ทำตัวอย่างไร ก็ทำใจใสๆ เบิกบาน และคิดว่าเรากำลังกลับมาบ้าน บ้านของเราและทำตัวให้เป็นเจ้าของบ้าน ช่วยกันดูแลบ้านของเรา
การอยู่ร่วมกันในที่ที่คนเยอะ ๆ บางครั้งอาจมีสิ่งที่เราไม่คุ้นและบางสิ่งมาอาจมากระทบกระทั่งเรา ก็อย่าไปใจตก ให้มีอภัย และเข้าใจ
ขอให้เรามุ่งเอาบุญที่จะได้ในการกลับมาบ้านหลังนี้ในแต่ละครั้งเถิด
รักหลวงพ่อ ท่านว่าอย่างไร ก็ให้ว่าตามกันล่ะจ๊ะ
อนุโมทนาบุญด้วยจ๊ะ
สาธุ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: วันใส
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 93
- ดูโปรไฟล์ 7764
- อายุ ไม่เปิดเผย
- วันเกิด ไม่เปิดเผย
-
Gender
ไม่เปิดเผย
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
เพื่อน
วันใส ยังไม่มีเพื่อนในตอนนี้
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
โพสต์ที่ฉันโพสต์
ในกระทู้: ต้องปฏิบัติอย่างไร กับการไปที่วัดฯ ครั้งแรกค่ะ
12 September 2009 - 05:23 PM
ในกระทู้: ไม่สบายใจเลยค่ะ เเม้วางอุเบกขาก็ยังกรุ่น ๆ อยู่ในใจ
12 September 2009 - 05:08 PM
การทำบุญหากขณะทำใจขุ่นมัวไม่ว่าด้วยสาเหตุใดล้วนทำให้บุญที่จะได้นั้นไม่เต็มที่ไม่มีกำลัง เรียกว่าบุญตกหล่นเพราะใจไม่ใสไม่เบิกบานไม่เป็นที่ตั้งแห่งการรองรับบุญ
ถ้ารู้สึกว่าไม่พร้อมทำและใจหมองอยู่เสียแล้วก็บอกคุณป้าแกไปก่อนว่าตอนนี้หนูยังขัดสนอยู่และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคืออยากให้จิตใจสบาย ๆ ขึ้นกว่านี้อีกนิดเพื่อบุญที่ทำโดยคุณป้าเป็นกัลยาณมิตรด้วยจะได้ได้บุญใส ๆ ร่วมกัน อย่างไรหนูก็มีความตั้งใจทำบุญสร้างองค์พระให้เต็มองค์อยู่แล้วค่ะ . ก็คิดว่าน่าจะรู้สึกสบายใจขึ้นได้และไม่รู้สึกตึงเครียดกันไปทั้งสองฝ่าย ส่วนว่าติดใจเรื่องที่ทำบุญแล้วไม่ได้ใบอนุโมทนาก็ลองถามคุณป้าดูซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเพราะเหตุผลแต่ละคนไม่เหมือนกันบางคนต้องการนำไปเป็นที่ตรึกระลึกให้นึกถึงเวลามองใบอนุโมทนาทีไรก็มีความสุขได้นึกถึงบุญต่าง ๆ ที่ได้ทำไป แต่บางคนก็นำไปลดหย่อนภาษี ก็แล้วแต่ลองถามคุณป้าแกดู หากยังไม่สบายใจในการทำบุญผ่านคุณป้าแล้วละก็ อาจจะมาร่วมปัจจัยทำบุญได้ด้วยตนเองที่วัดซึ่งทางวัดมีจุดรับปัจจัยอยู่แล้วและรอรับใบอนุโมทนาได้เลยในวันนั้น ยังมีช่องทางอื่นอีกที่สามารถร่วมบุญกับทางวัดได้ขอเพียงแค่คุณหมั่นเข้าวัดทุกอาทิตย์ คุณก็จะรู้และเข้าใจวิธีการทำอย่างไรให้ทำบุญแล้วมีความสุข และมีความสุขเมื่อได้ทำบุญ และยังได้เข้าใจเป้าหมายของหมู่คณะและมโนปณิธานของครูบาอาจารย์ของเรา
สาธุ จ๊ะ
ถ้ารู้สึกว่าไม่พร้อมทำและใจหมองอยู่เสียแล้วก็บอกคุณป้าแกไปก่อนว่าตอนนี้หนูยังขัดสนอยู่และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคืออยากให้จิตใจสบาย ๆ ขึ้นกว่านี้อีกนิดเพื่อบุญที่ทำโดยคุณป้าเป็นกัลยาณมิตรด้วยจะได้ได้บุญใส ๆ ร่วมกัน อย่างไรหนูก็มีความตั้งใจทำบุญสร้างองค์พระให้เต็มองค์อยู่แล้วค่ะ . ก็คิดว่าน่าจะรู้สึกสบายใจขึ้นได้และไม่รู้สึกตึงเครียดกันไปทั้งสองฝ่าย ส่วนว่าติดใจเรื่องที่ทำบุญแล้วไม่ได้ใบอนุโมทนาก็ลองถามคุณป้าดูซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเพราะเหตุผลแต่ละคนไม่เหมือนกันบางคนต้องการนำไปเป็นที่ตรึกระลึกให้นึกถึงเวลามองใบอนุโมทนาทีไรก็มีความสุขได้นึกถึงบุญต่าง ๆ ที่ได้ทำไป แต่บางคนก็นำไปลดหย่อนภาษี ก็แล้วแต่ลองถามคุณป้าแกดู หากยังไม่สบายใจในการทำบุญผ่านคุณป้าแล้วละก็ อาจจะมาร่วมปัจจัยทำบุญได้ด้วยตนเองที่วัดซึ่งทางวัดมีจุดรับปัจจัยอยู่แล้วและรอรับใบอนุโมทนาได้เลยในวันนั้น ยังมีช่องทางอื่นอีกที่สามารถร่วมบุญกับทางวัดได้ขอเพียงแค่คุณหมั่นเข้าวัดทุกอาทิตย์ คุณก็จะรู้และเข้าใจวิธีการทำอย่างไรให้ทำบุญแล้วมีความสุข และมีความสุขเมื่อได้ทำบุญ และยังได้เข้าใจเป้าหมายของหมู่คณะและมโนปณิธานของครูบาอาจารย์ของเรา
สาธุ จ๊ะ
ในกระทู้: ชายสามโบสถ์
29 May 2009 - 03:05 PM
มีธรรมบทเกี่ยวกับมานพหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีพฤติกรรมบวช ๆ สึก ๆ เคยฟังเป็นเทปเมื่อสมัยสิบกว่าปีมาแล้วซื้อที่สหการวัดพระธรรมกายเรานี่แหละ
เรื่องก็ประมาณว่ามานพหนุ่มผู้นี้พอเบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนก็มาขอบวชบวชแล้วก็ว่าจะทำพระนิพพานให้แจ้ง บวชยังไม่ทันไรก็เกิดเบื่อชีวิตสมณเห็นว่าตัวเองเอาดีทางด้านนี้ไม่ได้บ้างล่ะก็ขอสึก วนเวียนเดี๋ยวบวช เดี่ยวสึกนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งสุดท้ายที่เขาใช้ชีวิตครองเรือนเป็นครั้งสุดท้ายก็เพราะตื่นมาเห็นภรรยาสาวสวยนอนผมเผ้ารุงรัง ผ้าผ่อนหลุดรุ่ย น้ำลายไหลย้อยไปข้างแก้มประมาณนั้น (ไม่รู้มีกลิ่นปากด้วยป่าวนะ) มานพผู้นี้เห็นแล้วก็ให้รู้สึกว่าสังเวชใจว่าเออเมียเราตอนยังตื่นอยู่เธอก็สวยสะดูดีนะแต่พอตอนนี้กลับตรงกันข้าม เขาจึงละทิ้งนางออกจากบ้านมากลับมาที่สำนักพระศาสดาแล้วขอบวชกับพระอาจารย์เดิมที่เคยบวชให้ แต่แล้วก็ถูกพระทั้งหลายเห็นพ้องว่าจะไม่ให้มานพผู้นี้บวชอีก ด้วยเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะบวชที่มาบวชก็เพราะเบื่อ ๆทางโลกก็มาบวชให้หายเบื่อพออยากใช้ชีวิตทางโลกก็ขอสึกไปครองเรือนอีก จนพระภิกษุทั้งหลายได้นำความไปกราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และจะไม่ขอให้มานพหนุ่มผู้นี้บวชอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แสดงธรรมย้อนไปในกาลก่อนมีมานพหนุ่มผู้หนึ่งก็มีอุปนิสัยเช่นเดียวกันนี้กับหน่มผู้นี้ เดี๋ยวบวชเดี๋ยวสึก ตราบจนสุดท้ายแห่งชีวิตได้อยู่ในชีวิตสมณตลอดจวบจนสิ้นอายุขัยไม่สึกอีกเลยมานพหนุ่มในกาลก่อนก็คือองค์พระศาสดานี้เอง สุดท้ายมานพผู้นี้ก็ได้บวชแล้วก็เป็นการบวชที่ไม่สึกอย่างถาวรในชาตินั้น.
แค่คร่าว ๆ นะพอเอาไปตักเตือนพวกที่ไม่รู้และชอบติเตียนให้เขาได้รู้ได้และไม่เข้าใจผิดกับคนที่บวชบ่อย ๆ
ถ้าจะหาฟังหรืออ่านน่าจะลองไปหาดูในห้องสมุดวัดพระธรรมกายนะ ลองถามเจ้าหน้าที่ดูว่าพวกสื่อเกี่ยวกับธรรมบทยังมีขายอยู่หรือเปล่า แถวไหน แล้วช่วยมาบอกต่อด้วยนะอยากได้เหมือนกันของเดิมไม่รู้ใครยืมไปไม่คืนแต่ก็นานเป็นสิบกว่าปีแล้วล่ะซื้อใหม่ก็ดี
สามีของเราก็บวช ๆ สึก ๆ คือพอถึงช่วงไหนมีงานบวชถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันสำคัญ ๆ หรือบวชเนื่องในวันบูชาธรรมครูอาจารย์ ครูอุปัชฌาจารย์ ก็มีถ้างานไม่ยุ่งมากก็จะลางานมาบวช รวม ๆ ก็เกินกว่า 3 ครั้งแล้วล่ะ
ที่ทำงานก็มีคนพูดเหมือนกันว่าไอ้ชายสามโบสถ์ เราก็เลยบอกเขาไปว่าอย่างน้อยช่วงสั้น ๆ ของชีวิตก็ยังมีจิตใจละจากสิ่งที่เป็นเครื่องกังวลและละจากิเลสแล้วในเวลาเดียวกันล่ะคุณ ... ทำอะไรอยู่ กับคนที่ดูว่าเขาน่าจะพร้อมที่จะฟังเราเล่าธรรมบทนี้ให้ฟังเราก็จะเล่าเลยถามเขาก่อนว่าอยากฟังมั้ย... ในกาลก่อนสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังพระชนม์อยู่
เรื่องก็ประมาณว่ามานพหนุ่มผู้นี้พอเบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนก็มาขอบวชบวชแล้วก็ว่าจะทำพระนิพพานให้แจ้ง บวชยังไม่ทันไรก็เกิดเบื่อชีวิตสมณเห็นว่าตัวเองเอาดีทางด้านนี้ไม่ได้บ้างล่ะก็ขอสึก วนเวียนเดี๋ยวบวช เดี่ยวสึกนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งสุดท้ายที่เขาใช้ชีวิตครองเรือนเป็นครั้งสุดท้ายก็เพราะตื่นมาเห็นภรรยาสาวสวยนอนผมเผ้ารุงรัง ผ้าผ่อนหลุดรุ่ย น้ำลายไหลย้อยไปข้างแก้มประมาณนั้น (ไม่รู้มีกลิ่นปากด้วยป่าวนะ) มานพผู้นี้เห็นแล้วก็ให้รู้สึกว่าสังเวชใจว่าเออเมียเราตอนยังตื่นอยู่เธอก็สวยสะดูดีนะแต่พอตอนนี้กลับตรงกันข้าม เขาจึงละทิ้งนางออกจากบ้านมากลับมาที่สำนักพระศาสดาแล้วขอบวชกับพระอาจารย์เดิมที่เคยบวชให้ แต่แล้วก็ถูกพระทั้งหลายเห็นพ้องว่าจะไม่ให้มานพผู้นี้บวชอีก ด้วยเห็นว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะบวชที่มาบวชก็เพราะเบื่อ ๆทางโลกก็มาบวชให้หายเบื่อพออยากใช้ชีวิตทางโลกก็ขอสึกไปครองเรือนอีก จนพระภิกษุทั้งหลายได้นำความไปกราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น และจะไม่ขอให้มานพหนุ่มผู้นี้บวชอีก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แสดงธรรมย้อนไปในกาลก่อนมีมานพหนุ่มผู้หนึ่งก็มีอุปนิสัยเช่นเดียวกันนี้กับหน่มผู้นี้ เดี๋ยวบวชเดี๋ยวสึก ตราบจนสุดท้ายแห่งชีวิตได้อยู่ในชีวิตสมณตลอดจวบจนสิ้นอายุขัยไม่สึกอีกเลยมานพหนุ่มในกาลก่อนก็คือองค์พระศาสดานี้เอง สุดท้ายมานพผู้นี้ก็ได้บวชแล้วก็เป็นการบวชที่ไม่สึกอย่างถาวรในชาตินั้น.
แค่คร่าว ๆ นะพอเอาไปตักเตือนพวกที่ไม่รู้และชอบติเตียนให้เขาได้รู้ได้และไม่เข้าใจผิดกับคนที่บวชบ่อย ๆ
ถ้าจะหาฟังหรืออ่านน่าจะลองไปหาดูในห้องสมุดวัดพระธรรมกายนะ ลองถามเจ้าหน้าที่ดูว่าพวกสื่อเกี่ยวกับธรรมบทยังมีขายอยู่หรือเปล่า แถวไหน แล้วช่วยมาบอกต่อด้วยนะอยากได้เหมือนกันของเดิมไม่รู้ใครยืมไปไม่คืนแต่ก็นานเป็นสิบกว่าปีแล้วล่ะซื้อใหม่ก็ดี
สามีของเราก็บวช ๆ สึก ๆ คือพอถึงช่วงไหนมีงานบวชถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันสำคัญ ๆ หรือบวชเนื่องในวันบูชาธรรมครูอาจารย์ ครูอุปัชฌาจารย์ ก็มีถ้างานไม่ยุ่งมากก็จะลางานมาบวช รวม ๆ ก็เกินกว่า 3 ครั้งแล้วล่ะ
ที่ทำงานก็มีคนพูดเหมือนกันว่าไอ้ชายสามโบสถ์ เราก็เลยบอกเขาไปว่าอย่างน้อยช่วงสั้น ๆ ของชีวิตก็ยังมีจิตใจละจากสิ่งที่เป็นเครื่องกังวลและละจากิเลสแล้วในเวลาเดียวกันล่ะคุณ ... ทำอะไรอยู่ กับคนที่ดูว่าเขาน่าจะพร้อมที่จะฟังเราเล่าธรรมบทนี้ให้ฟังเราก็จะเล่าเลยถามเขาก่อนว่าอยากฟังมั้ย... ในกาลก่อนสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังพระชนม์อยู่
ในกระทู้: ***หลายคำถาม คาใจ ***
04 May 2009 - 10:51 PM
เคยได้ยินเรื่องที่ว่าบิดาของนางมหาอุบาสิกาวิสาขา ได้กล่าวสอนนางวิสาขาเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้วและได้ไปเยี่ยมนางตอนหนึ่งว่า "ให้ไม่ให้ก็ให้ให้ ที่ให้ไม่ให้ไม่ให้ให้" คือสำหรับผู้มีบุญคุณแล้วถึงแม้ว่าเราให้เขายืมแต่เขาไม่คืน และเมื่อต่อมาจะมาขอยืมอีกอย่างไรเสียก็ต้องให้ แต่หากบุคคลอื่นที่เขามาขอยืมเราแล้วเขาไม่คืนต่อไปก็ไม่ให้ให้เขาอีก" ให้ที่ว่าคือให้ยืมสิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือน และรวมถึงทรัพย์สิน
สำหรับรายละเอียดของเรื่องจำได้ไม่หมดนะ เอาแค่ว่าตอนสำคัญที่น่าจะใช้ตอบคุณสาครได้จ้ะ จริง ๆ ถ้าเราหมั่นศึกษาพุทธประวัติ และบุคคลสำคัญในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังพระชนม์ชีพอยู่นั้นเราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต การดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างที่ดีสามารถใช้ได้ทุกกาลสมัยไม่ล้าหลัง ตัวอย่างก็เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางมหาอุบาสิกาวิสาขา เป็นต้น
สำหรับรายละเอียดของเรื่องจำได้ไม่หมดนะ เอาแค่ว่าตอนสำคัญที่น่าจะใช้ตอบคุณสาครได้จ้ะ จริง ๆ ถ้าเราหมั่นศึกษาพุทธประวัติ และบุคคลสำคัญในยุคที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังพระชนม์ชีพอยู่นั้นเราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิต การดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่างที่ดีสามารถใช้ได้ทุกกาลสมัยไม่ล้าหลัง ตัวอย่างก็เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางมหาอุบาสิกาวิสาขา เป็นต้น
ในกระทู้: มีใครเคยนั่งสมาธิในฝันบ้าง
27 March 2009 - 11:48 PM
มีค่ะ วันใสก็ฝันลักษณะนี้หลายครั้ง ฝันว่าตัวเองกำลังใจหายอะไรสักอย่างแล้วก็วึดลงไปที่กลางท้องความรู้สึกวืด วืดข้างในกลางท้องระหว่างใต้ชายโครงกับสะดืออ่ะค่ะ วืด วืด วูบ วูบ และมีดวงจันทร์ขนาดเท่าลูกวอลเล่ย์บอลสีทองสว่างผุดขึ้นมาแล้วก็รู้สึกเหมือนจะเย็น ๆ หนาว ๆ บางครั้งก็ฝันว่ากำลังเฉียดตายอะไรประมาณนั้นความรู้สึกเหมือนกำลังกลัวตายก็มีดวงแก้วใสเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาที่กลางท้องไล่ระดับขนาดออกมาเรื่อย ๆ เป็นแสงสว่างเหมือนมองท้องฟ้าตอนกลางวันที่ไม่มีเมฆ พระอาทิตย์ที่กลางท้องสามารถมองได้ด้วยตาเปล่าแต่ถ้าพระอาทิตย์ของจริงดูไม่ได้ในตอนเที่ยงวัน ยังมีอีกฝันคล้าย ๆ กับที่กล่าวถึงอันแรกคือเป็นลักษณะดวงจันทร์เท่าลูกวอลเล่ย์บอลเกิดตลอดคืนแต่ไม่ได้ฝันว่ากำลังจะตาย ทุกครั้งที่ฝันนี้จบลงตรงที่ดวงแก้วสว่างกลางท้องตลอดทั้งคืนไม่มีเหตุการณ์อื่นต่อจากนี้แล้วก็หลับสบายตอนกำลังจะตื่นความรู้สึกว่าท้องกำลังมีชีวิตคือทำงานในขณะที่ส่วนอื่นอยู่เฉย ๆ น่ะ ตื่นมาก็ว่าแปลกดีและมีความสุข ทำไมหนอชีวิตจริงไม่ใช่ความฝันกลับทำไม่ได้ เฮ้อ ...
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: วันใส
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·