ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ทําอย่างไรก็ได้อย่างนั้น


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 kuna

kuna
  • Members
  • 780 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 07 June 2006 - 10:51 AM

[attachmentid=5034]

แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดเวลาที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดบาปเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดเวลาที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด กรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดี ว่าดี
อายตนนิพพานเป็นธรรมธาตุที่เปี่ยมไปด้วยบรมสุขอันเป็นอมตะ เต็มไปด้วยกายธรรมอรหัตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในแต่ละภพแต่ละชาติ ต่างมีเป้าหมายที่จะเข้าถึงนิพพาน แต่ถูกอวิชชามาห่อหุ้มดวงจิต ปิดบังเห็น จำ คิด รู้ ทำให้ลืมเลือนเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต ผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ ที่เกิดจากการหยุดนิ่ง จึงจะสามารถเข้าไปรู้เห็นความเป็นจริงในฉากหลังของชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เราน่าศึกษาค้นคว้า และเข้าไปให้ถึงกันทุกคน

มีวาระแห่งพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ความว่า
“แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดเวลาที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดบาปเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดเวลา ที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด กรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดี ว่าดี”

การสร้างบุญในแต่ละครั้งของชีวิต เป็นสิ่งที่เราขาดไม่ได้ แต่บางครั้งบางเวลาอาจจะเกิดความรู้สึกว่า ทำไมหนอ ความดีที่เราสั่งสมมามากมาย ยังไม่ให้ผลสักที เรารอคอยมายาวนานแล้ว หรือว่าคงทำดีแล้วไม่ได้ดี เนื่องจากเราเกิดความรู้สึกว่า รอไม่ไหว อย่าไปคิดอย่างนั้น เพียงแค่เราตั้งใจมั่น มีศรัทธาที่ไม่คลอนแคลน ทุ่มหัวใจสร้างบารมีอย่างเต็มที่ เราย่อมได้รับอานิสงส์นั้นอย่างแน่นอน และเมื่อไรบุญส่งผล เราจะมีแต่ความปีติ อิ่มอกอิ่มใจอย่างไม่มีประมาณ


*เหมือนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ ๙๔ กัป ที่ผ่านมา เป็นเรื่องราวการสร้างบารมีของนักบุญท่านหนึ่ง ซึ่งในภพชาติสุดท้ายท่านมีชื่อว่า มธุปิณฑิกเถระ ในอดีตท่านได้สร้างบุญพิเศษ ทำให้ได้รับอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ ตลอดระยะเวลาที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ในกัปที่ ๙๔ ที่ผ่านมานั้น เป็นยุคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในยุคนี้เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์มีอายุยืนถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี
พระบรมโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ เวลาจะลงมาตรัสรู้ การเลือกกาลนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากว่ามนุษย์มีอายุยืนเกิน ๑๐๐,๐๐๐ ปีขึ้นไป พระองค์จะไม่ลงมาตรัสรู้ เพราะเมื่อมีอายุยืนเกินไป มนุษย์มักจะมีทิฏฐิถือตัวว่า ตนเองมีอายุยืน การที่จะตรัสสอนเรื่องอนิจจัง ความไม่เที่ยงของสังขาร จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะตรัสรู้ในยุคของมนุษย์ที่มีอายุตั้งแต่แสนปีลงมา บางพระองค์ ๙๐,๐๐๐ ปี บางพระองค์ ๘๐,๐๐๐ ปี ไล่เรื่อยลงมา ต่ำสุดคือ ในยุคที่มนุษย์มีอายุ ๑๐๐ ปี ดังเช่นในยุคของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา หากต่ำกว่านั้นมนุษย์จะมีทิฏฐิมานะมาก จะสอนยาก ในยุคของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ มนุษย์มีอายุยืนถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี พระองค์ได้ประสูติในตระกูลกษัตริย์ ทรงอยู่ครองเรือนถึงหมื่นปีจึงทรงออกผนวชด้วยราชพาหนะคือ วอทอง บำเพ็ญเพียรอยู่ ๑๐ เดือน ก็ทรงตรัสรู้ธรรม หลังจากตรัสรู้แล้ว พระสิทธัตถพุทธเจ้า ทรงเสด็จจาริกประกาศพระสัทธรรมตามแว่นแคว้นต่างๆ ทรงยังสรรพสัตว์ ทั้งหลายให้บรรลุธรรมตามเป็นอันมาก ทำให้กิตติศัพท์ของพระองค์แผ่ขยายไปทั่วชมพูทวีป มหาชนผู้ปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ ต่างพากันไปฟังธรรมไม่ขาดสาย เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึงเมืองใด มหาชนในเมืองนั้นจะพากันมาประชุม เพื่อถวายบังคมและฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ในยุคนั้นพระสัทธรรมรุ่งเรืองมาก มีพระอริยบุคคลเกิดขึ้นในโลกนับไม่ถ้วน พระมธุปิณฑิกเถระ ได้ถือกำเนิดในครอบครัวนายพราน อาศัยอยู่ในป่าใหญ่ มีอาชีพล่าสัตว์ทำปาณาติบาต เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต แม้นายพรานจะอยู่ในป่า แต่ก็ได้ยินกิตติศัพท์ของพระบรมศาสดาอยู่เนืองๆ ทำให้คิดเสมอว่า พระบรมศาสดาพระองค์นี้ต้องเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดในโลกอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย ที่ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาผู้ประเสริฐ แม้โอกาสที่ดียังมาไม่ถึง แต่ในหัวใจท่านเกิดความเลื่อมใสพระบรมศาสดา ได้แต่อธิษฐานในใจเพียงลำพังว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเรา ขอให้ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ได้สร้างบุญกับพระองค์สักครั้งหนึ่งเถิด คิดเช่นนี้จนเวลาผ่านไปนานพอสมควร จนกระทั่งวันหนึ่ง โอกาสที่ท่านปรารถนาก็มาถึง ขณะกำลังเข้าไปในป่าเพื่อล่าสัตว์ ท่านได้พลัดเข้าไปยังป่าที่พระบรมศาสดาทรงหลีกเร้นประทับอยู่เพียงลำพัง พรานป่าได้มองเห็นพระรัศมีที่เปล่งออกมาจากพระวรกาย พลางคิดว่า แสงอะไรหนอ สว่างไสวไปทั่วราวป่า ใบไม้รกทึบขนาดนี้ แสงอาทิตย์มิอาจส่องมาถึงได้ น่าจะมีเหตุอาเพศอะไร จึงสอดส่ายสายตาหาจุดกำเนิดของแสง สุดสายตาก็มองเห็นพระบรมศาสดาประทับขัดสมาธิอยู่ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง มองเห็นฉัพพรรณรังสีแผ่ออกรอบพระวรกายก็คิดว่า บุคคลผู้นี้เป็นเทวดาหรือมนุษย์กันแน่หนอ ทำไมมีแสงออกจากกายสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์เสียอีก ท่านได้หวนระลึกถึงคำพูดที่ร่ำลือเกี่ยวกับพระบรมศาสดา รู้ทันทีว่า ท่านผู้นี้เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้ออย่างเรา แต่มีรัศมีเปล่งออกจากกายที่งดงามน่าเลื่อมใส พระองค์ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ท่านกระวีกระวาดรีบเดินเข้าไปหา ก้มกราบถวายบังคมด้วยความปีติเลื่อมใสพลางทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นานหนอ กว่าจะได้พบพระพุทธองค์” ก้มกราบแล้วกราบอีก ครั้นมองดูตนเอง คิดว่าเรานี้ทำกรรมหยาบช้ามายาวนาน ไม่มีโอกาส ได้สร้างบุญเลย วันนี้โอกาสดีมาถึง เราควรที่จะเอาบุญใหญ่สักครั้ง ท่ามกลางป่าใหญ่ พรานมองไปรอบๆ ทิศ เพื่อจะหาไทยธรรมมาถวาย ไม่พบอะไรเลยในบริเวณใกล้เคียง จึงน้อมนำน้ำผึ้งที่หามาได้พลางน้อมถวายด้วยความเคารพยิ่งนัก พรานได้ถวายน้ำผึ้งมีรสอร่อยแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ รู้สึกปีติใจอย่างยิ่ง บุญนั้นทำให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง และเลิกทำปาณาติบาตทันที เหตุการณ์ในวันนั้น ประทับอยู่ในใจของพรานจนตลอดชีวิต ก่อนจะละจากโลก ภาพแห่งการถวายน้ำผึ้ง ปรากฏชัดขึ้นมาในใจ เป็นกรรมนิมิตก่อนตาย ด้วยผลแห่งบุญกรรมนั้น ทำให้ได้ไปเสวยสมบัติอยู่ในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกเท่านั้น เวลาลงมาเกิดในเมืองมนุษย์จะได้รับอานิสงส์ที่แปลกกว่าผู้อื่น คือ จะมีฝนน้ำผึ้งตกลงมา ต่างจากน้ำผึ้งที่เรารู้จักเพราะเป็นของทิพย์ ไม่เหนียวเหนอะหนะ แต่มีรสหอมหวานอร่อยมาก ท่านเวียนว่ายตายเกิดอยู่สองภพภูมิ จนมาถึงในสมัยพุทธกาล ได้บังเกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ในที่สุดก็ออกบวช ท่านบำเพ็ญเพียรไม่นาน ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ จึงย้อนดูบุพกรรมในอดีตของตน ท่านเกิดโสมนัสถึงกับเปล่งอุทานว่า “เราได้ถวายน้ำผึ้งแด่พระศาสดาผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ เรามีใจผ่องใส ถวายบังคมที่พระบาทด้วยเศียรเกล้า ในกัปที่ ๓๔ แต่กัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า สุทัสสนะ ถึง ๔ ครั้ง ในกาลไหนๆ น้ำผึ้งออกจากรากไม้ ไหลลงในโภชนาหารของเรา ฝนน้ำผึ้งก็ตกลง ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราไม่ไปสู่ทุคติเลย ภพชาตินี้เราเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษทั้งหลายแล้ว”

จะเห็นว่าเราสร้างบุญหยาบๆ อย่างไร ผลที่เป็นทั้งของทิพย์และของมนุษย์ เราจะได้อย่างนั้น แต่ละเอียดประณีตกว่าที่เราทำมาก นี่เป็นอานุภาพแห่งบุญที่เกิดจากการทำบุญถูกทักขิไณยบุคคล เราทำอย่างไรย่อมได้ผลอย่างนั้น วันใดที่เราเห็นผลบุญที่บังเกิดขึ้น ในใจจะมีแต่ความปีติเบิกบาน แม้ตอนนี้เรายังไม่ได้รับผลบุญนั้นเต็มที่ ก็ไม่ควรท้อถอย ต้องเชื่อมั่นในบุญ เพราะบุญย่อมไม่ทอดทิ้งผู้ที่สร้างบุญอย่างแน่นอน และจะติดตามตัวเราไปในทุกที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ขอให้เราเชื่อมั่น และสร้างบารมีกันต่อไป
*มก. มธุปิณฑิกเถราปทาน เล่ม ๗๑ หน้า ๓๔๓

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  MO1_60__.jpg   82.49K   11 ดาวน์โหลด


#2 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 22 June 2006 - 09:34 PM

อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ
ที่ได้มาโพสตธรรมะเพื่อประชาชนให้อ่านกัน

ขนาดการให้ทานที่เฉพาะเจาะจงยังให้ผลขนาดนั้น
แล้วสังฆทานที่เราทำอย่างสม่ำเสมอขนาดนี้
จะส่งผลแค่ไหนล่ะนี่
happy.gif
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#3 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 July 2006 - 03:16 PM

ผลบุญนี้ ช่างชื่นใจจริงๆ
สา...ธุ