ทำไมเราถึงต้องสร้างบารมี
#1
โพสต์เมื่อ 08 December 2005 - 02:38 PM
#2 **
โพสต์เมื่อ 08 December 2005 - 05:31 PM
#3 **
โพสต์เมื่อ 08 December 2005 - 08:22 PM
ถ้าคนที่ไม่มีเป้าหมายที่แท้จริง ก็มักจะไปหาเป้าหมายอย่างอื่น คือทำยังไงให้รวย แล้วก็จะรวยยิ่งๆขึ้นไป หาที่สิ้นสุดไม่มี เพราะความอยากน่ะเอง หรือ ถ้าอยากเป็นนายก เมื่อเป็นนายกแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็เบื่ออีก ก็ย่อมอยากเป็นเจ้าครองโลก หรือมีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา ซึ่งก็ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ดี หรือไม่ก็เบื่อกันไปข้างนึง
สุดท้ายก็เป็นทุกข์อีก เพราะไม่พอใจซักที อยากมีความรัก ไม่สมหวังในความรัก หรือพอมีความรัก ก็เบื่ออีก ก็ทุกข์อีก
หรือพวกประเภทที่ว่า ฉันขออยู่ไปวันๆก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยทำอะไรที่คนอื่นเค้าไม่คิดทำกัน ฉันจะทำเพื่อคนอื่นไปทำไมกัน พวกนี้ก็จะเป็นพวกประเภทที่เรียกว่า ซังกะตาย ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แบบไร้จุดหมาย นั่งรอวันตาย หรือ ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้บุญ ไม่รู้บาป หรือไม่ก็ทำบาปแบบทิ้งชีวิต
สุดท้ายแล้ว มันก็จะวนกลับมาที่เดิมอีกน่ะแหล่ะค่ะ ว่าทำไปทำไม
จริงป่าวอะ
#4
โพสต์เมื่อ 08 December 2005 - 08:37 PM
#5
โพสต์เมื่อ 08 December 2005 - 08:51 PM
คือว่า ถ้าเราอยากจะเป็นอะไร เราต้องสร้างบุญบารมีเเล้วก็ตั้งความปรารถนานั้นๆ จนกระทั่งบุญบารมีเต็มเปี่ยม ความปรารถนาที่ตั้งไว้ก็จะเป็นไปตามนั้น
ดังนั้นคนที่ไม่ยอมสร้างบารมี ก็เหมือนกับคนที่ไม่ยอมสร้างฐานะ ชีวิตก็จะตกต่ำไม่มีเป้าหมายของชีวิต
#6 **
โพสต์เมื่อ 08 December 2005 - 10:44 PM
หลังจากนั้นผมก็ได้แวะไปคุยธรรมะกับอ.ท่านนี้เสมอ จนท่านอยากให้ผมอธิบายเรื่องบุญให้อ.ทั้งหลายที่เป็นลูกน้องอ.ท่านนี้ได้เข้าใจเรื่องบุญบ้าง ผมจะขอเอาคำตอบตอนนั้นมาตอบคำถามเจ้าของกระทู้แล้วกัน
อ.ระดับลูกน้อง - ทำไมนักศึกษาอายุแค่นี้ คิดเข้าวัด ทำบุญขนาดนี้ บอกอ.หน่อยได้ไหม
ผม - อ.ครับ ผมเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะใช้ได้ ไม่ลำบาก มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือมาจนระดับนี้ ผมมั่นใจว่า เพราะผมคงมีบุญเก่า เพราะมีคนอีกมากที่ไม่มีโอกาสเหมือนผม ถ้าผมจะเปรียบเทียบบุญเหมือนข้าวในตุ่มข้าวสาร ชีวิตผมมีความสุข ไม่ลำบาก สบายอย่างทุกวันนี้ก็คือผมกำลังทยอยใช้บุญเก่าใช่ไหมครับ ก็เหมือนข้าวสารในตุ่มกำลังค่อยๆ ลดลง ดังนั้น ถ้าผมต้องการที่จะมีชีวิตที่ดี สุขสบายอย่างงี้ไปเรื่อยๆ มีทางเดียวคือผมต้องเพิ่มข้าวในตุ่มก็คือทำบุญเพิ่มทดแทนบุญที่ผมใช้ทุกวันใช่ไหมครับ ผมไม่อยากรอจนกระทั่งข้าวสารในตุ่มหมดก่อนแล้วค่อยหาข้าวสารใหม่มาเติมครับ เพราะผมไม่อยากให้ชีวิตลำบาก พอบุญหมดแล้วจึงได้คิดค่อยมาสร้างบุญครับ
อ.ระดับลูกน้อง - .... (ทุกคนเงียบ แล้วพยักหน้า เข้าใจในสิ่งที่ผมอธิบาย)
หลังจากนั้น ผลที่ตามมาคือ อ.ระดับหัวหน้าสามารถชวนอ.ลูกน้องมาสร้างพระได้หลายสิบองค์ ทั้งพระแกนกลางและพระภายนอก ปัจจุบันก็ยังมีอ.เหล่านี้ยังมาสร้างบารมีที่วัดอยู่ครับ
#7
โพสต์เมื่อ 09 December 2005 - 12:06 AM
บุคคลทั้งหลายที่โดยสารมากับเรือ ต้องพากันล่องลอย
ประสบทุกข์ แหวกว่ายอยู่กลางทะเล ต่างปราถนาพ้นทุกข์นี้
จึงเพียรว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง ผู้ใดว่ายถึงฝั่ง ขึ้นไปแล้ว
ก็พ้นจากความทุกข์และมรณภัยไปได้ ฉันใด
หมู่สัตว์ที่ล่องลอยวนเวียนอยู่ในภพ 3
ก็ต่างประสบทุกข์ ล่องลอยอยู่ ผู้ใดเป็นบัณฑิตมีปัญญา
รู้จัก การสร้างบารมีว่า เป็นวิธีช่วยตนให้พ้นจากทุกข์นี้ได้
ก็จะพากันเพียรสั่งสมบ่มบารมีของตน เพื่อยกตนให้พ้น
จากกองทุกข์แห่งสังสารวัฏฏนี้ ฉันนั้นแล
#8
โพสต์เมื่อ 09 December 2005 - 06:47 AM
In ours team case we need all the บารมี we can get so we can figt the mara with our บารมี. So there is no Samsara any more.
Beside if you don't สร้างบารมี your life is only gonna get worse...
What a terrify thought!! ( look really scare )
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#9
โพสต์เมื่อ 09 December 2005 - 11:58 AM
วิธีการสะสมบุญมีด้วยกัน 10 วิธี
ดังนั้น ถ้าเรา (พวกเรา) สร้างบารมีกันทุกวัน ก็คือ เราเป็นคนดีกันทุกๆกัน ในทุกๆวัน
ในทางโลก ก็ช่วยให้สังคมนี้ น่าอยู่ ผู้คนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ในทางธรรม บารมี คือ บุญที่ตั้งใจกระทำกันอบ่างจริงจังนี้
บุญบารมี จะเป็น สิ่งเดียว ที่สามารถ นำติดตัวไปได้ ในภพต่อๆไป
เมื่อมีบุญ เปรียบเสมือน มีเงินในบัญชี
อยากจะถอน เพื่อนำมาช่วยเหลือใครๆ ก็ทำได้
เปรียบเสมือน อุปกรณ์ ที่จะช่วยสร้างบารมีในภพต่อไป ได้ง่าย ยิ่งขึ้น
"เช้านี้ คุณสร้างบารมี บ้างหรือยัง"
บารมี ๑๐
๑. ทานบารมี-- การให้
๒. ศีลบารมี--- ปกติ
๓. สัจจะบารมี --ความตั้งใจจริง
๔. วิริยะบารมี-- ความเพียร
๕. เนกขัมมะบารมี--การถือบวช ทรงพรหมจรรย์
๖. ปัญญาบารมี-- ความรู้ ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา
๗. ขันติบารมี--ความอดทนหรืออดกลั้น ต่ออารมณ์ที่เข้ามายั่วยวน
๘. เมตตาบารมี--ความรักที่ปราศจากความใคร่
๙. อธิษฐานบารมี-- ความตั้งใจ
๑๐. อุเบกขาบารมี-- ความวางเฉย
( เจตนา 3 กาล --->>> บารมี 30
บุพพเจตนา คือ เจตนาที่เกิดขึ้นก่อนกระทำ กรรม
มุญจเจตนา คือ เจตนาที่เกิดขึ้นขณะกระทำกรรม
อปรเจตนา คือ เจตนาที่เกิดขึ้นหลังกระทำกรรม )
#10
โพสต์เมื่อ 09 December 2005 - 03:28 PM
Is this what means by บารมี 30 THAD?
#11
โพสต์เมื่อ 10 December 2005 - 01:26 AM
รู้ว่าตน เป็นเพียงคน เท่านั้นหรือ
รู้แค่นั้น ไม่ต่างกัน กับกระบือ
เพราะรู้ชื่อ และรู้แซ่ แล้วแก่ตาย
จริงแล้วควร รู้แจ้งใจ ให้ถ่องแท้
จิตแน่วแน่ ทำหน้าที่ ที่มีได้
สร้างบารมี กำจัดทุกข์ ทุกวันไป
วันหนึ่งไซร้ พ้น (รื้อ) วัฏฏะ ชำนะมาร
#12
โพสต์เมื่อ 10 December 2005 - 02:09 AM
#13 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 14 December 2005 - 06:25 PM
#14
โพสต์เมื่อ 20 December 2005 - 10:00 AM
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=1616
อธิบาย เพิ่มเติมไว้ที่กระทู้นี้ค่ะ
ชัดเจนขึ้นอีกนิด + อีกหน่อย นะจ๊ะ
"ขอให้บุญรักษาค่ะ"
#15
โพสต์เมื่อ 05 February 2007 - 01:38 PM