- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: usr16547
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 12
- ดูโปรไฟล์ 3412
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
ธรรมประจำวัน
07 August 2007 - 12:09 PM
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
พระศรีอริยเมตไตรย
07 August 2007 - 09:50 AM
พระศรีอริยเมตไตรย
พระศรีอริยเมตไตรย
ในปัจจุบันนี้ สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์พระศรีอริยเมตไตรยเจ้า ซึ่งจักมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในภัทรกัปป์นี้ ก็เสด็จสถิตอยู่ ณ ดุสิตพิภพสวรรค์ ด้วยว่าสวรรค์เทวโลกชั้นนี้ เป็นที่สำราญผาสุกสมควรแก่พระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงสร้างพระบารมีมามาก จะเสด็จอาศัยอยู่ จนกว่าจะถึงกาลกำหนดตรัสรู้ตามเยี่ยงอย่างหน่อพุทธางกูรทั้งหลาย แต่กาลนานสืบ ๆ มา
พระบรมโพธิสัตว์หน่อพุทธางกูร ผู้สร้างพระบารมีหมายพระโพธิญาณนั้น หาพอพระทัยที่จักไปอุบัติบังเกิดในเทวโลกที่สูงกว่านี้ หรือพรหมโลกไม่ เพราะหากไปอุบัติบังเกิดในโลกที่มีอายุยืนนับเป็นกัปป์ ๆ แล้ว ก็จะเป็นการเนิ่นนานชักช้า เสียเวลาสร้างพระบารมีไปเปล่า ๆ ฉะนั้นจึงพอพระทัยที่จักบังเกิดอยู่ ณ ดุสิตพิภพนี้ เพราะเป็นการสะดวกแก่การที่จะทรงอธิษฐานให้จุติมาเกิดในมนุษยโลกเพื่อสร้างพระบารมีในคราวที่ต้องพระประสงค์ ได้ทราบว่า พระบรมโพธิสัตว์หน่อพุทธางกูรทั้งหลาย เมื่อเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้แล้วมีน้ำพระทัยรำพึงถึงพระโพธิญาณ ใคร่สร้างพระบารมีให้ภิญโญ ย่อมเสด็จเข้าสู่ที่บรรทมในปราสาทพิมานแต่ลำพังพระองค์เดียว แล้วทรงหลับพระเนตรลงทรงอธิษฐานว่า “ เราจักจุติในกาลบัดนี้ “ โดยน้ำพระทัยรักในพระโพธิญาณ มิได้อาลัยในสวรรค์สมบัติ พอทรงอธิษฐานขาดคำ ก็ทรงจุติจากสวรรค์มาอุบัติบังเกิดในมนุษยโลกเพื่อสร้างพระบารมีต่อไป การอธิษฐานให้จุตินี้ จะกระทำได้ก็แต่เฉพาะเทพยดา ผู้เป็นพระบรมโพธิสัตว์จำพวกเดียว จะได้ทั่วไปแก่สามัญสัตว์ทั้งหลายก็หามิได้
ก็สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมพงษ์โพธิสัตว์อันเสด็จสถิต ณ ดุสิตพิภพขณะนี้ พระองค์มีพระอัชญาสัย พอจะประมวลมากล่าวไว้ เพื่อเป็นเครื่องเรืองปัญญาแก่พวกเราทั้งหลาย ๖ ประการคือ
๑. เนกขัมมัชฌาสัย พอใจบรรพชา รักเพศบรรพชิตยิ่งนัก
๒. วิเวกกัชฌาสัย พอใจอยู่ในที่เงียบสงัด
๓. อโลภัชฌาสัย พอใจบริจาคทาน ชอบใจคนไม่โลภ ไม่ตระหนี่
๔. อโทสัชฌาสัย พอใจความไม่โกรธ ชอบใจเสพสมาคมกับคนไม่มักโกรธ
๕. อโมหัชฌาสัย พอใจความไม่หลง ชอบเสพสมาคมกับคนมีสติปัญญาเป็นนักปราชญ์
๖. นิสสรณัชฌาสัย พอใจความสลัดออก ชอบเสพสมาคมกับคนผู้มีความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏฏ์
เมื่อพระองค์มีพระอัชฌาสัย ๖ ประการดังนี้ จึงทรงยินดีในธรรม แลปรากฏว่าขณะนี้ พระองค์ย่อมทรงแสดงธรรมให้ปวงเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ชั้นดุสิต ฟังอยู่เสมอ มิได้ขาดเลย โดยการอัญเชิญอาราธนาของปวงเทพเจ้าชาวสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งมีองค์สันตุสิตเทพราชเจ้าเป็นประธาน
<H1 style="MARGIN: 0cm 0cm 0pt">การสร้างพระบารมี</H1>เมื่อกล่าวถึงการสร้างพระบารมี สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยบรมพงษ์โพธิสัตว์ ได้ทรงสร้างสมมานานนักหนา เพราะทรงสร้างพระบารมีเป็นวิริยาธิกะพระพุทธเจ้า ยิ่งด้วยพระวิริยะ แต่กองพระบารมีประการหนึ่ง เมื่อแรกจะทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้ทรงทำปรมัตถบารมีอันประเสริฐ หาผู้ใดผู้หนึ่งเสมอเหมือนมิได้ มีเรื่องราวที่ควรสดับดังต่อไปนี้
ณ กาลนานแสนนานมาแล้ว มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สมเด็จพระสิริมา มิ่งโมฬีสัพพัญญู ทรงอุบัติขึ้นในโลก คราวครั้งนั้น สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรยนี้บังเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงพระนามว่าพระเจ้าสังขจักรจอมจักรพรรดิ์ เป็นอิสสราธิบดีในพระนครอินทปัตต์ ราชธานี ไม่ทรงทราบว่ามีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก
ต่อมามีสามเณรรูปหนึ่ง ไปเที่ยวหาทรัพย์เพื่อจะถ่ายมารดา ซึ่งเป็นทาสีอยู่ในตระกูลหนึ่ง ครั้นไปถึงกรุงอินทปัตต์ ชาวเมืองเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยักษ์ เพราะเห็นนุ่งห่มแปลกประหลาด จึงช่วยกันกลุ้มรุมตีต่อยสามเณร ๆ ตกใจกลัวจึงวิ่งหนีเข้าไปท้องพระโรง ขณะกำลังเสด็จออก ทรงไต่ถามได้ทราบความว่า เป็นสามเณรบรรพชาในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิริมามิ่งโมฬี จึงมีความยินดีสุดหัวใจ ได้ทรงจัดการราชาภิเษกให้สามเณรนั้นครองราชสมบัติแทนตน แต่พระองค์เดียวดำเนินไปในทิศที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ พระองค์เป็นกษัตริย์สุขุมาลชาติ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปด้วยพระบาทได้วันหนึ่ง พระบาททั้งสองก็แตกช้ำ ครั้นล่วงมรรคาไปอีกสามวัน พระชงฆ์แลพระบาทก็แตกยับโลหิตไหล ในวันที่สี่ก็สุดที่จักทรงพระดำเนินไปได้ แต่ก็ทรงพระดำริว่า “เราจักไปให้ถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้จงได้” แล้วนอนพังพาบ ค่อย ๆ กระเถิบไปด้วยพระอุระ ด้วยกำลังพระอุตสาหะอันแรงกล้า ได้เสวยทุกขเวทนา แสนสาหัส ก็มิได้ทรงย่นย่อท้อถอย
สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬีสัพพัญญู ทรงเล็งแลดูหมู่เวไนยสัตว์ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ทรงเห็นกำลังวิริยะแห่งพระเจ้าสังขจักรนั้นมาก ก็ทรงทราบว่าเป็นหน่อพุทธางกูร ก่อสร้างพระบารมีตามวงศ์พระบรมโพธิสัตว์ จึงเสด็จพระพุทธดำเนินด้วยพระพุทธสิริลีลาศอันงามเพื่อหวังจักทรงโปรด ครั้นใกล้จะถึงจึงทรงเเปลงเพศเป็นมาณพขับเกวียนมาในมรรคา แล้วร้องถามว่า “ดูกรท่านผู้เจริญ ! ท่านจงหลีกไป ให้พ้นทางเกวียน มิฉะนั้นเกวียนจะทับ” พระเจ้าสังขจักรจึงทรงตอบว่า “ดูกรนายสารถี ! ซึ่งเราจะ หลีกทางนั้น เราหลีกไม่ได้ เราจักไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดินทางมาหมดแรง ทั้งบาทาแข้งขาก็บอบช้ำนักหนา ชอบแต่ท่านจะขับเกวียนหลีกทางเราจึงจะควร” พระสิริมามิ่งโมฬีผู้ทรงมีน้ำพระทัยประกอบด้วยมหากรุณาจึงตรัสว่า “ท่านจักไปเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงขึ้นเกวียนเรา ๆ จักพาไปส่งให้ถึงสำนักของสมเด็จพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐ” แล้วก็ทรงให้สมเด็จพระเจ้าสังขจักรเสด็จขึ้นเกวียน จนใกล้ถึงที่ประทับแล้ว ก็ทรงให้หยุดอยู่ ณ ที่นั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชเป็นเจ้าในไตรตรึงษ์สวรรค์ พร้อมด้วยพระชายา แปลงเพศเป็นบุรุษแลสตรี มีมือถือห่อข้าวทิพย์และกระทอน้ำ เดินสพายมาถวายแบ่งปันให้พระเจ้าสังขจักร พระองค์ทรงบริโภคโภชนาหารเป็นที่สบายหายบอบช้ำแล้ว ก็ทรงดำเนินเข้าไปในพระวิหาร
ครั้นเสด็จเข้าไปถึง ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬี เสด็จอยู่ในพระวิหาร มีพระรัศมีสว่างรุ่งเรือง ก็ทรงเกิดความปิติยินดีล้นพระทัย จนถึงแก่วิสัญญีภาพสลบลง พอทรงฟื้นได้สติสมปฤดีขึ้นมาแล้ว ก็น้อมพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ยกอัญชลีกรประณมเหนือพระเศียรเกล้า ตรัสว่า “ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงเป็นโลกนาถ” แต่ตรัสได้เพียงคำหนึ่งวาจาเดียวเท่านี้ ก็ทรงนิ่งอึ้ง มิอาจตรัสออกมาได้ซึ่งคำอื่น ด้วยความเต็มตื้นปิติปราโมทย์ในพระทัย
สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬี จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “ดูกร มหาบพิตรผู้ประเสริฐ ! ขอพระองค์ จงตั้งพระมนัสกำหนดตถาคตจักแสดงธรรมแก่ท่าน ขอจงกำหนดในใจด้วยดีเถิด” แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงพระสัทธรรมเทศนาอันว่าด้วยคุณแห่งพระนิพพาน แต่พอทรงแสดงได้ประมาณบทเดียวเท่านั้น พระเจ้าสังขจักรก็ทรงฟังไม่รู้เรื่อง เพราะทรงพระดำริว่า “ถ้าหากพระพุทธองค์แสดงพระธรรมเทศนา ไปมาก เครื่องไทยธรรมอันจะสมควรแก่พระธรรมเทศนานั้น หาเห็นสิ่งใดจะสมควรไม่ ก็บัดนี้พระพุทธองค์แสดงคุณแห่งพระนิพพานบทเดียวเท่านั้น พอควรแก่เครื่องสักการะบูชาอันเรามีอยู่ ด้วยพระนิพพานเป็นที่สุดแห่งโลก เศียรเกล้าของเราพร้อมทั้งมหามงกุฎก็เป็นที่สุดแห่งโลก ควรเราจะกระทำสักการะบูชาพระธรรมเทศนาของพระองค์” ครั้นทรงพระดำริฉะนี้ จึงกราบทูลแด่สมเด็จพระสิริมามิ่งโมฬีว่า
“ข้าแต่สมเด็จพระพุทธองค์เจ้า! ขอจงทรงหยุดพระธรรมเทศนาแต่เพียงเท่านี้เถิด พระธรรมเทศนาทั้งปวงนั้น ก็มีพระนิพพานสิ่งเดียวเป็นที่สุด บัดนี้ข้าพระบาทจะตัดเศียรเกล้ากับมงกุฎ กระทำสักการะบูชาพระธรรมเทศนาของพระองค์...ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระนามว่าสิริมามิ่งโมฬีผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงเสด็จสำราญในอมตมหานิพพานไปก่อนเถิด ข้าพระบาทจะตามเสด็จพระองค์ไปแต่ภายหลัง ด้วยเดชะแห่งผลสักการะบูชาของข้าพระบาทนี้” แต่พอขาดคำปณิธานปรารถนา ก็ทรงชักพระขรรค์ตัดพระศอขาด แล้วถือชูบูชาไว้ สิ้นพระชนมายุ เสด็จมาสู่พิภพดุสิตสวรรค์นี้
แต่ทรงท่องเที่ยวในวัฏสงสาร สร้างสมอบรมพระบารมีสิ้นกาลช้านาน มาถึงศาสนากาลแห่งสมเด็จพระสมณโคดมบรมครูของเราทั้งหลาย พระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ก็ได้จุติมาบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางกาญจนเทวี มเหษีของพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงพระนามว่าพระอชิตกุมาร พอพระชนมายุได้สิบหกปีก็ทรงผนวช มีปัญญามาก รอบรู้ในพระปริยติธรรม เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกอย่างยอดเยี่ยม ได้ลัทธยาเทศคำพยากรณ์จากพระบรมครูแห่งเราว่า “พระอชิตภิกษุผู้บวชใหม่นี้จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้านามว่าพระศรีอริยเมตไตรย ในที่สุดแห่งภัททกัปป์นี้” พอดับเบญจขันธ์ถึงแก่มรณะภาพแล้ว ท่านอชิตภิกษุก็มาอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นพระศรีอริยเมตไตรยบรมโพธิสัตว์ซึ่งทรงพระปัญญา กำลังเทศนาโปรดปวงเทพเจ้า ซึ่งมีท่านท้าวสันดุสิตเทพยราชเป็นประธาน ตามกาลเวลาอยู่ในขณะนี้
อายุ ทวยเทพผู้สถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตุสิตาภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ห้าสิบเจ็ดโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณแห่งมนุษยโลกเรานี้
บุรพกรรม ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ โดยมากเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ เขามีจิตบริสุทธิ์ทรงธรรมชอบสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา มีปัญญาดี หรือเป็นพระโพธิสัตว์รู้ธรรมมาก มีความสุขเกษมยินดี ครั้นสิ้นชีวีดับชีพแล้ว ก็ตรงมาอุบัติบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ เสวยทิพยสมบัติเป็นที่สำราญตามปรารถนา
พรรณนาในตุสิตาภูมิ ขอยุติลงด้วยประการฉะนี้
( โลกทีปนี โดยพระศรีวิสุทธิโสภณ ปธ.๙ วัดดอน ยานนาวา กทม. )
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: usr16547
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·