สงสัยค่ะ
#1
โพสต์เมื่อ 12 August 2008 - 03:16 PM
#2
โพสต์เมื่อ 12 August 2008 - 04:31 PM
อยากให้พิจารณาข้อดีข้อเสียและความต้องการของคุณเป็นหลักนะครับ
ความต้องการ คือ ตัวคุณเองเบื่อการเวียนว่ายตายเกิด เบื่อในวัฏฏะสงสาร เป็นหลัก
หรือคุณมีใจอยากจะช่วยเหลือทุกคนให้พ้นจากภัยของวัฏฏะที่คุณเห็นแล้ว
เพราะการมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนจะเป็นตัวกำหนดแนวทางในการปฏิบัติได้อย่างดี รวมทั้งทำให้การเดินทางของคุณถูกต้อง รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ไม่หลงวนเวียนเดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา
เมื่อคุณทราบความตั้งใจของคุณแล้ว เราก็มาดูข้อดีข้อเสียกันครับ
เมื่อคุณมีใจรักในพระรัตนตรัย รักบุญ เข้าใจที่มาแห่งบุญ ผลของบุญ ฯลฯ คุณตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเข้านิพพานแน่นอน ไม่รั้งรออะไรอีกแล้ว ประพฤติปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดอย่างเข้มแข็ง คุณก็จะได้ผลแห่งนิพพานได้โดยเร็ว เปรียบเหมือนนักเดินทางตัวคนเดียวที่มีคู่มือและแผนที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถไปถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอน นั่นคือข้อดี
แต่คูมือและแผนที่ก็ไม่ได้บอกถึงความยากง่ายในการเดินทางเอาไว้ ต้องอาศัยประสบการณ์ในการเรียนรู้ ทุกจุดหมายไม่ได้มีทางเดินไปแค่ทางเดียวแผนที่บอกได้ดี แต่แผนที่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเส้นทางไหนง่าย เส้นทางไหนยาก คุณเดินทางคนเดียว ไม่มีเพื่อน ถ้าไม่สามารถหาคนพื้นถิ่นแถวๆนั้นมาแนะนำเส้นทางได้ ไหนจะหิว ไหนจะร้อน ไหนจะบาดเจ็บ ไหนจะท้อใจ การเดินทางนั้นอาจจะเป็นการเดินทางที่หฤโหดที่สุดก็ได้ นี่คือข้อเสีย
ส่วนการไปเป็นหมู่คณะนั้น ก็เหมือนการเดินทางกันเป็นกลุ่มใหญ่ ใครหิว ใครร้อน ใครบาดเจ็บ ใครหลงทาง ใครท้อใจ ก็ช่วยประคับประคองกันไป แม้เส้นทางจะหฤโหด แต่จากพลังสามัคคีทุกคนก็จะฉุดดึง ผลักดันกันจนไปถึงปลายทางกันทุกคน ไม่เหลือทิ้งใครเอาไว้ให้ทรมาน นั่นคือข้อดี
แต่ก็อย่างว่า มากคนมากความ ยิ่งต้องมีรับคนใหม่ๆเข้ามาตลอดระหว่างการเดินทางด้วยแล้ว ความปั่นป่วน ความล่าช้า ก็มีมาในระดับนึงทีเดียว ต้องอาศัยประสบการณ์และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ากันอย่างเต็มที่ทีเดียว กว่าขบวนจะเข้าที่เข้าทางก็สาหัสกันคนละหลายๆแผลเลย นั่นคือข้อเสีย
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ในข้อดีก็มีข้อเสีย ในข้อเสียก็มีข้อดี คงต้องถามใจตนเองแล้วหละครับ ว่าจะเลือกอย่างไหน แต่ที่แน่ๆ ห้ามทิ้งเรื่องการทำบุญโดยเด็ดขาด ทานคือเสบียง ศีลคือสิ่งแวดล้อม สมาธิคือคู่มือและแผนที่ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ไปไม่พ้นหน้าปากซอยบ้านหรอกครับ
ใครมีเพิ่มเติมเชิญเลยนะครับ เป็นการพิมพ์สดๆอาจตกหล่นไปบ้าง หมู่คณะเดียวกันต้องช่วยกันครับ(ข้อดีของการมีหมู่คณะก้ดีอย่างนี้แหละ)
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#3
โพสต์เมื่อ 12 August 2008 - 08:48 PM
#4
โพสต์เมื่อ 13 August 2008 - 08:43 AM
#5
โพสต์เมื่อ 13 August 2008 - 09:43 AM
ในความคิดด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมนะครับ ตอนแรกผมก็คิดเหมือนกับคุณเจ้าของกระทู้ คือจะมุ่งไปที่ไหนดี จะมุ่งนิพพานเลยหรือจะไปที่สุดแห่งธรรม 2จิต2ใจอยู่นานมากจนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินเรื่องๆหนึ่งเข้า มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งบอกผมว่า จริงๆแล้วพระนิพพานก็เปรียบเสมือนกับคุกไม่แตกต่างอะไรแถมยังอยู่ภายในขอบเขตของภพ3 เพียงแต่ว่าเป็นคุกชั้นดีที่ปราศจากความทุกข์เท่านั้น ผมก็ยังนึกงงอยู่นานว่าพระนิพพานเป็นคุกตรงไหน หากพระนิพพานเป็นคุกแล้วทำไม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์เจ้าทุกพระองค์จึงมุ่งหวังไปที่นั่นอีก ทำไมท่านจึงบอกกล่าวเช่นนั้น สุดท้ายผมก็ได้คำตอบ
ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดเมื่อเสด็จเข้าสู่นิพพานไปแล้วไม่มีองค์ไหนสามารถออกมาได้เลย ทั้งที่แต่ละพระองค์มีใจเมตตาอยากให้ชาวโลกได้พ้นทุกข์แล้วทำไมท่านถึงไม่ลงมาจากนิพพานมารื้อขนสัตว์โลกไปอีก คำตอบก็คือท่านออกมาไม่ได้นั่นเอง สถานที่ๆเข้าได้แต่ออกไม่ได้มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากคุกจริงไหมครับ
ผมจึงมีความคิดขึ้นมาอีกว่า แล้วถ้านิพพานยังเป็นคุกอยู่แล้วเราจะรอดพ้นคุกเหล่านี้ไปได้ยังไง จนกระทั่งมาอ่านในหนังสือของหลวงพ่อ และได้ฟังบางสิ่งจากคุณครูไม่ใหญ่ ทำให้ผมปิ๊งความคิดขึ้นมาทันที ว่า อืม ถ้าหากไม่ว่าอย่างไรเราก็หนีไม่พ้นคุกอยู่ดีแล้วทำไมเราไม่ทำลายคุกเหมือนอย่างที่ท่านทั้ง2คิดเลยล่ะนับแต่นั้นมาผมก็ตั้งเป้าหมายมุ่งมั่นตามหลวงปู่และคุณครูไม่ใหญ่ครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#6
โพสต์เมื่อ 13 August 2008 - 10:44 AM
สมมุติมีน้ำท่วมใหญ่ มีผู้คนลอยคออยู่มากมาย มีเรือลำหนึ่ง จะมีคนถือท้ายคอยนำเรือเข้าไปรับคน โดยมีคนหนึ่งคอยชี้บอกทางเพื่อให้นายท้ายเขาไปรับคนได้ แล้ววันหนึ่งเรือลำนี้ก็ได้มาช่วยเราให้ขึ้นจากนี้รอดตายมาได้ เราก็เลยช่วยเขาพายบ้าง พอพายไปพายมาเหนื่อยจึงขอหยุดไม่อยากทำแล้ว หลวงพ่อธัมมะบอกว่า ถ้าเป็นผมผมจะไม่หยุดจะช่วยเขาต่อไป แล้วพี่เด็จละ แล้วท่านก็ให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะชีโวคิดแล้วก็เดินหนีไป
#7
โพสต์เมื่อ 13 August 2008 - 01:01 PM
ถ้าจะพูดกันแบบทางโลก เหล่าท่านมีสภาวะอยู่เพียงแค่สองอย่างเท่านั้น
หนึ่ง เหล่าท่านอยู่ในสภาวะแห่งความคงอยู่ ความปรากฏ ความมีจริง เพื่อเป็นจุดมุ่งหมายในการเดินทางให้แก่เหล่าสรรพสัตว์ ให้เหล่าสรรพสัตว์รู้ว่าผลของนิพพานมีจริง ไม่สูญสลาย เป็นบริสุทธิธาตุ
สอง เหล่าท่านอยู่ในสภาวะอิ่มบุญเต็มที่ เป็นสภาวะบุญบารมีล้วนๆ ซึ่งมากเสียจนแผ่ออกไปทั้งอนันตจักรวาล พวกเราเหล่าผู้ยึดมั่นในบุญ และผลของบุญ ก็ต้องหาทางเก็บเกี่ยวบุญบารมีที่แผ่ไพศาลเหล่านั้นไว้ให้ได้มากที่สุด นอกเหนือจากบุญที่เกิดจากวัตถุทั้งหลาย เพื่อใช้เป็นเสบียงในการพ้นวัฏฏะ
เหล่าท่านไม่มีความคิดในการลงมาสงเคราะห์สัตว์อีกเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเหล่าท่านได้ทำการสั่งสอนอบรมไว้หมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพอเหมาะพอสมที่จะทำให้เราพ้นจากวงเวียนกรรมอันนี้ได้ ไม่มีน้อยไปกว่านี้ที่จะไม่พอแก่การพ้นทุกข์ ที่เหลือเป็นเรื่องของเราที่เราต้องทำเอง ไม่มีการทำแทนกันได้
อีกทั้ง ท่านเหล่านั้นหลุดพ้นภาวะแห่งการเป็นอยู่แล้ว ไม่เหลือเชื้อให้กลับมาได้อีก เหมือนตะเกียงน้ำมันที่หมดทั้งใส้หมดทั้งน้ำมัน ทำอย่างไรก็ไม่มีวันติดไฟได้อีกแล้ว
ข้อความเหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียวเท่านั้นที่จะกล่าวถึงพระนิพพาน และเหล่าอรหันตขีนาสพทั้งหลาย เราต้องทำตัวเราให้มีความละเอียดทั้งกายและใจ เราก็จะรู้ถึงสภาวะของพระนิพพานและสภาวะแห่งพระอรหันต์ได้อย่างถ่องแท้ ลองทำๆกันดูนะครับ ได้ความว่าอย่างไรก็บอกกันบ้างนะครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
#8
โพสต์เมื่อ 13 August 2008 - 04:17 PM
#9
โพสต์เมื่อ 13 August 2008 - 05:24 PM
#10
โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 02:38 AM
#11
โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 11:47 AM
แนวทางที่ 1 ถ้าุคุณสามารถทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาได้ทุกภพทุกชาติ คุณก็จะรอดปลอดภัยได้ทุกชาติจนกว่าจะถึงนิพพาน
แนวทางที่ 2 ถ้าบางชาติคุณพลาดพลั้ง ไปเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีหมู่คณะ โอกาสที่จะไม่รู้ว่าอะไรบุญอะไรบาปมีสูงมาก ถึงตอนนั้นก็เตรียมรับความทุกข์ในอบาย ที่มีมากมายยิ่งกว่าทุกข์ในเมืองมนุษย์อย่างเทียบกันไม่ได้ด้วยล่ะครับ
แล้วโอกาสจะเป็นแบบไหนมากกว่ากัน คำตอบคือ หากนับจากสถิติจะพบว่า คนไปสวรรค์และนิพพาน เท่ากับเขาโค ในขณะที่คนที่ไปอบายเท่ากันขนโค ตัวอย่างพระอรหันต์ที่เราได้อ่านก็คือ หนึ่งในปริมาณเขาโคเท่านั้น แต่ปริมาณคนที่ลงอบาย ที่เราไม่รู้ เพราะไม่ได้อ่าน ทำไมไม่ได้อ่าน เพราะเป็นยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาเกิด จึงไม่มีพระไตรปิฎกให้เราได้อ่าน ในยุคเหล่านี้ มีจำนวนคนที่ต้องไปอบายมากมายกว่า คนไปสวรรค์นิพพานอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
ดังนั้น ผมว่า หากเลือกไปที่สุดแห่งธรรมกันเป็นหมู่คณะแล้วล่ะก็ ไม่ใช่เราช่วยหลวงพ่อครับ แต่เป็นหลวงพ่อช่วยเราต่างหาก ช่วยคุ้มครองให้เราได้อยู่ในเส้นทางที่ปลอดภัยจากอบายไปตลอดเส้นทาง OK ว่าพอมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องเจอทุกข์ของมนุษย์ แต่ทุกข์นั้นเทียบไม่ได้กับทุกข์ในอบายครับ
#12
โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 01:32 PM
#13
โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 08:42 PM
คุก = สถานที่กักกันโดยมีอาณาบริเวณจำกัด.. ผู้อยู่อาศัยที่นั้นล้วนมีความปรารถนา
ที่จะหลุดพ้นจากสถานที่กักกันนั้น..
แล้วลองอ่านคำตอบคุณ ทัพพีในหม้อ ดูดีๆ.. ว่าผู้ที่อยู่แดนอายตนนิพพานมีความอยากทำอะไรอีกหรือเปล่า.. ?
และที่บอกว่านิพพานยังอยู่ในภพสามน่ะ.. ลองเช็คข้อมูลดูดีๆเด้อ..
(ไม่ต้องบอกเราก็ได้เพราะคงไม่ได้เข้ามาอ่านอีก เพราะช่วงนี้ยุ่งมาก)
คือสิ่งเหล่านี้ถ้าผิด หรือใช้คำไม่เหมาะอาจติดวิบากกรรมได้นะท่าน..
คำบางคำอาจจะเหมาะกับบางคนพูด.. แต่อาจจะไม่เหมาะกับอีกคนพูดนะท่าน..
บวก ลบ คูณ หาร ดูให้ดีเถิด..
อย่าโกรธกันล่ะ คือ เราไม่อยากให้ติดวิบากกรรมโดยไม่จำเป็นน่ะ..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#14
โพสต์เมื่อ 14 August 2008 - 09:58 PM
นิพพาน ไม่ใช่คุกหรอกครับ แต่เป็นห้องเย็นสำหรับพักรบ ถ้านักรบชุดพิเสษแพ้ ชุดที่อยู่ในนิพพาน (ถอดกาย) ที่เปรียบเหมือนปูที่ถอดกระดอง ก็คงไม่เหลือ
พูดแค่นี้นะ ไม่รู้จะโดนลบหรือเปล่า คิดดูแล้วกันครับว่าจะรออยู่ห้องเย็นดี หรือว่าไปเป็นกองหน้าดีี กองทัพได้ทหารมาเพิ่มอีก 1 ก็ดีขึ้นไม่ใช่เหรอครับ
#15
โพสต์เมื่อ 15 August 2008 - 12:04 PM
แต่เหตุที่หมู่คณะของเราสามารถสร้างบารมีได้ง่ายขึ้นเยอะๆ ไม่ต้องเสียไพร่พล(เพราะไปทำผิดศีลผิดธรรม เลยต้องไปอบาย)ไปเยอะ ก็เนื่องจากเลือกลงมาเกิดในยุคที่ยังมีพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง ดังนั้น ไม่ว่าทำหน้าที่ใด ทุกหน้าที่ล้วนสำคัญทั้งนั้นครับ