนั้นเป็น เพียงองค์ย่อยๆ ของวิกฤติดาวนพเคราะห์โลกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นคือ “วิกฤติแห่งวิวัฒนาการโลก” ที่จะให้วิวัฒนาการใหม่ การเปลี่ยนแปลงระดับ โลกใหม่ที่เกิดตามหลังสภาพล่มสลายโลก (extinction) ดังเช่นที่เคยเกิดมา แล้วห้าครั้งในอดีต ซึ่งแต่ละครั้งได้ล้มล้างชีวิตจนหมดสิ้นสูญพันธุ์ไปถึง 70-95 เปอร์เซ็นต์ของชีวิตในเวลานั้นๆ - ครั้งสุดท้ายเมื่อ 65 ล้านปีก่อนกับไดโนเสาร์ ที่หมดไปทั้งตระกูล - แบบล้างแผ่นดิน

ช่วงเวลานี้จึงเปรียบเสมือนช่วงเวลาผกผันก่อนการเปลี่ยนแปลง สู่กระบวนทัศน์ใหม่ทางสังคม และเราหวังว่าสังคมมนุษยชาติจะมีการเปลี่ยน ได้ทันกับเวลา ก่อนที่ความล่มสลายจะเกิดขึ้นกับเผ่าพันธุ์จนมวลมนุษย์จะต้อง สูญสิ้นไปหมดทั้งตระกูลเยี่ยงไดโนเสาร์ - แบบล้างแผ่นดิน

ด้วยฟิสิกส์ใหม่และแควนตัมเมคานิกส์ที่ทุกวันนี้คือความจริง แท้ และหากว่านักวิทยาศาสตร์นักวิชาการยอมรับเรื่องการระลึกชาติว่าเป็น ความจริงแท้ด้วย สาธารณชนทั่วไปก็จะทยอยยอมรับกันเป็นเอกฉันท์ จากนั้นภายในหนึ่งหรือสองทศวรรษข้างหน้าเราอาจพบว่า โลกทัศน์ที่เราเคย ยึดมั่นว่าเป็นความจริงและนำมาเป็นฐานรากของวิถีชีวิตเป็นอารยธรรมจะ เปลี่ยนใหม่ไป ดังนี้

1.โลกทัศน์วัตถุนิยมทุกรูปแบบ - ผิด

2.หลักการแยกส่วนทุกระดับระนาบ - ผิด

3.จิตไม่ใช่สมอง หรือไม่ใช่ผลผลิตของสมอง สามารถดำรง เนื้อหาสาระพื้นฐานของความเป็นจิตโดยไม่ต้องอาศัยองค์ประกอบทาง ชีววิทยาเลย

4.จิตที่เป็นเนื้อในให้ความเป็นเราแต่ละคน ไม่ได้จำกัดที่จิตรู้ และจิตไร้สำนึกเท่านั้น

5.ต้องมีมิติอื่นนอกจากมิติแห่งที่ว่างและเวลาของเราระหว่าง การตายกับการเกิดใหม่

6.มิติที่แท้จริงของจักรวาลเป็นพหุมิติ แต่ละมิติมีองค์กรชีวิต ดำรงอยู่ในที่นั้นๆ

7.การเกิดและการตายเป็นสิ่งลวงตา เป็นการเล่นกลของตาหู ของประสาทความรู้สึก

8.ตรรกะและเหตุผลเป็นของเราบนโลกเราเพื่อเรากันเอง มันยังมีตรรกะที่ลึกล้ำและเป็นสากลกว่าเหตุผลที่เราใช้ในการดำรงอยู่ของเราที่ เราไม่รู้หรือไม่เอามาคิด


http://www.thaipost.....&cat_id=110805

#2 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 25 January 2007 - 04:46 PM

เยี่ยมยอดเลยครับ คุณพี่บุญโต
คาวมจริงก็คือความจริง สาธุ
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#3 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 27 January 2007 - 01:56 PM

เอาจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นมาต่อ ก็จะมองเห็นองค์รวม

#4 JAK

JAK
  • Members
  • 71 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:เขดดุสิต กทม(นะครับ)

โพสต์เมื่อ 30 January 2007 - 10:37 AM

K.Boonto, thank you for the this article.. I've given up reading Thai newspapers (Tabloids) for years and never thought such articles would exist there...

Thank you again, krab!

#5 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 February 2007 - 06:48 PM

สาธุ คุณ บุญโต
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#6 lee072d

lee072d
  • Members
  • 265 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 March 2007 - 02:01 PM

บุญโต เก่ง และ ดี อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

#7 ณ ทะเลจันทร์

ณ ทะเลจันทร์
  • Members
  • 78 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 June 2007 - 04:53 PM

น่าสนใจมากค่ะ
เคยได้ยินมาว่า พุทธศาสนา นิกายหนึ่งในเวียดนาม
สอนเรื่อง "การเกิดใหม่" นั้น
แท้จริงแล้วเป็น "การต่อเนื่อง" (continuation)
ต่อเนื่องมาจากร่างกายของแม่

ในขณะที่บางศาสนาว่า ไม่มีการเกิดใหม่
แต่เป็น การกลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเทพเจ้าสูงสุดในศาสนา

ในขณะที่อีกศาสนาว่า ไม่มีการเกิดใหม่
แต่เป็น การตายแล้วสูญ ไม่มีเรื่องวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น..

 

"จงอย่าเป็นทุกข์เพราะความหยาบคายของผู้อื่น"  

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"  "เจตนา..นั้นแหละคือ..กรรม"

"จงทำในสิ่งที่ถูกต้อง..มากกว่าถูกใจ"  "ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดที่คนพูดโกหกทำไม่ได้"