***คุณเลือกทำบุญกับ วัดรวยๆ หรือ วัดจนๆ**
#1
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 07:55 AM
แต่ขอผมจะตั้งข้อสังเกตว่า
ทำไมวัดจนๆวัดนั้น คนถึงไม่เข้าไปทำบุญกันมากๆ เหมือนวัด รวยๆ
ทำไม วัดรวยๆวัดนั้น ถึงมีคนไปทำบุญกันมาก ทั้งๆที่เหลือเฟือ
แล้วถ้าเป็น คุณ จะเลือกทำบุญกับ วัดอย่างไรครับ
#2
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 08:40 AM
เอาเป็นว่า ถ้ามีใครพูดเรื่องนี้อีก เราก็บอกว่า เราเลือกทำบุญกับวัดที่จะใช้เงินเราอย่างคุ้มค่าที่สุดดีกว่าครับ
วัดที่เป็นวัด พระที่เป็นพระ ที่เคารพในทานที่สาธุชนถวายให้ แล้วใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พระพุทธศาสนา ก็จะดึงดูดศรัทธาสาธุชนได้มาก เป็นธรรมชาติของกรรมดี บวกกับกรรมเก่ามาดี ก็จะเกิดความเจริญรุ่งเรือง(ผมไม่ใช้คำว่ารวยนะครับ)
ในทำนองกลับกัน ก็เป็นธรรมชาติของวิบากกรรมด้วยเหมือนกัน ที่จะทำให้ดึงดูดศรัทธาสาธุชนได้น้อยไปด้วยในวัดที่ไม่เป็นวัด พระที่ไม่เป็นพระ ยิ่งมีผังตระหนี่ติดตัวมาด้วย ก็จะยิ่งแย่เตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่
เราต้องเป็นกัลยาณมิตรให้กับคนที่คิดที่จะเอาความรวยความจนมาเป็นตัวตัดสิน ให้เขามองที่ประโยชน์ที่เกิดจากวัดนั้นๆต่อชุมชน ต่อสังคม ต่อชาติบ้านเมือง ต่อพระพุทธศาสนามากกว่า วัดไหนทำประโยชน์ได้เยอะเราก็ไปทำบุญวัดนั้นกันเถอะ
และอย่าพยายามไปบอกให้เขาไปค้นหาสาเหตุที่วัดนั้นรวยหรือจนอย่างเด็ดขาด เป็นการสร้างนิสัยจับผิดขึ้นในใจ ไม่ดี จะเป็นวิบากกรรมต่อไปในภพข้างหน้าได้
มองหาแต่สิ่งดีๆที่ปรากฏต่อหน้าดีกว่าครับ วัดไหนมีการรวมสาธุชนทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา วัดไหนบูชาคุณแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย วัดไหนบูชาคุณครูบาอาจารย์ วัดไหนทำพระให้เป็นพระ ทำคนให้เป็นมนุษย์ ฯลฯ ดูกันตรงนี้ เมื่อเราหาเจอแล้ว เราก็ควรชวนกันไปทำบุญวัดนั้นครับ
ค่อยๆทำความเข้าใจกันไปครับ ยากมาก เพราะแม้แต่คุณแม่ผมเองก็มีความคิดอย่างนั้น สังคมสมัยนี้เอาเงินเป็นตัววัดกันครับ เราต้องเป็นกัลยาณมิตรทำความเห็นที่ถูกต้องเกิดขึ้นกับพุทธศาสนิกชนทุกคนครับ
อนุโมทนาบุญด้วยครับ
(อันนี้ส่วนตัวนะครับ วัดที่มีสาธุชนมาทำบุญเยอะๆก็ใช่ว่าจะรวยนะครับ อาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่วัดพระธรรมกายนั้น มีปัจจัย "แค่" พอใช้จ่ายเป็นงานๆไปครับ ไม่มีเงินเหลือมากมายอย่างที่เข้าใจกันหรอกครับ ทั้งพระทั้งเจ้าหน้าที่เขียมกันสุดๆ ปัจจัยไม่น้อยเลยทีเดียวที่ใช้เพื่อให้พวกเราทุกคนที่ไปวัดได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น จนในบางครั้งเราทุกคนก็สบายกันจนเคยตัวเลยหล่ะครับ !!!
การประหยัดในสิ่งที่ถูกที่ควรนั้น อานิสงฆ์ทำให้เราเป็นผู้ที่ทรัพย์ไม่มีความเสื่อมด้วยเหตุทั้งปวงนะครับ
เริ่มเรื่องวัดรวยวัดจน แต่มาจบเรื่องประหยัดได้ยังไงนะเรา สงสัยจะแก่แล้ว เลยเลอะๆเลือนๆ อย่าถือสาเลยนะครับ)
#3
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 08:58 AM
สำหรับตัวเอง คิดว่าทำทั้ง 2 วัดค่ะ แต่ถ้าเห็นว่าวัดใดท่านมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คงทำวัดนั้นมากกว่า หรือเห็นว่าบุญนี้เราอยากทำจังเลยก็คงทำบุญนั้นมากๆ ปลื้มมากๆ อิอิ
ถ้าพระวัดที่จน ท่านปฏิบัติดี ไม่นานก็จะมีคนทำบุญเยอะแยะไม่ต้องห่วงค่ะ
สาธุค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 09:17 AM
- ถ้าเป็นประโยชน์ต่อชนหมู่มากก็ทำมากหน่อย อย่างถวายพระ 20000 วัด จะทำ 20 ก็กระไรอยู่
- แต่ถ้าไม่มีวัตถุประสงค์ชัดเจน ก็ทำธรรมดา 20 บ้าง 100 บ้าง บูรณะ ส่งเสริมวัดไป
สรุปทำทั้งหมดละครับ แต่ต่างกันที่กำลังในการทำ ความปลื้มปิติก็ต่างกัน
#5
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 09:19 AM
ค่ะ ทุกๆท้อยคำที่ได้ ตอบมาค่ะปลื้มใจ ที่ผู้มีบุญ ท่านตอบได้ถูกใจ และก็เข้าใจง่ายๆดีค่ะ ขอบอกคุณ.ทัพพีในหม้อ
ว่า ขออนุญาติ ขอก๊อปปี๊ เอาคำที่คุณ.ทัพพีในหม้อ ออกมาติดตัวไว้ เวลาไปบอกบุญแล้วเจอ คนที่เขาว่าวัดเรามาก็มี
ค่ะ เวลาที่ไปบอกบุญ เขาจะพูดแบบนี้จริงๆค่ะ หวังว่าคงอนุญาตินะค่ะ ก็ขออนุโมทนาบุญ ที่ตอบได้ถูกต้องและ ทุกๆ
อย่างโดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไปค่ะ พวกเราลูกพระธรรม ลูกหลวงปู่.หลวงพ่อ.คุณ.ยาย เราต้องช่วยกันทำหน้า ที่ตรง
นี้ให้สุดชีวิต ถึงแม้นตัวดิฉันเอง เพิ่งเข้ามาแค่ 4 ปีกว่านิดๆก็เรียกว่า เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เหมือนหมู่คณะเลยค่ะ เพราะรู้
ว่าอะไรเป็นอะไร ที่ดี และก็ไม่ดีแล้วค่ะ อันไหนที่แนะนำพวกเขาได้ ก็จะทำ ตามทางที่ มหาปูชนียาจารย์ ท่านได้สั่ง
สอน อบอบรมมาค่ะ และก็โชคดีที่ได้ มาเจอ หมู่คณะด้วยค่ะ จากใจจริงที่มีอยู่ในคณะนี้ ทุกๆลมหายใจ ที่เข้าออก
เสมอ ทุกๆวัน ค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
#6
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 09:55 AM
#7
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 10:46 AM
#8
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 11:01 AM
วัดจนหรือไม่จน (รวย) ไม่สำคัญหรอกครับ แต่ก่อนวัดพระธรรมกายก็ไม่ได้รวยเริ่มต้นเงินจาก 3,200 บาท จนกลายมาเป็นวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน ฉะนั้น ความคิดของคนเขาปรุงแต่งกันขึ้นมาครับ
ส่วนผมทำบุญกับทุกวัดแหละครับ ขอให้มีคนมาบอกบุญเท่านั้น มีมากทำมาก มีน้อยผมก็ร่วมทำน้อยครับ
#9
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 11:13 AM
#10
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 12:05 PM
กระผมจะได้จำข้อความที่คุณทัพพีในหม้อได้เขียนไว้ไปทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตร
ไปบอกแก่ผู้ที่ไม่เข้าใจวัดพระธรรมกายนะคับ เป็นบุญต่อบุญด้วย
ก็ต้องขออนุโมทนาบุญกับคุณทัพพีในหม้อด้วยนะคับ สาธุ สาธุ สาธุ ....
#11
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 12:20 PM
สำหรับผม วัดรวยวัดจนผมทำหมด ขึ้นอยู่กับว่าวัดนั้นมีสิ่งที่จะมาดึงดูดใจให้ผมกลับไปอีกหรือไม่ ซึ่งผมติดใจวัดธรรมกายที่ 1.มีการต้อนรับที่ดี 2.ความสะอาดของวัด 3.เข้าไปแล้วสบายใจ แค่3ข้อพื้นฐานของการทำให้คนติดใจนี้ก็มัดใจผมได้แล้วครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 12:37 PM
ถ้าถามว่า อยากทำบุญกับวัดใหญ่ หรือ วัดเล็ก
ผมขอตอบว่า ผมอยากทำบุญกับวัดใหญ่ ที่นำปัจจัยทั้งหลาย ไปแบ่งปันให้ วัดเล็กๆ ทั่วประเทศไทยน่ะครับ
ดังเช่น โครงการตักบาตรพระ 5 แสนวัด 76 จังหวัด ทุกวัดทั่วไทย ก็เป็นหนึ่ีงในโครงการที่ผมชื่นชอบอย่างยิ่ง เพราะทั้งวัดใหญ่วัดเล็กทั้งหมด ทั้งวัดในเมืองและนอกเมืองของแต่ละจังหวัด รวมพลังกัน ส่งกำลังใจและกำลังปัจจัยไปช่วยทุกวัดทั่วไทย นั่นเองครับ
#13
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 01:02 PM
ใจอะไรเร็วไป ทำให้เกิดผิดพลาดได้
ต้องขออนุโมทนาบุญกับความเห็นของทุกๆท่าน และขอขมวดจากความเห็นของ นักเรียนอนุบาล ทัพพีในหม้อ,คุณรู้มั๊ย คุณนั้นเคยตาย และเด็กผู้น้อย ดังนี้
การที่เราจะไปทำบุญกับวัดใด อย่าใช้คำว่า "ความรวย"หรือ"ความจน"ของวัดนั้น
เข้ามาเป็นตัวตัดสิน แต่ต้องดูว่า
1.วัดนั้นมีพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นแหล่งแห่งเนื้อนาบุญที่แท้จริง หรือไม่เพียงใด
2.วัดนั้นทุ่มเทให้กับการสั่งสอนแก่ญาติโยม ให้เป็นคนดีที่โลกต้องการ หรือไม่เพียงใด
3.วัดนั้นทำประโยชน์ให้กับสังคม ประเทศชาติ พระศาสนา และมนุษยชาติ หรือไม่เพียงใด
ขออนุโมทนาบุญกับ นักเรียนอนุบาล สาคร ที่ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้ที่จะตามมาภายหลัง
#14
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 01:14 PM
ไม่ถึงว่า จะมีความคิด ที่ตรงกับตัวของดิฉัน จะใช้ชักชวนคนทำบุญจะพูดว่า วัดใหญ่ หรือว่าวัดเล็ก ดีใจที่เราใช้คำ
พูดที่ถูกกับการ ชวนคนมาทำบุญค่ะ ขออนุโมทนาบุญด้วย นะค่ะ ดีใจจริงๆๆๆ สาธุ สาธุ สาธุ
#15
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 01:26 PM
ไฟล์แนบ
#16
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 03:12 PM
ทำบุญกับวัดหรือพระที่ยิ่งเป็นเนื้อนาบุญมากเท่าไหร่ ผลแห่งบุญย่อมสำเร็จแก่เรามากเท่านั้น
ขออนุญาตยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม เช่น วัดที่สภาพสะอาด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย บรรยากาศสงบ คนในวัดมีวินัย มีอัธยาศัยไมตรี เอื้ออารีต่อกัน สาธุชนผู้หวังความสุขความเจริญได้ทราบแล้ว ย่อมหลั่งไหลพากันมาเอาบุญมากขึ้นจนกลายเป็นวัดใหญ่
ขออนุโมทนาบุญกับทุกธรรมทานครับ
#17
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 03:26 PM
1. ให้ของที่สะอาด - ถูกสุขอนามัย, ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยอาชีพสุจริต ไม่ลักขโมยใครมา ไม่ลักทรัพย์ หรือ ไม่ได้ทำมิฉจาอาชีวะ เช่น ค้ายาพิษ ค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ เป็นต้น
2. ให้ของที่ประณีต - ทำหรือหามาถวายด้วยความตั้งใจ
3. ให้ตามกาล - ถูกกาละเทศะ เช่น หน้าหนาวให้ผ้าห่ม หน้าฝนให้ผ้าสรงน้ำ น้ำท่วมให้ปัจจัย 4 ช่วยพระภาคใต้ ถวายกฐิน ผ้าป่า เป็นต้น
4.ให้ของที่สมควรให้ - สมควรแก่สมณบริโภค เช่น ปัจจัย 4 ... ไม่ให้ยาพิษ เหล้า บุหรี่
5.เลือกให้ - เลือกเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ อยู่ในศีลในธรรม จะอยู่วัดเล็ก วัดใหญ่ไม่สำคัญ
6.ให้อยู่เนื่องนิตย์ - ให้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
7.ให้ด้วยจิตที่ผ่องใส - เจตนาบริสุทธิ์ ตั้งใจทำเพราะอยากได้บุญ ไม่ใช่อยากได้หน้า หรือ หวังผลทางธุรกิจ อำนาจวาสนา
8.ให้แล้วตามตรึก ระลึกถึงด้วยความปีติใจ - ก่อนทำ ขณะทำ หลังใจ ให้ผ่องใส ทั้ง 3 ระยะ บุญเกิด+ส่งผล 3 วัยของชีวิต คือ ปฐมวัย มัชฌิมวัย (กลางคน) ปัจฌิมวัย (วัยสูงอายุ)
ปฐมสัปปุริสสูตร การให้ทานของสัตบุรุษ มีลักษณะ 8 ประการ (อัง.อัฏฐก.ทานวรรค มก.37/488
#18
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 07:55 PM
ก่อนอื่นผมต้องออกตัวใว้ก่อนนะครับ ว่าผมไม่ได้หมายถึง วัดหนึ่ง วัดใด
เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ผมจะทำบุญลักษณะ คุณ ทัพพีในหม้อครับ
คือไม่ได้เลือกที่ตัววัด แต่ผมจะดู พระในวัด และจุดประสงค์ ของวัดครับ
ยังไงก็ขออนุโมทนากับทุกๆท่านนะครับ
#19
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 09:06 PM
หลวงพ่อไม่เคยเบื่อหน่ายเพศสมณะเลยแม้แต่เพียงวันเดียวตั้งแต่บวชวันแรก เผลอประเดี๋ยวเดียว ๓๐ กว่าพรรษาแล้ว เป็นพระนี่อยู่เหนือความรวยความจนนะ พระไม่ได้คิดเรื่องรวยและก็ไม่ได้คิดเรื่องจน มันเหนือตรงนั้นไปแล้ว วัดก็เหมือนกันอยู่เหนือคำว่า "วัดรวย" หรือ "วัดจน"
“วัด” เป็น เครื่องวัดของคนเข้าวัดว่า กิเลสหรือสิ่งไม่ดีนั้นหมดไปแค่ไหน ยังเหลืออีกแค่ไหน และก็เป็นสถานที่ตักตวงบุญ เป็นแหล่งเนื้อนาบุญ เป็นแหล่งแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทำให้เราดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง ไม่ผิดพลาด มีสุคติเป็นที่ไป มีเป้าหมายคือพระนิพพาน เราจะมองที่ถาวรวัตถุ หรือจำนวนคนเข้าวัดว่า วัดนี้รวย วัดนี้จน ไม่ถูกนะ
วัดหลวงปู่หลวงตาในหลายๆ วัดที่ต่างจังหวัด ท่านมีแค่กุฏิหลังเล็กๆ มีทางจงกรม มีที่พักกลางวัน มีศาลาเอนกประสงค์ ที่ท่านทำอย่างนั้นเพราะท่านมีวัตถุประสงค์ที่จะปลีกวิเวก เพื่อให้กายสงัด ใจจะได้สงัด กิเลสจะได้หมดไป นั่นวัตถุประสงค์ของท่าน ไม่ใช่ท่านจน ถ้าท่านจะสร้างให้ใหญ่โตท่านก็ทำได้ แต่ท่านไม่ได้มีวัตถุประสงค์อย่างนั้น ใครมีบุญอยากได้บุญก็มาฟังธรรม ไม่มีใครมาท่านก็ปฏิบัติธรรมทำความเพียรของท่านไป มันแล้วแต่วัตถุประสงค์
อย่างวัดใหญ่ๆ หลายๆ วัด โดยเฉพาะวัดพระธรรมกาย ที่สร้างก็มีวัตถุประสงค์เพื่อเอาไว้เป็นสถานที่ประพฤติธรรม ให้สาธุชนผู้มีบุญทั้งหลายที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างไกลนัก รถวิ่งสักชั่วโมง ชั่วโมงครึ่ง ได้มาปฏิบัติธรรมรวมกัน เป็นพลังหมู่ในการปฏิบัติธรรมในการศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะให้ไปตากแดด ตากลม ตากฝน ก็ทำไม่ได้ เมื่อคนเยอะก็ต้องสร้างใหญ่ ไม่ได้เกี่ยวกับรวยหรือจนเลย เพราะว่าวัดหลวงพ่อเอาไปขายไม่ได้ แล้วไม่เคยคิดจะไปขายด้วย เลิกคิดเรื่องค้าขายหรือทำมาหากินตั้งแต่บวชแล้ว
หรือมหาธรรมกายเจดีย์ที่สร้างก็เพื่อเป็นที่รวมใจให้คนนึกถึงบุญ นึกถึงพระรัตนตรัย ใจจะได้เป็นกุศล เมื่อใจเป็นกุศล เลื่อมใสในพระรัตนตรัย จะได้เป็นรหัสผ่านไปสุคติภพ วัตถุประสงค์เป็นอย่างนี้จึงได้สร้าง
เพราะฉะนั้น วัดอยู่เหนือความรวยหรือความจน ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ส่วนเมื่อเข้าใจแล้วจะไปทำบุญที่ตรงไหน ก็มีศรัทธาตรงไหนก็ไปทำตรงนั้น ศรัทธาอยากสร้างโรงเรียนก็สร้างโรงเรียน ศรัทธาอยากสร้างโรงพยาบาลก็สร้างโรงพยาบาล หรือสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ซึ่งรักษาไข้ทางกาย และให้วิทยาทานพอแล้ว เราจะมาสร้างโรงพยาบาลรักษาไข้ทางใจ หรือมาสร้างโรงเรียนเป็นที่ศึกษาเรื่องความจริงของชีวิตก็มาสร้างวัด ก็แล้วแต่เรา
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเรียงขั้นตอนของบุญที่จะได้มากมาตามลำดับ ตั้งแต่
1. ให้อาหารกับสัตว์เดรัจฉาน
2. กับมนุษย์ทุศีล
3. มนุษย์มีศีล
4. มนุษย์เข้าถึงธรรม
5. ถึงฌานสมาบัติ
6. เป็นโคตรภูบุคคล
7. เป็นพระอริยบุคคล
8. เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า
9. ไล่เรื่อยไปถึงสร้างถาวรวัตถุ
เรียงลำดับปริมาณของบุญที่จะได้มากกว่ากัน พระองค์ก็บอกเอาไว้แล้วที่มีอยู่ในตำรับตำรา เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้วเราก็เลือกเอา แล้วแต่ใจของเราจะไขว่คว้าเอา
เวลาทำอะไรพลาด อย่าคิดนำไปก่อน เพราะมารจะเข้าแทรกผัง ให้เราคิดได้เป็นเรื่องเป็นราวทันที ยิ่งคิด ยิ่งมีผลเสียแก่ตัวเราเอง ถ้าคิดอย่างนี้แล้วใจจะตก มารจะแทรกผังสำเร็จใส่ทันที ทำให้เรื่องที่ยังไม่มีอะไร กลับกลายเป็นเรื่องร้ายทันที ยิ่งคิดจะยิ่งเสีย ฉะนั้น เมื่อเกิดเรื่อง ให้เราทำใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายอย่างเดียว (ขุมทรัพย์จากคุณยาย)
#20
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 09:27 PM
สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
ลูกพระธัมฯ หลานหลวงปู่ หลานคุณยาย
#21
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 11:28 PM
คิดผิดใหม่ได้นะครับ
#22
โพสต์เมื่อ 26 September 2008 - 11:51 PM
ขอบคุณทุกท่าน และอนุโมทนสบุญกับทุกความเห็น
ยอมรับว่า.. ดิฉันก็เคยจนกับคำถามข้อนี้อยู่บ่อยๆ
#23
โพสต์เมื่อ 27 September 2008 - 05:47 PM
2.วัดนั้นทุ่มเทให้กับการสั่งสอนแก่ญาติโยม ให้เป็นคนดีที่โลกต้องการ
3.วัดนั้นทำประโยชน์ให้กับสังคม ประเทศชาติ พระศาสนา และมนุษยชาติ
และเพิ่มอีกข้อค่ะ คือไปวัดแล้วรู้สึกว่าได้ความรู้ติดตัวมา และรู้สึกว่านี่แหละใช่ ชอบที่นี่ มาที่นี่แล้วมีความสุข สงบ
ส่วนวัดที่ไม่เป็นแบบนี้ ก็ร่วมบุญด้วย แบบตามประเพณี
แล้วก็เห็นด้วยกับคุณเคยเข้าวัดค่ะ
เกิดมาก้เพิ่งได้ยินคำว่าวัดรวย ก็สมัยที่บอกบุญของที่วัดนี่ล่ะค่ะ
เพราะวัดไม่สามารถตีค่าออกมาเป็นค่าเงินได้ เพราะส่ิงก่อสร้างที่อยุ่ในวัด สร้างมาด้วยแรงศรัทธา มีค่ามากกว่าเงินมากนัก ไม่ควรเอาค่าของเงินไปตีเสมอ โดยการเปรียบเทียบ
กับอีกคำที่มักจะได้ยิน เป็นพระ ก็ต้อง "สมถะ" ทำไมต้องทำอะไรใหญ่โต
คำว่าสมถะ วัดกันที่อะไร?
วัดกันที่พระเทศน์สั่งสอนโยม แล้วโยมถูกใจจนเข้ามาฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม มากๆ เช่นนั้นหรือ?
ถ้าโยมไปวัด แล้วพระไม่สนใจโยม โยมจะรู้สึกอย่างไร?
พระก็ต้องดูแลโยม โยมมาแยะๆ ด้วยความเมตตา พระ่ท่านก็ต้องขวนขวายบอกบุญ เพื่อสร้างสถานที่ ให้โยมได้มาฟังเทศน์ ฟังธรรม นั่งสมาธิ ไม่ต้องตากแดด ตากฝน
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#24
โพสต์เมื่อ 31 March 2009 - 09:13 PM