ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ชีวิตที่ลิขิตได้ด้วยบุญ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 kuna

kuna
  • Members
  • 780 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 30 March 2006 - 03:56 PM

[attachmentid=3477]

ดวงจันทร์ปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ ย่อมสว่างกว่าหมู่ดาวทั้งหลาย ด้วยรัศมี ฉันใด บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล มีศรัทธา ย่อมไพโรจน์กว่าผู้ตระหนี่ทั้งหลายในโลก ด้วยการให้ ฉันนั้น คนเราต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาดทุกวันด้วยน้ำ ฉันใด จิตใจก็เช่นกัน จำเป็นต้องชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการเจริญภาวนา ฉันนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนให้พุทธบริษัทเห็นความสำคัญของการฝึกฝนใจว่า ใจที่ผ่องใส ย่อมเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข เป็นทางมาแห่งมหากุศล เป็นเครื่องนำสัตวโลกทั้งหลายไปสู่สุคติภูมิ และนำทุกชีวิตไปสู่เป้าหมายอันสูงสุด คือ การบรรลุมรรคผลนิพพาน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน สุมนสูตร ว่า
“ดวงจันทร์ปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ ย่อม สว่างกว่าหมู่ดาวทั้งหลาย ด้วยรัศมี ฉันใด บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล มีศรัทธา ย่อมไพโรจน์กว่าผู้ตระหนี่ทั้งหลายในโลก ด้วยการให้ ฉันนั้น”
มนุษย์ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ต่างปรารถนาความสุขและความสำเร็จในชีวิต อยากเป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ ซึ่งทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยบุญ อย่างน้อยผู้นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการให้ คือ ต้องสามารถเอาชนะความตระหนี่ที่มีอยู่ในใจให้ได้เสียก่อน เปรียบเสมือนดวงจันทร์ เมื่อพ้นจากเมฆหมอก ย่อมปรากฏความสว่างไสว ใจที่หลุดพ้นจากกระแสแห่งความตระหนี่ก็เช่นเดียวกัน จะใสสว่าง เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล และสามารถดึงดูดมหาสมบัติ ที่จะบังเกิดขึ้นได้โดยง่าย
ปกติของคนตระหนี่จะไม่ชอบให้ทาน เพราะเขากลัวความจน กลัวว่าทรัพย์ที่ให้ไปจะสูญเปล่า แต่ผู้รู้กลับบอกว่า ยิ่งให้จะยิ่งได้ เพราะการทำความดีใดๆ ที่จะไม่ส่งผลนั้น เป็นไม่มี หากเริ่มดำรงตนอยู่ในสถานะของผู้ให้ ใจของเราจะสูงขึ้น เป็นอิสระจากความตระหนี่ และจะขยายออกไปอย่างไม่มีประมาณ เมื่อถึงขีดถึงคราวที่บุญส่งผลจะได้รับเกินควรเกินคาดทีเดียว แม้ตัวเรายังรู้สึกอัศจรรย์ในตัวเอง


*เหมือนดังเรื่องของสามเณรอรหันต์ ที่ในอดีตชาติเคยยากจนมาก่อน แต่ด้วยอานิสงส์ที่ทำบุญชนิดทุ่มสุดใจ เพราะเห็นคุณค่าของบุญยิ่งชีวิต ทำให้บุญลิขิตได้มาเกิดเป็นลูกของมหาเศรษฐี เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความกรุณาที่จะมาโปรดมหาเสนพราหมณ์ เพราะปรารถนาที่จะให้อริยทรัพย์อันประเสริฐ ติดตัวเขาไปในสังสารวัฏ จึงไปบิณฑบาตหน้าบ้านบ่อยๆ
พราหมณ์เห็นพระสารีบุตรแล้วคิดว่า ทรัพย์สมบัติในบ้านของเรา ไม่มีเลย เครื่องไทยธรรมที่พอจะใส่บาตรพระก็ไม่มี จึงไม่กล้าออกมาพบ ได้แต่หลบหน้าอยู่ในบ้าน
วันหนึ่ง พระเถระได้ไปที่บ้านนี้อีก เผอิญเช้าวันนั้น พราหมณ์ได้ข้าวปายาสมาถาดหนึ่ง กับผ้าสาฎกเนื้อหยาบอีก ผืนหนึ่ง ทันทีที่เห็นพระเถระบิณฑบาตผ่านมา ท่านคิดว่า ขณะนี้ไทยธรรมของเรามีพร้อม ศรัทธาของเราก็เต็มเปี่ยม เนื้อนาบุญอันบริสุทธิ์อยู่ตรงหน้าแล้ว ฉะนั้นเราควรถวายทานแด่พระเถระในวันนี้
พราหมณ์รีบนิมนต์พระเถระให้รับบาตร และน้อมถวายข้าวปายาสลงในบาตรด้วยความปีติเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่พราหมณ์ถวายข้าวไปได้ครึ่งหนึ่ง พระเถระก็ปิดบาตร พราหมณ์รีบกล่าวว่า “ขอท่านอย่าได้อนุเคราะห์กระผมเพียงแค่ชาตินี้เลย โปรดอนุเคราะห์กระผมในภพชาติเบื้องหน้าด้วยเถิด” แล้วถวายอาหารจนหมดถาด พร้อมผ้าสาฎกอีกหนึ่งผืน
นับตั้งแต่วันนั้น พราหมณ์เพียรตามระลึกถึงบุญใหญ่ที่ได้ทำแบบทุ่มสุดใจในครั้งนั้น ด้วยผลแห่งทานบารมีที่ได้ทำบุญถูกทักขิไณยบุคคล เมื่อละโลกไปแล้ว บุญจึงส่งผลให้พราหมณ์ไปเกิดในตระกูลอุปัฏฐากของพระเถระในเมืองสาวัตถี
ในวันที่ท่านเกิด พวกญาติได้นิมนต์พระเถระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน ทันทีที่เด็กน้อยเห็นพระเถระ เขาระลึกชาติได้ว่า ที่ตนได้เกิดในตระกูลของมหาเศรษฐีผู้ใจบุญในชาตินี้ ก็เพราะอาศัยพระเถระรูปนี้ วันนี้นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐ ที่จะได้ถวายทานอีก
เมื่อพวกญาติจะอุ้มเข้าไปหาพระเถระ เด็กน้อยจึงใช้ นิ้วมือเกี่ยวผ้ากัมพลไว้ไม่ยอมปล่อย ญาติเห็นอาการนั้น จึงอุ้มเด็กพร้อมผ้ากัมพลเข้าไปถึงเบื้องหน้าพระเถระ เด็กน้อยปล่อยผ้า ให้ตกลงแทบเท้าท่าน พวกญาติจึงหยิบผ้าผืนนั้นขึ้นมาถวาย แล้วพากันตั้งชื่อเด็กน้อยนั้นว่า “ติสสะ” เหมือนชื่อเดิมของพระเถระก่อนที่จะบวช
ต่อมาเมื่อติสสะอายุได้เพียง ๗ ปี บุญในตัวของเขาก็เต็มเปี่ยม เห็นทุกข์ภัยในการเกิดบ่อยๆ จึงขอบวชเป็นสามเณรอยู่กับพระสารีบุตรเถระ ฝ่ายบิดามารดาไม่ได้ขัดข้องจิตยินดีและอนุโมทนา จึงพาไปหาพระเถระ ท่านได้ถามเพื่อทดสอบกำลังใจว่า “การบรรพชาเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อต้องการของร้อนก็ได้ของเย็น เมื่อต้องการของเย็นก็ได้ของร้อน เธอจะอดทนต่อความลำบากได้หรือ”
ติสสะตอบด้วยความมั่นใจว่า “กระผมอดทนได้ และจะทำทุกอย่างตามที่พระอาจารย์สั่งสอน”
พระเถระจึงรับเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ในวันนั้นทันที เมื่อออกบวชแล้ว สามเณรได้เข้าไปบิณฑบาตในเมืองสาวัตถี ด้วยอานิสงส์ที่เคยถวายทานแด่พระสารีบุตรเถระด้วยความเคารพ โดยไม่มีความตระหนี่ติดค้างอยู่ในใจ ทำให้ชาวเมือง เกิดความรักและศรัทธาในตัวสามเณรมาก ต่างชักชวนกันมาถวายทานมากมาย
ในช่วงฤดูหนาว สามเณรเห็นเหล่าภิกษุนั่งผิงไฟด้วยความหนาวสั่น จึงได้นิมนต์ภิกษุทั้งพันรูปเข้าไปบิณฑบาตในเมือง แล้วแจ้งความประสงค์ว่า ต้องการผ้ากัมพลสำหรับพระภิกษุเพื่อห่มกันหนาว
ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งเห็นว่า การทำทานไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำให้ทรัพย์หมดไป เขาจึงเที่ยวป่าวประกาศห้ามชาวเมืองทำบุญ แต่ด้วยบุญกุศลที่สามเณรได้ทำไว้ดีแล้ว ทำให้ชาวเมืองเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ทันทีที่เห็นสามเณรและพระภิกษุนับพันรูปนั้น จึงช่วยกันบอกบุญรวบรวมผ้ากัมพลจนครบ ๑,๐๐๐ ผืน มาถวายสามเณรได้อย่างอัศจรรย์ สามเณรติสสะจึงเป็นที่รักของเหล่าภิกษุมาก และถึงแม้จะมีลาภเกิดขึ้น อีกทั้งมีบริวารห้อมล้อมมากมาย แต่สามเณรก็ไม่ได้ยึดติดในสิ่งเหล่านั้น ท่านได้หาโอกาสไปบำเพ็ญเพียรภาวนาในป่าตามลำพัง ตั้งใจปฏิบัติจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

เราจะเห็นได้ว่า ชีวิตนี้เราลิขิตเอง เทวดาหรือพรหมไม่สามารถมาลิขิตแทนได้ เราปรารถนาจะให้ชีวิตดำเนินไปในทางใด ก็อยู่ที่เราจะเลือกเดินเอง วิสัยของนักปราชญ์บัณฑิตนั้น แม้จะพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ คุณสมบัติ ท่านกลับไม่ประมาทเพลิดเพลินอยู่เพียงแค่นั้น แต่จะมุ่งหวังเพียรทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป เพื่อให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
พวกเรานักสร้างบารมีก็เช่นเดียวกัน ต้องตั้งมั่นในคุณความดี เพื่อสั่งสมบุญบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าได้ย่อท้อต่ออุปสรรค เพราะบุญที่ทำจะเป็นพลวปัจจัย เกื้อหนุนให้เราสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย เนื่องจากการสร้างบารมีต้องทำกันเรื่อยไป จึงควรสร้างกันเป็นทีมใหญ่จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง เพื่อช่วยเหลือทั้งตัวเองและมวลมนุษยชาติ ให้ได้เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิต คือ ให้เข้าถึงพระธรรมกายเหมือนๆ กัน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใด จะยืน เดิน นั่ง นอน อย่าลืมนำใจมาไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นแหล่งแห่งบุญกุศล เอาบุญใสๆ จากการทำใจให้หยุดนิ่ง ซึ่งจะเป็นบุญพิเศษให้เราหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะได้ ดังนั้นให้ทุกๆ ท่านตั้งใจหยุดนิ่งกันให้ดี ให้เห็นดวงธรรมชัดใสสว่าง ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน

*มก. เรื่องพระวนวาสีติสสเถระ เล่ม ๔๑ หน้า ๒๕๙

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  MO1_47_.jpg   89.34K   16 ดาวน์โหลด


#2 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 April 2006 - 02:52 PM

ดังนั้นให้ทุกๆ ท่านตั้งใจหยุดนิ่งกันให้ดี ให้เห็นดวงธรรมชัดใสสว่าง ได้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคน
สาธุ สาธุ สาธุ

#3 จ.ใจเดียว

จ.ใจเดียว
  • Members
  • 92 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 April 2006 - 08:27 PM

อยากจะเป็นอะไร เราสามารถออกแบบชีวิตของเราได้