จะทุกข์ทำไม ในเมื่อพุทธศาสนาบอกว่าเกิดมาเพื่อสร้างกรรมดี ไม่ใด้บอกว่า เกิดมาเพื่ออมทุกข์ แล้วจะทุกข์ทำไม
พุทธศาสนาบอกว่า เกิดมาแล้วต้องตายทุกคน
รวยก็ตาย ไม่รวยก็ตาย
มีหนี้ก็ตาย ไม่มีหนี้ก็ตาย
เขาฆ่าก็ตาย ไม่ฆ่าก็ตาย
มีทุกข์ก็ตาย ไม่มีทุกข์ก็ตาย
สวยก็ตาย ไม่สวยก็ตาย
หล่อก็ตายไม่หล่อก็ตาย
บางคนสะสมเงินทอง ที่ดิน รถยนต์ เฝ้าหวงแหนไม่ให้ใครใช้ไม่ให้ใครอยู่ ทำยังกะตัวเองไม่ตายยังงั้นแหล่ะ
ทรัพย์สินเงินทองเขาใช้กันเฉพาะในโลกมนุษย์นี้เท่านั้นนะครับ ภพอื่นภูมิอื่นเขาใช้บุญกัน
เพราะฉะนั้นถ้ารักตัวกลัวตายฟรี ก็เอาทรัพย์สินเงินทองที่สะสมเอาใว้ส่วนหนึ่งไปแลกเป็นบุญเอาใว้ จะได้ไม่ตายฟรี
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: สาคร
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 764
- ดูโปรไฟล์ 17131
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
กระทู้ที่ฉันเริ่ม
***นึกถึงความ ตาย แล้วจะคลายทุกข์***
20 April 2010 - 03:12 PM
***ให้ทาน แล้ว เสียดาย***
20 April 2010 - 11:52 AM
ในสมัยพุทธกาล
พระเจ้าประเสนธิโกศล แห่งกรุง สาวัตถี ได้เสด็จเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลเรื่องของ เศรษฐีผู้หนึ่งอยู่ในกรุง สาวัตถี
ไม่มีบุตรธิดา ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ นำปลายข้าว มาต้มกินกับน้ำผักดอง เป็นอาหารทุกมื้อ เสื้อผ้าก็ใช้แต่ของหยาบๆราคาถูก
ร่มที่ใช้ก็ทำด้วยใบไม้ รถที่ใช้ก็เป็นรถเก่าๆ
แม้นใครเอา อาหาร เสื้อผ้า และเอาสิ่งของที่ดีๆมาให้ เศรษฐีก็จะโกรจไม่พอใจ เอาสิ่งของนั้นขว้างปาทิ้งบ้าง ขว้างใส่คนที่นำมาให้บ้าง จนต้องหนีกันหมด ครั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วไม่มีบุตรมารับ มรดก พระองค์จึงต้องขนเอา ทรัพย์สินของเศรษฐีนั้น ที่มีอยู่จำนวนมากมาย เข้ามาใว้ในพระคลังหลวง
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้แสดงถึงอดีตชาติ ของท่านเศรษฐีผู้นี้ว่า.....
อดีตชาตินั้น เขาได้เกิดในตระกูลเศรษฐี วันหนึ่งขณะที่เขานั่งกินอาหารอยู่นั้น ได้เห็นพระ ปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า คตรสีขี
ซึ่งออกจากผลสมาบัติ ณ ภูเขาคันธมาทน์ ออกโปรดสัตว์
เขาเกิดมีจิตเลื่อมใสที่จะถวาย ภัตตาหาร จึงสั่งให้ภรรยาถวายบิณฑบาต แล้วก็ลุกจากที่นั่งไป ฝ่ายภรรยาเศรษฐีเห็นว่า ทุกวันเศรษฐีผู้เป็นสามี ไม่เคยสั่งให้ถวายบิณฑบาตเลย และวันนี้ได้โอกาสแล้ว ที่จะได้ถวาย บิณฑบาต พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลส จึงมีจิตยินดีเป็นอย่างยิ่ง
นางได้ออกไปต้อนรับและได้ ถวายด้วยอาหารที่ปรุงอย่างปราณีต ประดับด้วยของหอมเศรษฐีได้กลิ่นอาหาร ได้เห็นอาหารที่ปราณีต ก็เกิดความรู้สึกเสียดาย เร่าร้อนใจ คิดว่าอาหารนี้ ถ้าให้ข้าทาสบริวารของตนบริโภคยังจะดีกว่า เพราะเขาเหล่านั้น ยังต้องทำงานให้ประโยชน์แก่ตนได้
หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐีได้ตายไปแล้ว จากผลของการตั้งใจถวายบิณฑบาต พระปัจเจกพุทธเจ้าในตอนแรก จึงได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ถึง 7 ครั้งแล้วไปบังเกิดในตระกูลเศรษฐีอีก 7 ครั้ง แต่เนื่องจากมีจิตคิดเสียดายในภายหลัง จึงทำให้ไม่มี จิตคิดบริโภคอาหารที่ปราณีต ไม่มีจิตคิดจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีๆ ไม่มีจิตที่จะใช้รถใหม่ๆ และใช้ร่มดีๆ
และในชาตินั้นเศรษฐีได้ ฆ่าหลานชายของตัวเอง ซึ่งเป็นบุตรของพี่ชาย ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว เพื่อที่จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
ด้วยวิบากกรรมนี้ได้ทำให้เขาต้อง ตกนรกนานแสนนาน เศษของกรรมทำให้เขาไร้ทายาทรับมรดก ทรัพย์สมบัติมากมายของเขา ต้องถูกทางการขนเข้าท้องพระคลังหลวงมาแล้วถึง 7 ชาติ
พระเจ้าประเสนธิโกศล แห่งกรุง สาวัตถี ได้เสด็จเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลเรื่องของ เศรษฐีผู้หนึ่งอยู่ในกรุง สาวัตถี
ไม่มีบุตรธิดา ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ นำปลายข้าว มาต้มกินกับน้ำผักดอง เป็นอาหารทุกมื้อ เสื้อผ้าก็ใช้แต่ของหยาบๆราคาถูก
ร่มที่ใช้ก็ทำด้วยใบไม้ รถที่ใช้ก็เป็นรถเก่าๆ
แม้นใครเอา อาหาร เสื้อผ้า และเอาสิ่งของที่ดีๆมาให้ เศรษฐีก็จะโกรจไม่พอใจ เอาสิ่งของนั้นขว้างปาทิ้งบ้าง ขว้างใส่คนที่นำมาให้บ้าง จนต้องหนีกันหมด ครั้นเมื่อสิ้นชีวิตแล้วไม่มีบุตรมารับ มรดก พระองค์จึงต้องขนเอา ทรัพย์สินของเศรษฐีนั้น ที่มีอยู่จำนวนมากมาย เข้ามาใว้ในพระคลังหลวง
พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้แสดงถึงอดีตชาติ ของท่านเศรษฐีผู้นี้ว่า.....
อดีตชาตินั้น เขาได้เกิดในตระกูลเศรษฐี วันหนึ่งขณะที่เขานั่งกินอาหารอยู่นั้น ได้เห็นพระ ปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า คตรสีขี
ซึ่งออกจากผลสมาบัติ ณ ภูเขาคันธมาทน์ ออกโปรดสัตว์
เขาเกิดมีจิตเลื่อมใสที่จะถวาย ภัตตาหาร จึงสั่งให้ภรรยาถวายบิณฑบาต แล้วก็ลุกจากที่นั่งไป ฝ่ายภรรยาเศรษฐีเห็นว่า ทุกวันเศรษฐีผู้เป็นสามี ไม่เคยสั่งให้ถวายบิณฑบาตเลย และวันนี้ได้โอกาสแล้ว ที่จะได้ถวาย บิณฑบาต พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลส จึงมีจิตยินดีเป็นอย่างยิ่ง
นางได้ออกไปต้อนรับและได้ ถวายด้วยอาหารที่ปรุงอย่างปราณีต ประดับด้วยของหอมเศรษฐีได้กลิ่นอาหาร ได้เห็นอาหารที่ปราณีต ก็เกิดความรู้สึกเสียดาย เร่าร้อนใจ คิดว่าอาหารนี้ ถ้าให้ข้าทาสบริวารของตนบริโภคยังจะดีกว่า เพราะเขาเหล่านั้น ยังต้องทำงานให้ประโยชน์แก่ตนได้
หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐีได้ตายไปแล้ว จากผลของการตั้งใจถวายบิณฑบาต พระปัจเจกพุทธเจ้าในตอนแรก จึงได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ถึง 7 ครั้งแล้วไปบังเกิดในตระกูลเศรษฐีอีก 7 ครั้ง แต่เนื่องจากมีจิตคิดเสียดายในภายหลัง จึงทำให้ไม่มี จิตคิดบริโภคอาหารที่ปราณีต ไม่มีจิตคิดจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีๆ ไม่มีจิตที่จะใช้รถใหม่ๆ และใช้ร่มดีๆ
และในชาตินั้นเศรษฐีได้ ฆ่าหลานชายของตัวเอง ซึ่งเป็นบุตรของพี่ชาย ที่เสียชีวิตไปนานแล้ว เพื่อที่จะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติ ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
ด้วยวิบากกรรมนี้ได้ทำให้เขาต้อง ตกนรกนานแสนนาน เศษของกรรมทำให้เขาไร้ทายาทรับมรดก ทรัพย์สมบัติมากมายของเขา ต้องถูกทางการขนเข้าท้องพระคลังหลวงมาแล้วถึง 7 ชาติ
***ถามเรื่องการ กินน้ำปัสสวะ ของพระ***
28 October 2009 - 02:28 PM
ถามเลยดีกว่า
มีที่มาอย่างไรบ้างครับ เคยอ่านเจอว่า พระป่าท่านดื่มปัสสวะกัน
ในสมัยพุทธกาล มีกล่าวใว้ที่ไดบ้าง กินน้ำปัสสวะ แล้ว มีผลอะไรกับร่างกายบ้าง
รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อยครับ ได้ยินมานานแล้ว ว่ามีคนเชากินกัน
มีที่มาอย่างไรบ้างครับ เคยอ่านเจอว่า พระป่าท่านดื่มปัสสวะกัน
ในสมัยพุทธกาล มีกล่าวใว้ที่ไดบ้าง กินน้ำปัสสวะ แล้ว มีผลอะไรกับร่างกายบ้าง
รบกวนผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อยครับ ได้ยินมานานแล้ว ว่ามีคนเชากินกัน
***เราประเคน ของแบบผิดๆ ทำให้พระต้องอาบัติ ***
17 October 2009 - 06:56 PM
การประเคนที่ไม่ถูกต้องตามพระวินัย เราลองมาดูกัน
บางวัด บอกว่า ญาติโยมนำอาหารมาวางใว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า นำอาหารมาถวายครับ ไม่ต้องประเคน ถือว่าให้แล้วหรือประเคนแล้ว
บางอาจารย์ สอนว่าผู้ประเคน ต้องยกของขึ้นสูงจากพื้นพอแมวลอดได้ หรือสูงจากพื้น ประมาณ 1 กำมือ จึงจะถือว่าประเคนแล้ว
บางอาจารย์ ให้เอา อาหารคาวหวาน ทั้งหมดที่จะประเคน มาต่อกันหรือจับชนกัน โยมอยู่ข้างหนึ่ง พระอยู่อีกข้างหนึ่ง ถือว่าประเคนแล้ว
บางอาจารย์ บอกว่าหาคนประเคนยาก ถ้าอยาก ฉันมะม่วง ก็ให้ประเคน ทั้งต้นเลย อยากฉันเมื่อไหร่ก็ไป สอยเอาได้เลย
การประเคนที่ถูกต้องตามพระวินัยมีองค์5คือ
1.สิ่งของนั้นไม่ใหญ่จนเกินไป บุรุษมีกำลังปานกลางพอยกได้
2.เข้ามาในหัตถบาตร
3.น้อมเข้ามาถวาย
4.ผู้ประเคนจะเป็นมนุษย์เทวดาหรือสัตว์เดรัจฉานก็ได้
5.ภิกษุรับประเคนสิ่งของ นั้นด้วยกายหรือของเนื่องด้วยกาย(อรรถกถามหาวิภังค์1/562
อธิบาย องค์ของการประเคน
ข้อ1.โยมจัดอาหารคาวหวานมาถวายจำนวนมากใว้บนโต๊ะ ที่ไม่ใหญ่และไม่ยาวนัก อาหารรวมบนโต๊ะนั้น บุรุษผู้มีกำลังปานกลางสามารถยกขึ้นได้ลำพังเพียงคนเดียว เวลาประเคน โยมหลายๆคน พร้อมกันยกประเคนไช้ได้ แต่ถ้าโต๊ะใหญ่และยาว อาหารก็มาก จนบุรุษผู้มีกำลังปานกลาง ยกขึ้นไม่ไหว ถึงแม้โยมหลายคนช่วยกันยกประเคน การประเคนนั้น
ถือว่าผิดใช้ไม่ได้ (อรรถกถามหาวิภังค์2/564)
ข้อ2.หัตถบาส 1 เท่ากับ 2 ศอกคืบดังที่ท่านกล่าวใว้ว่า 2 ศอกคืบ พึงทราบว่า หัตถบาส ถ้าภิกษุนั่งกำหนดตั้งแต่ริมสุดด้านหลังของอาสนะไป(จากเข่าไป1ศอกคืบ)ถ้ายืน กำหนดตั้งแต่ที่สุดส้นเท้าไป ถ้านอน กำหนดตั้งแต่ที่สุดด้านนอกแห่งสีข้างที่นอนไป ด้วยที่สุดด้านในแห่งอวัยวะ ที่ใกล้กว่าของทายกผู้นั่งอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นอนอยู่ก็ตามยกเว้นมือที่เหยียดออก(อรรถกถาวิภังค์2/511)
นกเอาปากคาบดอกไม้หรือผลไม้มาถวาย ช้างเอางวงจับดอกไม้หรือผลไม้ อยู่ในหัตถบาส พระรับประเคน การรับประเคนนั้นใช้ได้ พระนั่งอยู่บนคอช้างสูง 7 ศอกคืบ จะรับของที่ช้างนั้นถวายด้วย งวง ก็ควรเหมือนกัน(2/562)
คนทั้งหลายโยนของข้ามรั้วหรือกำแพงไม่หนามากกว่า หัตถบาส เพียงพอแก่ผู้ยืนอยู่ใน กำแพงและภายนอกกำแพง(ไม่เลยหัตถบาส)ภิกษุจะรับของที่โยนขึนสูงแม้ตั้งร้อยศอก แล้วตกลงมาถึง ก็ควรเหมือนกัน(อรรถกถามหาวิภังค์2/571)
ข้อ3.การน้อมเข้ามาถวาย เป็นการให้ด้วยความเคารพและอ่อนน้อม เวลาโยมมาถวายอาหาร ถ้าการน้อมถวายยังไม่ปรากฎไม่ควรรับ ถ้าโยมน้อมกายหรือศรีษะ ลงมาเพียงเล็กน้อย ก็รับประเคนได้ ท่านกล่าวไว้ว่า "ทายกคนหนึ่งทูนภาชนะข้าวสวยและกับข้าวเป็นอันมากไว้บนศรีษะมาที่วัด ยืนพูดว่า นิมนต์ท่านรับเถิด การน้อมถวายยังไม่ปรากฎ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรรับ แต่ถ้าเขาน้อมมาเพียงเล็กน้อย ภิกษุ เหยียดแขนออกรับภาชนะอันล่าง ด้วยอาการรับเพียงเท่านี้ ภาชนะทั้งหมดเป็นอันประเคนแล้ว"(อรรถกถาวิภังค์2/563)
ข้อ4.ผู้ประเคนเป็นใครก็ได้ จะเป็น พระพรหม พระอินทร์ เทวดา นาค ครุฑ ยักษ์ เปรต อสุรกาย ภูตผีปีศาจ มนุษย์ชายหญิง และสัตว์เดรัจฉานมี ช้าง ลิง นก สุนัข เป็นต้น ประเคนได้ทั้งหมด
ข้อ5.ภิกษุรับประเคนสิ่งของนั้นด้วยกาย หรือของเนื่องด้วยกาย รับสิ่งของด้วยกาย เช่น เวลาโยมผู้หญิงหรือผู้ชาย นำเอาอาหารมาถวาย พระใช้รับด้วยมือได้ แต่ประเทศไทยไม่นิยมรับอาหารจากมือโยม ผู้หญิงโดยตรง เพราะเกรงว่ามือจะไปโดนกันเข้า แลดูไม่งามหรือเพราะเกรงว่า เมื่อภิกษุมีจิตยินดีด้วยราคะอาจทำให้ต้อง อาบัติถุลลัจจัยได้
จึงรับด้วยของเนื่องด้วยกาย คือใช้วัตถุรับประเคนแทนกาย เช่น บาตร ถาด ถ้วยโถ จาน ผ้า แผ่นหนัง กระดาน ใช้ใบไม้ใหญ่พอที่จะวางของได้มีใบบัว ใบบอน ใบทองกวาวเป็นต้น ถ้าใบไม้เล็กๆเช่น ใบพุทรา ใบมะขาม เป็นต้นใช้รับประเคนไม่ได้ เพราะไม่สามารถ จะวางของประเคนได้ พระใช้วัตถุเหล่านั้นรับประเคนของจากมือโยมผู้หญิงหรือผู้ชายได้ทั้งนั้น(อรรถกถามหาวิภังค์2/564)
โยมถวายสิ่งของด้วยกายหรือของเนื่องด้วยกายก็ได้ ถวายสิ่งของด้วยกาย เช่น ใช้มือจับอาหารยกถวายเลย ถวายของเนื่องด้วยกายเช่น ใช้กระบวยหรือทัพพีเป็นต้น ตักข้าวปลาอาหารถวาย ถ้าโยมผู้ถวายนั่งหรือยืนเลย หัตถบาส ประเคนสิ่งของ การประเคนนั้นใช้ไม่ได้ พระจะต้องบอกให้โยมเข้ามาใกล้ๆในหัตถบาส แล้วค่อยประเคนจึงจะใช้ได้ ดังท่านกล่าวไว้ว่า"ถ้าทายกยืนเลย หัตถบาสไป เอากระบวยคันยาวตักถวาย พระควรบอกเขาว่า "เข้ามาใกล้ๆหน่อยโยม" ถ้าเขาไม่ได้ยินหรือไม่สนใจ เทลงไปในบาตร พระต้องรับประเคนใหม่ แม้ในคนผู้ยืนอยู่ห่างโยนก้อนข้าวไปถวาย ก็เช่นกัน(อรรถกถามหาวิภังค์2/564)
บางวัด บอกว่า ญาติโยมนำอาหารมาวางใว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า นำอาหารมาถวายครับ ไม่ต้องประเคน ถือว่าให้แล้วหรือประเคนแล้ว
บางอาจารย์ สอนว่าผู้ประเคน ต้องยกของขึ้นสูงจากพื้นพอแมวลอดได้ หรือสูงจากพื้น ประมาณ 1 กำมือ จึงจะถือว่าประเคนแล้ว
บางอาจารย์ ให้เอา อาหารคาวหวาน ทั้งหมดที่จะประเคน มาต่อกันหรือจับชนกัน โยมอยู่ข้างหนึ่ง พระอยู่อีกข้างหนึ่ง ถือว่าประเคนแล้ว
บางอาจารย์ บอกว่าหาคนประเคนยาก ถ้าอยาก ฉันมะม่วง ก็ให้ประเคน ทั้งต้นเลย อยากฉันเมื่อไหร่ก็ไป สอยเอาได้เลย
การประเคนที่ถูกต้องตามพระวินัยมีองค์5คือ
1.สิ่งของนั้นไม่ใหญ่จนเกินไป บุรุษมีกำลังปานกลางพอยกได้
2.เข้ามาในหัตถบาตร
3.น้อมเข้ามาถวาย
4.ผู้ประเคนจะเป็นมนุษย์เทวดาหรือสัตว์เดรัจฉานก็ได้
5.ภิกษุรับประเคนสิ่งของ นั้นด้วยกายหรือของเนื่องด้วยกาย(อรรถกถามหาวิภังค์1/562
อธิบาย องค์ของการประเคน
ข้อ1.โยมจัดอาหารคาวหวานมาถวายจำนวนมากใว้บนโต๊ะ ที่ไม่ใหญ่และไม่ยาวนัก อาหารรวมบนโต๊ะนั้น บุรุษผู้มีกำลังปานกลางสามารถยกขึ้นได้ลำพังเพียงคนเดียว เวลาประเคน โยมหลายๆคน พร้อมกันยกประเคนไช้ได้ แต่ถ้าโต๊ะใหญ่และยาว อาหารก็มาก จนบุรุษผู้มีกำลังปานกลาง ยกขึ้นไม่ไหว ถึงแม้โยมหลายคนช่วยกันยกประเคน การประเคนนั้น
ถือว่าผิดใช้ไม่ได้ (อรรถกถามหาวิภังค์2/564)
ข้อ2.หัตถบาส 1 เท่ากับ 2 ศอกคืบดังที่ท่านกล่าวใว้ว่า 2 ศอกคืบ พึงทราบว่า หัตถบาส ถ้าภิกษุนั่งกำหนดตั้งแต่ริมสุดด้านหลังของอาสนะไป(จากเข่าไป1ศอกคืบ)ถ้ายืน กำหนดตั้งแต่ที่สุดส้นเท้าไป ถ้านอน กำหนดตั้งแต่ที่สุดด้านนอกแห่งสีข้างที่นอนไป ด้วยที่สุดด้านในแห่งอวัยวะ ที่ใกล้กว่าของทายกผู้นั่งอยู่ก็ตาม ยืนอยู่ก็ตาม นอนอยู่ก็ตามยกเว้นมือที่เหยียดออก(อรรถกถาวิภังค์2/511)
นกเอาปากคาบดอกไม้หรือผลไม้มาถวาย ช้างเอางวงจับดอกไม้หรือผลไม้ อยู่ในหัตถบาส พระรับประเคน การรับประเคนนั้นใช้ได้ พระนั่งอยู่บนคอช้างสูง 7 ศอกคืบ จะรับของที่ช้างนั้นถวายด้วย งวง ก็ควรเหมือนกัน(2/562)
คนทั้งหลายโยนของข้ามรั้วหรือกำแพงไม่หนามากกว่า หัตถบาส เพียงพอแก่ผู้ยืนอยู่ใน กำแพงและภายนอกกำแพง(ไม่เลยหัตถบาส)ภิกษุจะรับของที่โยนขึนสูงแม้ตั้งร้อยศอก แล้วตกลงมาถึง ก็ควรเหมือนกัน(อรรถกถามหาวิภังค์2/571)
ข้อ3.การน้อมเข้ามาถวาย เป็นการให้ด้วยความเคารพและอ่อนน้อม เวลาโยมมาถวายอาหาร ถ้าการน้อมถวายยังไม่ปรากฎไม่ควรรับ ถ้าโยมน้อมกายหรือศรีษะ ลงมาเพียงเล็กน้อย ก็รับประเคนได้ ท่านกล่าวไว้ว่า "ทายกคนหนึ่งทูนภาชนะข้าวสวยและกับข้าวเป็นอันมากไว้บนศรีษะมาที่วัด ยืนพูดว่า นิมนต์ท่านรับเถิด การน้อมถวายยังไม่ปรากฎ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรรับ แต่ถ้าเขาน้อมมาเพียงเล็กน้อย ภิกษุ เหยียดแขนออกรับภาชนะอันล่าง ด้วยอาการรับเพียงเท่านี้ ภาชนะทั้งหมดเป็นอันประเคนแล้ว"(อรรถกถาวิภังค์2/563)
ข้อ4.ผู้ประเคนเป็นใครก็ได้ จะเป็น พระพรหม พระอินทร์ เทวดา นาค ครุฑ ยักษ์ เปรต อสุรกาย ภูตผีปีศาจ มนุษย์ชายหญิง และสัตว์เดรัจฉานมี ช้าง ลิง นก สุนัข เป็นต้น ประเคนได้ทั้งหมด
ข้อ5.ภิกษุรับประเคนสิ่งของนั้นด้วยกาย หรือของเนื่องด้วยกาย รับสิ่งของด้วยกาย เช่น เวลาโยมผู้หญิงหรือผู้ชาย นำเอาอาหารมาถวาย พระใช้รับด้วยมือได้ แต่ประเทศไทยไม่นิยมรับอาหารจากมือโยม ผู้หญิงโดยตรง เพราะเกรงว่ามือจะไปโดนกันเข้า แลดูไม่งามหรือเพราะเกรงว่า เมื่อภิกษุมีจิตยินดีด้วยราคะอาจทำให้ต้อง อาบัติถุลลัจจัยได้
จึงรับด้วยของเนื่องด้วยกาย คือใช้วัตถุรับประเคนแทนกาย เช่น บาตร ถาด ถ้วยโถ จาน ผ้า แผ่นหนัง กระดาน ใช้ใบไม้ใหญ่พอที่จะวางของได้มีใบบัว ใบบอน ใบทองกวาวเป็นต้น ถ้าใบไม้เล็กๆเช่น ใบพุทรา ใบมะขาม เป็นต้นใช้รับประเคนไม่ได้ เพราะไม่สามารถ จะวางของประเคนได้ พระใช้วัตถุเหล่านั้นรับประเคนของจากมือโยมผู้หญิงหรือผู้ชายได้ทั้งนั้น(อรรถกถามหาวิภังค์2/564)
โยมถวายสิ่งของด้วยกายหรือของเนื่องด้วยกายก็ได้ ถวายสิ่งของด้วยกาย เช่น ใช้มือจับอาหารยกถวายเลย ถวายของเนื่องด้วยกายเช่น ใช้กระบวยหรือทัพพีเป็นต้น ตักข้าวปลาอาหารถวาย ถ้าโยมผู้ถวายนั่งหรือยืนเลย หัตถบาส ประเคนสิ่งของ การประเคนนั้นใช้ไม่ได้ พระจะต้องบอกให้โยมเข้ามาใกล้ๆในหัตถบาส แล้วค่อยประเคนจึงจะใช้ได้ ดังท่านกล่าวไว้ว่า"ถ้าทายกยืนเลย หัตถบาสไป เอากระบวยคันยาวตักถวาย พระควรบอกเขาว่า "เข้ามาใกล้ๆหน่อยโยม" ถ้าเขาไม่ได้ยินหรือไม่สนใจ เทลงไปในบาตร พระต้องรับประเคนใหม่ แม้ในคนผู้ยืนอยู่ห่างโยนก้อนข้าวไปถวาย ก็เช่นกัน(อรรถกถามหาวิภังค์2/564)
***ก่อนที่ ยาย จะสิ้นลม ท่านตบมือ จะไปดีไหม***
11 October 2009 - 03:32 PM
คือขณะที่ทุกคน กำลังเฝ้าท่านอยู่ ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ยายบอกให้ ลูกสาว สวดมนต์ให้ฟัง แบบภาษาจีน ลูกสาวก็สวดให้ฟัง
พอลูกสาว สวดจบบทแรก คุณยาย ก็ชูหัวแม่มือ แล้วก็ตบมือ
พอเอามือลงท่านก็สิ้นใจเลยครับ ถามว่า ท่านจะไปดีหรือไม่ครับ
ยายบอกให้ ลูกสาว สวดมนต์ให้ฟัง แบบภาษาจีน ลูกสาวก็สวดให้ฟัง
พอลูกสาว สวดจบบทแรก คุณยาย ก็ชูหัวแม่มือ แล้วก็ตบมือ
พอเอามือลงท่านก็สิ้นใจเลยครับ ถามว่า ท่านจะไปดีหรือไม่ครับ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: กระทู้: สาคร
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·