ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

บุญคือฉากหลัง ของทุกชีวิต


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 kuna

kuna
  • Members
  • 780 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 10 May 2006 - 10:15 AM

[attachmentid=4493]

โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก แล่นไปสู่ความมืดมนใหญ่ โลกกำจัดความมืดได้ ส่องแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว โลกก็ถึงความมืด ฉันใด เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ สัตวโลกก็ถึงความมืด ฉันนั้น เปรียบเหมือน เมื่อพระอาทิตย์อุทัย ย่อมขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันใด พระองค์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอันประเสริฐสุด ก็ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันนั้น
ในสังสารวัฏอันหาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่ได้นี้ ยังมีเรื่องราวมากมายที่ลึกลับซับซ้อน ซึ่งอยู่เบื้องหลังคอยบังคับให้มวลมนุษยชาติทั้งหลายตกอยู่ในความประมาท มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอันเป็นเหยื่อล่อที่ร้อยรัดสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทำให้ลืมเลือนเป้าหมายดั้งเดิมที่เกิดมาเพื่อแสวงหาหนทางพระนิพพาน ถูกความไม่รู้ คืออวิชชาครอบงำบังคับบัญชาไว้ ไม่ให้คิดถึงความเป็นจริงของชีวิตว่า เราทุกๆ คน เกิดมาแล้วต้องตาย สังขารร่างกายนี้มีไว้เพื่อใช้สร้างบุญสร้างบารมี เมื่อเวลาในโลกมนุษย์หมดลง ก็ต้องย้ายไปสู่ภพภูมิใหม่ หากใครตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ด้วยการหมั่นตรึกระลึกนึกถึงศูนย์กลางกายตลอดเวลา ใจจะผ่องใส เมื่อใจถูกกลั่นให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ชีวิตจะพบกับความสุขและความสำเร็จ เป็นชีวิตที่ดำเนินอยู่บนเส้นทางของพระอริยเจ้า ซึ่งเป็นชีวิตที่มีคุณค่าและน่าสรรเสริญอย่างยิ่ง
มีวาระแห่งภาษิตที่มาใน อุปาลิเถราปทาน ความว่า
“กลิ่นหอมอันเกิดขึ้นที่ภูเขา ณ ภูเขาหิมวันต์อันเป็นภูเขาสูงสุด กลิ่นหอมทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนเสี้ยวในศีลของพระพุทธองค์ โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก แล่นไปสู่ความมืดมนใหญ่ โลกกำจัดความมืดได้ ส่องแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว โลกก็ถึงความมืด ฉันใด
เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ สัตวโลกก็ถึงความมืด ฉันนั้น เปรียบเหมือน เมื่อพระอาทิตย์อุทัย ย่อมขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันใด พระองค์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอันประเสริฐสุด ก็ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันนั้น”
พระคาถาที่กล่าวสรรเสริญพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เป็นถ้อยคำของพระอรหันต์องค์หนึ่ง ที่ท่านเกิดความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธองค์ จึงได้กล่าวออกมา เพื่อให้โลกได้ตระหนักถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบรมศาสดา เนื่องจากตัวท่านเองได้สร้างบุญกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้ประสบกับผลบุญอันยิ่งใหญ่ไพศาล จึงปรารถนาที่จะให้ทุกๆ คนมีโอกาสเช่นตัวท่านบ้าง เรื่องราวของพระเถระรูปนี้ เป็นแบบอย่างที่ดีงามให้กับพวกเราทั้งหลาย สมควรอย่างยิ่งที่จะดำเนินตาม ท่านมีนามว่า พระอุบาลีเถระ เป็นพระเถระผู้มีชื่อเสียงมากในสมัยพุทธกาล ตัวของท่านได้รับแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านทรงจำพระวินัย

*ในอดีตหลายภพหลายชาติที่ผ่านมา พระเถระได้บำเพ็ญบุญญาธิการในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านได้สั่งสมบุญบารมีในภพชาตินั้นๆ ตามวาระโอกาส แต่ก็ยังไม่ได้สร้างบุญอย่างเต็มที่เท่าที่ควร
จนกระทั่งมาถึงในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ มีพระสาวกของพระสมณโคดมพุทธเจ้าเกิดมาสร้างบารมีในยุคนี้มากมายหลายพระองค์ พระอุบาลีเถระก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ท่านได้บังเกิดในตระกูลใหญ่ เมื่อเจริญวัยแล้ว แม้ยังไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมในสำนักของพระพุทธเจ้า แต่ท่านเป็นผู้ที่เห็นโทษในการอยู่ครองเรือน จึงสละเรือนออกบวชเป็นฤๅษี ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ อาศัยอยู่ที่ หิมวันตประเทศ
สมัยนั้นพระพุทธเจ้าปทุมุตตระทรงประกาศพระสัทธรรม ยังสรรพสัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลีในดวงตาน้อยให้บรรลุธรรมกันมากมาย ศาสนาของพระองค์เจริญรุ่งเรืองมาก เมื่อพระพุทธองค์ทรงประสงค์วิเวก ได้เสด็จเข้าไปสู่หิมวันตประเทศแวดล้อมด้วยพระขีณาสพหนึ่งพัน ในขณะนั้น ดาบสนุ่งห่มหนังสัตว์ ถือไม้เท้าเที่ยวจาริกไป ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีฉัพพรรณรังสีรุ่งโรจน์มาแต่ไกลเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ จึงมีจิตเลื่อมใสในลักษณะอันงดงามของพระพุทธองค์ จึงตั้งใจทำหนังสัตว์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีเหนือเศียรเกล้า ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พลางกล่าวชมเชยด้วยอุปมามากมายว่า
“สัตว์ทั้งหลายที่เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดผุดขึ้น เกิดในครรภ์ และนกมีกา เป็นต้นทั้งหมด ย่อมเที่ยวไปในอากาศทุกเมื่อ ฉันใด สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีสัญญาก็ตาม ไม่มีสัญญาก็ตาม สัตว์เหล่านั้นก็ ฉันนั้น ย่อมเข้าไปภายในพระญาณของพระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์ทรงปรารภความเพียรแล้ว ได้เป็นพระพุทธเจ้าของโลกพร้อมทั้งเทวโลก ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ยินดีด้วยการปรารภกรรมของพระองค์
อนึ่ง กลิ่นหอมอันเกิดที่ภูเขา ณ ภูเขาหิมวันต์อันเป็นภูเขาสูงสุด กลิ่นหอมทั้งหมดนั้น ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนเสี้ยวในศีลของพระผู้มีพระภาค โลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกต่างถูกความมืดมนใหญ่ครอบงำ โลกกำจัดความมืดได้ ส่องแสงโชติช่วงอยู่ เพราะพระญาณของพระองค์ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว โลกก็ถึงความมืด ฉันใด เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ สัตวโลกก็ถึงความมืด ฉันนั้น เปรียบเหมือนเมื่อพระอาทิตย์อุทัย ย่อมขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันใด พระองค์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าอันประเสริฐสุด ก็ขจัดความมืดได้ทุกเมื่อ ฉันนั้น”
พระมหามุนีพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็นบัณฑิตนักปราชญ์ ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงอนุโมทนา เสด็จเหาะขึ้นไปในอากาศ ดังพญาหงส์ในอัมพร ทรงมองไปในอนาคตกาล เห็นอานิสงส์ อันยิ่งใหญ่ที่จะบังเกิดขึ้นกับดาบสผู้นี้ ที่ได้กล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ปรารถนาจะให้ดาบสเกิดมหาปีติ จึงตรัสพยากรณ์ด้วยอนาคตังสญาณอันบริสุทธิ์ว่า “ผู้ใดสรรเสริญญาณของเรา ผู้นั้นจักเข้าถึงสมบัติใหญ่ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เป็นท้าวสักกเทวราช ๑๘ ครั้ง จักได้เป็นพระราชาในแผ่นดินครอบครองพสุธา ๓๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๕ ครั้ง จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยจะคณานับมิได้
ในกัปที่แสน พระศาสดามีพระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เขาถูกกุศลกรรมตักเตือนแล้ว จักเคลื่อนจากภพดุสิตลงมาบังเกิดในโลก มีชื่อว่า อุบาลี ในอนาคต ดาบสนี้จักบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โคดม จักได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้มีปัญญาเฉียบแหลมในทางพระวินัย”
จากนั้น พระบรมศาสดาพร้อมหมู่สงฆ์ก็หลีกไป เมื่อท่านได้รับคำพยากรณ์เช่นนั้น ท่านเกิดมหาปีติอย่างยิ่ง ดำรงอยู่ตลอดอายุขัย มีฌานไม่เสื่อม ท่านไปบังเกิดในพรหมโลก จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ เสวยสมบัติมากมาย จนมาถึงพุทธกาลนี้ ได้มาบังเกิดเป็นหลานของพระอุบาลีเถระในกรุงกบิลพัสดุ์ เมื่อเจริญวัย ท่านได้บวชในสำนักของพระอุบาลีเถระผู้เป็นลุง เรียนพระกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็ได้เป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นผู้มีญาณเฉียบแหลม เพราะเหตุที่ตนอยู่ใกล้อาจารย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก ในด้านทรงจำพระวินัย ใครก็ตามมีข้อสงสัยเกี่ยวกับพระวินัย หากได้ซักถามท่าน ท่านจะแก้ข้อสงสัยนั้นได้หมด
ดังนั้น พระบรมศาสดาของเราจึงทรงแต่งตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ โดยตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุทั้งหลายผู้สาวกของเราผู้มีปัญญาเฉียบแหลมในปัญหาพระวินัย ภาคิไนยอุบาลีนี้เป็นเลิศ” ท่านได้รับตำแหน่งเอตทัคคะเช่นนี้แล้ว จึงระลึกถึงบุพกรรมของตน และประกาศเรื่องราวแต่หนหลังไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ดำเนินรอยตาม

เราจะเห็นว่า ทุกคนมีฉากหลังของชีวิตกันทั้งนั้น บุญคือฉากหลังที่มีคุณค่าที่สุดของทุกๆ คน นักสร้างบารมีทั้งหลายในกาลก่อน ท่านมีโอกาสสร้างบุญด้วยตนเองและชักชวนให้ผู้อื่นมาร่วมสร้าง เมื่อบุญเต็มเปี่ยมความปรารถนานั้นก็สมหวัง เราจะพบว่า อริยสาวกผู้เพียบพร้อมด้วยโลกิยสมบัติ อริยสมบัติ ทุกท่านต่างสร้างบุญใหญ่กันมาทั้งนั้น บุญที่เกิดจากการกล่าวสรรเสริญคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอีกบุญหนึ่งที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม ดังนั้น ให้หมั่นสวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยและตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา เพื่อชีวิตเราจะได้เจริญรุ่งเรืองสมปรารถนากันทุกๆ คน

*มก. อุปาลิเถราปทาน เล่ม ๗๑ หน้า ๑๖๘

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  MO1_55__.jpg   94.28K   12 ดาวน์โหลด


#2 จริยคุณกุลภัทร์

จริยคุณกุลภัทร์
  • Members
  • 368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 05:58 PM

สาธุๆๆๆ

#3 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 15 May 2006 - 07:33 PM

อนุโมทนาบุญกับบทความดีๆ มีคุณค่า ทำให้มีกำลังใจในการสร้างความดียิ่งๆขึ้นไปครับ smile.gif

หลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่ท่านได้สอนว่า บุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต มีบุญมากอุปสรรคก็น้อย มีบุญน้อยอุปสรรคก็มาก.

smile.gif