มีคำถามครับตอบผมทีครับ
#1
โพสต์เมื่อ 30 August 2008 - 04:32 PM
#2
โพสต์เมื่อ 30 August 2008 - 04:57 PM
#3
โพสต์เมื่อ 31 August 2008 - 12:00 AM
...ดูแล้ว ไม่ค่อยมีเหตุผล
ท่านจะลำบาก มาบิณฑบาตรทำไมให้เหนื่อย..
เพื่อจะทิ้ง หรือไปเลี้ยงหมูหมา
ลองสืบดูว่า...
ที่ไหน แล้วดูว่ามีพฤติกรรมนั้นจริงไหมดีกว่า...
ถ้าเห็นด้วยตา แล้วก็มาพิจารณาต่อ...เช่นว่า
หนึ่ง อาหารที่ใส่บาตร ท่านฉันได้ไหม สดใหม่หรือบูดเน่า
ปกติ หรือไม่ปกติ
สอง ลองแอบๆถามเลยดีไหม ว่าเหตุผลตืออะไร..
อย่าเพิ่งตัดสินจากการเล่าดีกว่า..นะจ๊ะ
แต่ถ้าเป็นจริงๆ ก็ต้องแจ้งไปยังเถระสมาคม
หรือกราบเรียนท่านเจ้าคณะจังหวัด ให้ท่านดูแลกันจ้ะ
....
ไปกราบเรียนท่านให้ทราบ
#4
โพสต์เมื่อ 31 August 2008 - 09:59 AM
ส่วนตัวอย่างวิบากกรรมมีอยู่ในนิทานชาดกผมจำชื่อเรื่องไม่ได้ ต้องขออภัยด้วยนะครับ แต่พอสรุปเนื้อหาให้ได้ดังนี้ (หากผมจำไม่ผิดนะครับ หากผิดประการใดรบกวนพี่ๆช่วยแก้ไขด้วยนะครับ ^ ^" )
ในสมัยพุทธกาลมีเด็กคนหนึ่งเกิดในตระกูลจันทาล ตั้งแต่มารดาตั้งท้องก็ทำให้ครอบครัวมีความยากจนลง ขอทานไม่ได้ ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนก็ทำให้คนละแวกนั้นตกตํา จนกระทั่งเด็กคนนี้โตจนพอจะเลี้ยงตัวเองได้ มารดาจึงให้ออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าเด็กคนนี้จะไปขอทานที่ไหน ก็ไม่มีใครเหลียวแลไม่มีใครสน เสมือนกับไม่เห็นเด็กคนนี้อยู่บนโลกนี้ มีชีวิตอย่างอดอยาก ประทั่งชีวิตด้วยก้อนดินและเศษไม้ จนกระทั้งพระสารีบุตรได้มาพบ จึงเกิดความเวทนารับอนุเคราะห์โดยให้บวชเป็นสามเณรเพราะคิดว่าชีวิตของเด็กคนนี้จะดีขึ้น แต่หลังจากที่บวชเป็นสามเณรแล้ว กลับทำให้พระสารีบุตรมีความลำบาก เนื่องจากเวลาพระสารีบุตรออกบิณฑบาตรจะพาเด็กคนนี้ไปด้วย และทุกครั้งที่พาเด็กคนนี้ไป แม้พระสารีบุตรก็ไม่ได้รับบาตรเลยแม้ทัพพีเดียว พระสารีบุตรจึงให้สามเณรรูปนี้กลับไปรอที่วัด แล้วออกบิณฑบาตรต่อ หลังจากสามเณรกลับพระสารีบุตรก็ได้รับบาตรเป็นปกติ หลังจากพระสารีบุตรกลับถึงวัด จึงให้เณรอีกรูปยกอาหารที่ท่านบิณฑบาตรมาได้แบ่งไปให้สามเณรอดอยากผู้นี้ แต่ว่าอาหารกลับไปไม่ถึงมือสามเณรรูปนี้เลย จนกระทั่งร่างกายทนไม่ไหว พระสารีบุตรจึงคิดอนุเคราะห์อยากให้สามเณรรูปนี้ได้ฉันอิ่มสักมื้อ ท่านจึงได้ยกสำหรับอาหารไปให้ด้วยตัวของท่านเอง สามเณรรูปนี้จึงได้ฉันอิ่มเป็นมื้อแรกและมื้อเดียวในชีวิต และเสียชีวิต หลังจากที่สามเณรรูปนี้เสียชีวิต พระสารีบุตรจึงเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อสอบถามถึงวิบากกรรมของสามเณรรูปนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
เป็นเพราะชาติในอดีต สามเณรรูปนี้ได้เคยบวชเป็นพระและเป็นที่นับถือของคนในระแวกนั้น วันหนึ่งมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาขอพักอาศัยอยู่ในวัดที่พระรูปนี้อยู่ ขณะที่พระรูปนี้ออกบิณฑบาตรและกำลังกลับวัด เกิดความคิดขึ้นมาว่า "หากพระปัจเจกพุทธเจ้ายังอยู่กับเรา จะทำให้เราหมดลาภสักการะ อย่ากระนั้นเลย เราจะทิ้งอาหารที่บิณฑบาตรมาได้นี้เสีย" จากนั้นจึงได้ฉันอาหารจนอิ่มแล้วทิ้งอาหารที่บิณฑบาตรมาได้ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านทรงรู้ถึงวาระจิต จึงได้หลีกหนีไป เมื่อพระภิกษุรูปนี้กลับถึงวัด ไม่เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ จึงเกิดความรู้สึกสำนึกว่าตนได้กระทำผิดอย่างใหญ่หลวง ทำให้เสียใจจนร่างกายซูบผอมเสียชีวิตในเวลาต่อมา และนับตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา ก็ได้มาเกิดเป็นลูกจัณทาล นำพาวิบัติมาให้ผู้อื่นหลายภพหลายชาติ และจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไปอีกหลายภพหลายชาติเช่นกัน แต่จะได้กินอิ่มในมื้อสุดท้ายเพราะความสำนึกผิดต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#5
โพสต์เมื่อ 31 August 2008 - 01:08 PM
#6
โพสต์เมื่อ 31 August 2008 - 06:43 PM
#7
โพสต์เมื่อ 31 August 2008 - 08:01 PM
ขอทำความเข้าใจสักนิดก่อนนะครับ บางทีหลายๆท่านอาจจะเห็นว่าวัดพระธรรมกายของเรามีพระเยอะ เพราะฉะนั้นอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตรคงจะเยอะตามไปด้วย ซึ่งจริงๆแล้วการออกบิณฑบาตรประจำวันของที่วัดพระธรรมกายนั้น มีการแบ่งพระออกไปโปรดสาธุชนเพียงไม่กี่รูปเท่านั้น ตอนที่ผมบวชอยู่นั้น ออกบิณฑบาตรสามเส้นทาง เส้นทางละสิบรูปเท่านั้น สลับกันไปเรื่อยๆจนครบทุกรูป จากจำนวนพระรุ่นที่บวชพร้อมกันร้อยกว่ารูป
ทั้งๆที่การออกบิณฑบาตรเป็นกิจข้อบังคับสำคัญของพระภิกษุ-สามเณรที่ต้องปฏิบัติเลยทีเดียว แต่ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้าออกบิณฑบาตรทุกรูป อาจจะส่งผลต่อความสะดวกของวัดอื่นๆที่อยู่ในระแวกเดียวกันได้ รวมทั้งญาติโยมที่มีศรัทธาก็อาจจะลำบากด้วยจากจำนวนพระที่มากมาย อีกทั้งด้วยความตั้งใจของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อและคุณยายอาจารย์รับสืบต่อเนื่องกันมา ที่ต้องการสร้างโรงทานเลี้ยงทุกชีวิตที่อยู่ในวัดแล้ว ทำให้ทางวัดพระธรรมกายก็ไม่ได้ประสบปัญหาอาหารขบฉันแต่อย่างใด แม้พระจะไม่ได้ออกบิณฑบาตรก็ตาม
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทางวัดพระธรรมกายจึงออกบิณฑบาตรตามสมควรแห่งกิจของสงฆ์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการขบฉันของพระทั้งวัด ของที่ได้มาจึงไม่ได้มากมายอะไรนักเมื่อเทียบกับทุกชีวิตภายในวัด
และขอบอกให้ทราบอีกอย่าง ทุกคนที่อยู่ในวัดพระธรรมกายนั้นสุดยอดประหยัดตัวจริงเลย อะไรที่ยังพอที่จะใช้ประโยชน์ได้แล้วทิ้งให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสอง พระอาจารย์ และหลวงพี่ทั้งหลายได้เห็นหล่ะก็ ได้มีการคุยกันยาวเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นสบายใจได้ อาหารทุกอย่างที่ท่านได้ใส่บาตรมานั้นเกิดประโยชน์คุ้มแน่นอน ขนาดถุงใส่ของที่เรามักเรียกกันว่าถุงก๊อบแก๊บนะ ผมยังเคยโดนทำโทษให้นั่งหัดพับเก็บให้เรียบร้อยเอาไว้ใช้งานต่อไปเลย แล้วอาหารที่ทานได้ วัดเรามีหรือจะทิ้ง
หรือพวกพี่ๆที่โรงครัวว่าไงครับ
#8
โพสต์เมื่อ 31 August 2008 - 09:05 PM
#9
โพสต์เมื่อ 01 September 2008 - 09:06 AM
จากการที่ผมเคยบวชที่วัดพระธรรมกายมาก่อนหลายครั้ง ขอบอกคุณมาดอนเข้ได้อย่างเต็มปากว่า อาหารที่พระภิกษุวัดพระธรรมกายได้จากการบิณฑบาตร ไม่มีการทิ้งหรือทำให้เสียเปล่าเด็ดขาดครับ หลังจากที่พระกลับจากบิณฑบาตร จะนำอาหารที่ได้มาจากการบิณฑบาตรไปรวมกลับอาหารที่ทางวัดเตรียมไว้ แล้วนำมาฉัน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่มีเหลือเลยสักครั้งเดียวครับ ( ยืนยันได้ว่าหมดทุกมื้อ เพราะผู้จัดเตรียมทำภัตตาหารถวายพระมีความสามารถพิเศษในการกะปริมาณภัตตาหารในแต่ละมื้อได้อย่างพอเพียง ไม่มีเหลือส่วนมากจะมีแต่ขาดครับ - -" รุ่นที่ผมบวชจำได้ว่ามีหลายครั้งที่ต้องไปขอเพิ่มเติมจากแผนกอื่นอีก ^ ^" ) หากภัตตาหารเช้าที่ทางวัดเตรียมไว้เป็นมาม่าผัด ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว หรืออาหารที่มีนําเป็นส่วนประกอบ อาหารที่ได้จากการบิณฑบาตรจะถูกแยกไว้แล้วนำใส่ภาชนะถวายให้กับพระอาจารย์ พระที่อายุมาก หรือพระที่ต้องการฉัน มีบางส่วนจัดใส่สำหรับนำถวายองค์พระประธานเป็นการบูชาข้าวพระด้วยนะครับ
และขอยืนยันคุณทัพพีในหม้อ ว่าพระภิกษุสามเณรที่วัดพระธรรมกายสุดยอดประหยัดจริงๆครับ รุ่นที่ผมบวชใช้นําอาบวันละ1-3กระป๋อง ซึ่งทุกคนจะเอาแบบอย่างคุณครูไม่ใหญ่ที่ท่านอาบนําเพียงวันละกระป๋องเท่านั้น และเมื่อถึงเวลา4ทุ่มจุดที่ฝึกอบรมธรรมทายาทจะปิดไฟนอนกันหมด หากพระรูปใดยังไม่นอนก็จะใช้ไฟฉายของตนเองแทนครับ
หากไม่เชื่อลองไปบวชที่วัดดูสิครับ หุหุ ^ ^
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#10
โพสต์เมื่อ 01 September 2008 - 02:11 PM
#11
โพสต์เมื่อ 01 September 2008 - 09:42 PM
ถ้าท่านนำอาหารที่ส่วนเกินไปให้คนหรือสัตว์ผู้ถวายจะได้บุญสองต่อ แต่ให้เข้าใจว่าพระท่านไม่มีที่เก็บรักษาอาหารเหล่า
นั้น และพรุ่งนี้ก็จะได้มาอีกในปริมาณใกล้เคียงของวันนี้ ดังนั้นถ้าแบ่งให้ ทั้งคนและสัตว์แล้วยังเหลือ จึงเป็นความจำเป็นที่
ต้องเอาไปทิ้ง
#12
โพสต์เมื่อ 02 September 2008 - 10:59 AM
#13
โพสต์เมื่อ 02 September 2008 - 09:04 PM