กรณีศึกษา กฎแห่งกรรม
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2549
ถนนสายแห่งความฝัน
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2549
ถนนสายแห่งความฝัน
ปัจจุบันเจ้าของเคสเป็นพระรูปหนึ่งในวัดพระธรรมกาย เจ้าของเคสมีเรื่องราวเหตุการณ์บางช่วงในชีวิตที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องลิขิต หรือเป็นเรื่องบังเอิญ จึงขอความเมตตาคุณครูไม่ใหญ่ดังนี้
ในวัยเด็กตั้งแต่จำความได้ เจ้าของเคสมีความรู้สึกสงสัยว่า ตัวเราเป็นใคร ทำไมเรามีความคิด คนอื่นเป็นใคร เขาคิดเหมือนเราไหม แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสงสัยว่าตัวเองว่าเกิดมาทำไม เจ้าของเคสเป็นเด็กที่มีพัฒนาการการพูดที่ช้ามาก จนใครๆ ก็พากันคิดว่าเจ้าของเคสจะเป็นใบ้ แต่เจ้าของเคสก็มาพูดได้เมื่ออายุเกือบ 3 ขวบ ซึ่งพอเริ่มพูดได้ เจ้าของเคสก็จะพูดทั้งวัน จนน้ำไหลไฟดับ จนทำให้หลายๆ คนรอบข้างถึงกับส่ายหน้าและเบือนหน้าหนีด้วยความเอือมระอากัน
เจ้าของเคสเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน มีจินตนาการสูง ชอบเรียนหนังสือ ซึ่งนอกจากวิชาภาษาไทยแล้ว เจ้าของเคสยังชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็นอันมากทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครมาสร้างแรงบันดาลใจหรือสั่งให้ทำ เจ้าของเคสมักจะได้คะแนนเต็มหรือไม่ก็ได้เกรด 4 อยู่เสมอๆ
ไม่ว่าเพื่อนๆ จะพากันเลือกเรียนวิชาอื่นเพื่อที่จะไปเรียนต่อเป็นแพทย์หรือวิศวกร แต่เจ้าของเคสก็ยังคงทำตามความชอบส่วนตัวคือภาษาอังกฤษตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นเจ้าของเคสก็ยังไม่ทราบเลยว่า จะเอาภาษาอังกฤษไปทำอาชีพอะไรกิน ซึ่งต่อมาเจ้าของเคสได้ทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง โดยทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับหัวหน้างานเวลาที่มีลูกค้าจากต่างประเทศมาติดต่อค้าขาย จนกระทั่งปัจจุบันเจ้าของเคสก็ยังสงสัยในเรื่องราวความชอบภาษาอังกฤษของตนเอง
เจ้าของเคสเกือบเสียชีวิตนับสิบครั้ง โยมพ่อโยมแม่ของเจ้าของเคสเล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกตอนเจ้าของเคสอายุได้สองสามขวบ อยู่ก็เกิดหายใจไม่ออกกลางดึก ซึ่งถ้าไปปลุกหมอไม่ทัน เจ้าของเคสก็คงตายไปแล้ว ครั้งที่สองสมัยที่คลองแสนแสบน้ำยังใส เจ้าของเคสเคยพลัดตกลงไปในคลองแสนแสบไปหลายครั้ง ซึ่งถ้าคลองแสนแสบในขณะนั้นมีสภาพน้ำเหมือนเช่นปัจจุบัน เจ้าของเคสก็ตายไปแล้ว หรือไม่ก็กำลังนอนหลับยาวเหมือนนักร้องชื่อดังที่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกลงไปในคลองจนทำให้ติดเชื้อในสมอง ครั้งที่สามตอนเรียนอยู่ชั้นอนุบาล เจ้าของเคสเคยกลิ้งตกบันไดสูงชันเกือบสามสิบขั้น ศีรษะแตก ต้องเย็บไปหลายเข็ม ครั้งที่สี่ช่วงเทศกาลเล่นว่าว เจ้าของเคสก็มัวสนใจแต่เชือกกับว่าว จนวิ่งออกมากลางถนน จนเกือบถูกรถชนตายไปอีกครั้ง ครั้งที่ห้าเกิดขณะที่น้ำป่ามา ซึ่งเจ้าของเคสก็ไม่รู้ว่าเป็นน้ำป่า จึงลงไปว่ายเล่นสนุกสนานในห้วยจนเกือบถูกน้ำป่าพาไปปรโลกอีกครั้งสองครั้งด้วยกัน
ครอบครัวของเจ้าของเคสเป็นชาวจีน อากงและอาม่าของเจ้าของเคสอพยพจากเมืองจีนทางเรือ โดยมีแต่หมอนกับเสื่อติดตัวมาเท่านั้น หลังจากโยมพ่อโยมแม่ของเจ้าของเคสให้คลอดเจ้าของเคสที่กรุงเทพได้ไม่นาน ครอบครัวของเจ้าของเคสก็ย้ายไปอยู่ที่ จ.ชลบุรี เจ้าของเคสมีพี่และน้องรวม 10 คน แต่ได้เสียชีวิตกันไปตั้งแต่เด็กถึง 5 คนด้วยกัน จนทำให้เจ้าของเคสกลายเป็นน้องคนสุดท้อง โดยมีพี่ๆ อีก 5 คน ซึ่งในปัจจุบันก็เหลือพี่เพียง 4 คนแล้ว
โยมแม่ของเจ้าของเคสเจ็บป่วยอยู่เป็นประจำ ช่วงสิบปีสุดท้าย อาการโรคเบาหวานของโยมแม่ของเจ้าของเคสก็เป็นหนักขึ้น และด้วยความรู้ทางการแพทย์ในต่างจังหวัดยังไม่เจริญเท่าที่ควร ทำให้โยมแม่ของเจ้าของเคสเสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 48 ปีเท่านั้น
พี่ชายคนรองของเจ้าของเคส เป็นคนที่เรียนหนังสือเก่งมาก จัดว่าเป็นที่หนึ่งในอำเภอทีเดียว แต่พี่ชายคนรองของเจ้าของเคสได้ยิงตัวตายตอนอายุได้ 28 ปี
พี่ๆ ทั้งสี่ของเจ้าของเคส ปัจจุบันต่างก็มีครอบครัวกันหมด แต่ก็ไม่มีใครสมหวังในชีวิตคู่แม้แต่คนเดียว โดยเจ้าของเคสได้กล่าวถึงสภาพการครองเรือนของพี่ๆ ทั้งสี่ของเจ้าของเคสว่าเป็นการครองเรือนแบบ สะบักสะบอม
ตอนที่หลานคนแรกเกิด เจ้าของเคสก็รู้สึกเข้าใจความรู้สึกของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่เคยได้อ่านในหนังสือธรรมะว่า ทำไมพระองค์ถึงทรงมองว่าเป็นทุกข์ ซึ่งก็สร้างความสงสัยกับเจ้าของเคสว่า ทำไมคนอื่นๆ ทางโลกถึงรู้สึกยินดีกันเหลือเกิน
ครั้งหนึ่งตอนเด็ก เจ้าของเคสพูดกับพี่สาวคนหนึ่งว่า ถ้าจะให้ไปเป็นทหาร ก็จะขอไปบวชจะดีกว่า ซึ่งในขณะนั้นเจ้าของเคสหมายรวมถึงถ้าจะต้องจากบ้านไปเพื่อกิจธุระอื่นใด ก็จะขอบวชเป็นพระไปตลอดชีวิตดีกว่า ดีกว่าไปเป็นทหาร แล้วโดยบังเอิญในปี 2531 เจ้าของเคสได้อ่านพบข้อความ ครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย จึงเป็นเหตุให้ตัดสินใจมาบวชธรรมทายาทและอุปสมบทหมู่ภาคฤดูร้อนอย่างง่ายดาย
ตั้งแต่นั้นมาชีวิตของเจ้าของเคสก็เริ่มมีการเปรียบเทียบระหว่างซ้ายหรือขวา ขาวหรือดำ แต่เจ้าของเคสกลับรู้สึกว่าบางครั้งการเดินตามความฝันนั้น มีอะไรมาขัดขวาง ซึ่งถึงแม้จะฝ่าฟันสิ่งนั้นมาได้ เจ้าของเคสก็ยังคงสงสัยในภายหลังว่าผ่านอุปสรรคนั้นมาได้อย่างไร และตั้งแต่อบรมธรรมทายาทครั้งนั้นเป็นต้นมา เจ้าของเคสก็มาวัดเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน และงานบุญใหญ่ทุกบุญ ทุกๆ เดือนที่มาร่วมพิธีบูชาข้าวพระ เจ้าของเคสจะรู้สึกตื้นตัน ตื่นเต้นเหมือนได้เดินทางกลับบ้านทุกครั้ง
อย่างไรก็ตามโยมพ่อของเจ้าของเคสก็ยังคงปฏิเสธเสียงไม่ยอมให้เจ้าของเคสมาเป็นอุบาสก ทั้งยังเตรียมแนวทางชีวิตทางโลกไว้ให้เจ้าของเคสมาเป็นอย่างดี เจ้าของเคสจึงต้องซื้อเวลาโดยการเรียนต่อปริญญาโท ซึ่งในขณะนั้นเจ้าของเคสก็ได้แต่คิดว่าถ้าเรียนจบปริญญาโทแล้ว จะซื้อเวลาต่อด้วยการเรียนปริญญาเอกอีกดีไหม ทั้งยังห่วงว่าจะเรียนไหวหรือไม่ แล้วความฝันของเจ้าของเคสจะเป็นเช่นไร
ปลายปี 2537 ก็เป็นโค้งสุดท้ายในเส้นทางการสร้างบารมีของเจ้าของเคส เจ้าของเคสได้เดินมาถึงทางแยกซึ่งจะต้องตัดสินใจเลือกว่าจะดำเนินชีวิตเช่นไร โดยมีอยู่สองเรื่องที่เจ้าของเคสจะต้องตัดสินใจ คือ
เรื่องที่ 1 : เจ้าของเคสเคยมีรักอยู่หลายครั้ง และก็ผิดหวังจากความรักอยู่หลายหน จนกระทั่งคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเพื่อนพนักงานในบริษัทเดียวกันกับที่เจ้าของเคสทำงานอยู่ ทั้งสองคนมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันอย่างยิ่ง เริ่มจากสบตา แล้วค่อยๆพัฒนาเป็นความห่วงใย จากเพื่อนร่วมงานก็กลายเป็นเพื่อนใจในที่สุด เจ้าของเคสและเพื่อนหญิงเริ่มผูกมัดกัน โดยกำหนดจะแต่งงานกันต้นปี 2538 โดยที่เจ้าของเคสและเพื่อนหญิงก็ได้ไปดูฤกษ์แต่งงานกับหมอดูซินแสแถวศาลเจ้าหลวงพ่อเสือ แต่เนื่องจากเป็นช่วงตรุษจีน หมอดูซินแสยังไม่ได้เปิดปฏิทินของปีถัดไป จึงบอกให้เจ้าของเคสกลับมาอีกครั้งหลังตรุษจีน ทั้งสองจึงต้องรอไปก่อน
เรื่องที่ 2 : โยมพ่อของเจ้าของเคสใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันตั้งแต่เด็ก เพราะปู่ย่าตายายของเจ้าของเคสทิ้งไว้แต่เสื่อกับหมอน ท่าจึงเกรงว่าลูกหลานจะลำบาก จึงทำให้ต้องทำงานอย่างหนัก โยมพ่อของเจ้าของเคสป่วยหนักเมื่อปลายปี 2537 ซึ่งในขณะนั้นเจ้าของเคสได้ลางานไปเฝ้าไข้ แต่วิธีการเฝ้าไข้ของเจ้าของเคสนั้นก็ไม่เหมือนใคร คือเจ้าของเคสไปนั่งสมาธิอยู่หน้าห้องไอซียู เพราะรู้ดีว่าโยมพ่อต้องการบุญ ไม่ต้องการสิ่งอื่นใด พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าโยมพ่อรอดตายครั้งนี้ ก็จะบวชให้สักสองเดือน ซึ่งโยมพ่อก็รอดจริงๆ แต่เจ้าของเคสก็ยังไม่ได้บอกใครเรื่องการยนยานครั้งนี้ ปัจจุบันนี้สุขภาพของโยมพ่อก็เสื่อมโทรมไปตามวัย และจากการทำงานหนัก โดยปัจจุบันโยมพ่อมีอายุได้ 75 ปีแล้ว
วันหนึ่งเจ้าของเคสได้ทราบถึงกำหนดการโครงการอุปสมบทหมู่รุ่น 51 ปี พระสุธรรมยานเถรราวต้นปี 2538 เจ้าของเคสก็ไม่รีรอที่จะบอกครอบครัวว่าจะ บวชแก้บน เนื่องจากคราวที่โยมพ่อป่วยเกือบตายคราวนั้น ในตอนนั้นโยมพ่อของเจ้าของเคสรู้สึกตกใจ และได้ถามเจ้าของเคสว่าบวชแล้วจะสึกไหม? ซึ่งเจ้าของเคสก็ได้ตอบกลับไปว่าจะบวชเป็นระยะเวลา 2 เดือน ซึ่งก็ทำให้ทุกคนทั้งบ้านถอนหายใจกันอย่างโล่งอก ซึ่งเจ้าของเคสเองก็ไม่ทราบว่าทุกคนในครอบครัวกลัวอะไรกันนักหนา
เพราะได้บารมีพระเดชพระคุณพระสุธรรมยานเถรในครั้งนั้น ทำให้เจ้าของเคสได้เข้ามาสู่ผ้ากาสาวพัสตร์อีกครั้ง เจ้าของเคสรู้สึกว่าการที่ใครจะได้มาบวชสร้างบารมีสักคนหนึ่ง เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย นอกจากจะต้องเด็ดเดี่ยวถึงขนาดทิ้งคนรักไว้เบื้องหลังแล้ว ยังต้องกล้าเดินไปในเส้นทางที่มองไม่เห็นว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ทำให้เจ้าของเคสเข้าใจคุณครูไม่ใหญ่ที่เคยกล่าวไว้ว่า กว่าจะได้พระมาแต่ละรูปแต่ละองค์นั้น ต้องใช้บุญมากมหาศาล
QUOTE
หลับตา ฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมา หาวหนึ่งที แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา
Q: โยมแม่ของเจ้าของเคสไปดีหรือไม่ แม้โยมแม่ของเจ้าของเคสจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็เป็นคนจิตใจงดงามสูงส่ง มีแต่รักแท้ให้แก่ลูกๆ บุญที่อุทิศจากการสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว ประดิษฐานบนโดมมหาธรรมกายเจดีย์นั้น ทำให้โยมแม่ของเจ้าของเคสมีความเป็นอยู่ดีขึ้นมากน้อยอย่างไร
[attachmentid=4711]
A: โยมแม่ของเจ้าของเคสตายแล้ว ก็วนเวียนอยู่กับครอบครัวอยู่ช่วงหนึ่ง ต่อมาเมื่อหมดกรรมและถึงเวลาจะต้องไปเกิด รวมทั้งได้รับบุญที่อุทิศไปให้ จึงได้ไปเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เป็นผู้หญิงในครอบครัวชนชั้นกลาง และไม่อาจรับบุญโดยตรงได้ในตอนนี้
Q: พี่ชายคนรองของเจ้าของเคสที่ยิงตัวตาย ขณะนี้มีความเป็นอยู่อย่างไร ได้รับบุญที่ทำอุทิศไปให้หรือไม่
[attachmentid=4712]
A: พี่ชายคนรองของเจ้าของเคสยิงตัวตายเพราะความเครียดในปัจจุบัน และนิสัยที่ติดข้ามชาติมา โดยในอดีตเวลาโกรธมักจะชอบพูดว่า ให้ไปตายซะ อีกทั้งในอดีตชาติยังได้ประสบความผิดหวังเรื่องความรักจนฆ่าตัวตาย ผังดังกล่าวมาส่งผล
[attachmentid=4713]
ตายแล้วเจ้าหน้าที่ก็มารับตัวไปยมโลกของมหานรกขุม 1 กำลังถูกเจ้าหน้าที่บังคับให้ยิงตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้รับความทุกข์ทรมานมาก ได้รับบุญที่อุทิศไปให้แล้ว ก็ได้รับลดหย่อนผ่อนโทษลงมา แต่ยังไม่หมดกรรม ให้เจ้าของเคสทำบุญอุทิศไปให้อีก เรื่อย ๆ
Q: พี่สาวคนโตของเจ้าของเคสปัจจุบันเป็นผู้นำบุญ-ผู้นำรถในอำเภอศรีราชา มีชีวิตที่สะบักสะบอมพอสมควร แต่ก็มีใจสู้ ไม่คิดย่อท้อต่ออุปสรรคในการสร้างบารมี พี่สาวของเจ้าของเคสเคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมาอย่างไร
[attachmentid=4714]
A: พี่สาวคนโตเป็นผู้นำบุญผู้นำรถอยู่ที่อำเภอศรีราชา มีชีวิตสะบักสะบอมเพราะกรรมกาเมเจ้าชู้ในอดีต สมัยที่เป็นผู้ชายได้มีภรรยาหลายคน และได้เคยทุบตีภรรยา เพราะทะเลาะกันในหลาย ๆ เรื่องมาส่งผล
[attachmentid=4715]
พี่สาวเคยสร้างบารมีกับหมู่คณะมาแบบกองเสบียงประเภทตามอารมณ์ ดังนั้นชีวิตบางครั้งก็ดี บางครั้งก็ประสบปัญหา ชาตินี้ให้ตั้งใจสร้างบารมีให้เต็มที่ อย่าไปย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ ภพชาติต่อไปก็จะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้
[attachmentid=4716]
พุทธันดรที่ผ่านมาพี่สาวคนโตของเจ้าของเคสเกิดเป็นกุลธิดา ได้มีทุกข์จากการครองเรือนเหมือนชาตินี้ และได้กลับมาสร้างบารมีกับหมู่คณะอย่างเต็มที่ในช่วงท้ายของชีวิต จึงทำให้กลับดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ
Q: เจ้าของเคสและเพื่อนหญิงที่เกือบแต่งงานกัน เคยเกื้อกูลกันมาอย่างไร
[attachmentid=4717]
A: เจ้าของเคสและเพื่อนหญิงที่เกือบแต่งงานกันนั้นก็เป็นแค่เพียงการเกื้อกูลกันในปัจจุบันเป็นหลัก ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษในอดีต
[attachmentid=4718]
พุทธันดรที่ผ่านมาก่อนบวช เจ้าของเคสก็มีเพื่อนหญิงที่เกือบจะแต่งงานกันคล้ายๆ ในปัจจุบันชาตินี้ แต่ไม่ใช่คนเดียวกันกับชาตินี้ แต่เจ้าของเคสก็ตัดสินใจออกบวชแทน ผังดังกล่าวก็เลยติดตัวมา ให้เจ้าของเคสอย่าไปสนใจ อย่าไปทึกทักว่าเป็นภรรยาเก่าหรือแฟนเก่าในอดีต ให้เจ้าของเคสตัดใจไปเลย แล้วบวชไม่สึกเลยเหมือนพุทธันดรที่ผ่านมา
Q: เจ้าของเคสเกือบเสียชีวิตหลายต่อหลายครั้งในวัยเด็ก ในเบื้องต้นเจ้าของเคสจะสามารถสันนิษฐานว่าเกิดจากวิบากกรรมจากในพุทธันดรที่แล้ว ที่ได้เกิดเป็นทหารของพระราชาองค์ที่ออกบวชได้หรือไม่
[attachmentid=4719]
A: ในวัยเด็กลูกเกือบตายหลายครั้ง เพราะกรรมปาณาติบาต โดยพุทธันดรที่ผ่านมาเจ้าของเคสได้เป็นทหารของพระราชาองค์ที่ออกบวชตามที่ได้สันนิษฐานไว้ และได้ทรมานข้าศึกในรูปแบบต่าง ๆ ไว้มาก ด้วยวิบากกรรมนี้มาส่งผล ทำให้เจ้าของเคสเกือบตายหลายครั้ง แต่ที่ไม่ตายก็เพราะบุญที่ได้บวชกับหมู่คณะและบุญที่ได้สร้างไว้ในพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายมาช่วยเอาไว้
[attachmentid=4720][attachmentid=4721]
บวชแล้วก็ทำหน้าที่เผยแผ่และมีผลการปฏิบัติธรรมได้เข้าถึงองค์พระใส ๆ เอาตัวรอดกลับดุสิตบุรีวงบุญพิเศษได้อย่างสบาย ๆ ชาตินี้ก็ให้เจ้าของเคสประคองตัวให้ดีอย่าประมาทในการดำเนินชีวิตในเพศสมณะ เพราะมีผังนักเทศน์ที่ไพเราะสละสลวยเป็นที่ถูกใจของชนเป็นอันมาก
Q: เพราะเหตุใดเจ้าของเคสจึงเรียนเก่งตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ อีกทั้งยังเป็นวิชาที่เจ้าของเคสชอบมากที่สุด ทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่า เรียนแล้วจะเอาไปทำอะไรกิน
[attachmentid=4722]
A: เจ้าของเคสเรียนเก่งตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าเรียนไปเพื่อไปทำมาหากินอะไรเพราะเจ้าของเคสได้ตั้งความปรารถนามาในพุทธันดรที่ผ่านมาให้แตกฉานในเรื่องภาษาต่าง ๆ เพื่อที่จะได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกายไปทั่วโลก
[attachmentid=4723]
ชาตินี้ที่พูดได้คล่องแคล่วนั้นก็ยังน้อยกว่าพุทธันดรที่ผ่านมา เพราะพุทธันดรที่ผ่านมาเจ้าของเคสพูดได้หลายภาษาอย่างแตกฉาน และสามารถเทศนาธรรมะได้ไพเราะสละสลวย จนทำให้สามารถเผยแผ่ธรรมะไปยังแคว้นต่าง ๆ ได้กว้างไกล
Q: เพราะเหตุใดเจ้าของเคสไม่รู้สึกผูกพันกับที่บ้านเลย โดยเจ้าของเคสได้เดินทางไปในที่ต่างๆ เช่นเข้ากรุงเทพฯ มาเปิดหูเปิดตาตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี พออายุ 15 ปี ก็เดินทางมาเรียนต่อที่กรุงเทพ และอายุ 18 ปี ก็สอบชิงทุนไปต่างประเทศเป็นเวลา 1 ปี โดยตั้งแต่อายุ 15 ปีเป็นต้นมา เจ้าของเคสก็มักจะไม่ค่อยคิดถึงบ้าน ยกเว้นตอนไปอยู่เมืองนอกแล้วเกิดอาการคิดถึงบ้านบ้างเล็กน้อย ทั้งยังไม่เคยคิดอยากจะกลับไปอยู่บ้านเลย มีสาเหตุจากอะไร ทำไมจึงไม่เหมือนเช่นเด็กคนอื่นทั่วไป
[attachmentid=4724]
A: เจ้าของเคสไม่ผูกพันกับที่บ้านเลย อีกทั้งไม่เคยคิดถึงบ้านและไม่คิดกลับไปอยู่บ้านเลยเพราะในอดีตเมื่อพุทธันดรที่ผ่านมาได้ตัดสินใจออกบวชด้วยใจเด็ดเดี่ยว และก็เป็นเช่นนี้มาหลายชาติแล้ว ทำให้ติดเป็นผังติดตัวมา คือไม่รู้สึกผูกพันกับบ้านเ แต่จะรู้สึกผูกพันกับการบวชเป็นสมณะและการสร้างบารมี
Q: จริงหรือไม่ว่าชีวิตและความฝันของเจ้าของเคสมีผู้วาดเส้นทางให้เดินอย่างจงใจ เพียงแต่เจ้าของเคสไม่รู้ตัว จนเมื่อย้อนกลับไปดูชีวิตที่ผ่านมาจึงพบว่าถนนสายความฝันของเจ้าของเคสเป็นถนนสำเร็จรูป ที่มีใครสร้างให้ไว้ก่อนหน้า จึงขอกราบเรียนถามคุณครูไม่ใหญ่ว่าใครเป็นคนสร้างถนนสายนี้ขึ้นมาให้เจ้าของเคสได้เดินตาม
[attachmentid=4725]
A: เส้นทางชีวิตของเจ้าของเคสนั้นเป็นผังเดิมที่มุ่งจะไปสู่ที่สุดแห่งธรรม และได้ทำตามผังนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลายชาติหลัง ๆ เจ้าของเคสก็มีผังบวชอยู่ในใจตลอดเวลา แม้ว่าชาติปัจจุบันนี้อาจจะเผลอใจไปบ้างเหมือนช้างศึกตกหล่ม แต่เมื่อได้ยินเสียงกลองรบ ก็จะรู้สึกฮึกเหิม และลุกขึ้นจากหล่มและเดินเข้าสู่สมรภูมิอย่างองอาจ
Q: เคยมีบ้างหรือไม่ครับที่แผนกเผยแผ่ ได้รับการยกชั้นขึ้นมาทำวิชชาปราบ ถ้าพอจะเป็นไปได้ จะต้องทำตัวอย่างไร
[attachmentid=4726]
A: แผนกเผยแผ่จะได้รับอัพเกรดมาเป็นฝ่ายปราบได้ก็จะต้องตั้งใจมุ่งมั่น และต้องสร้างบารมีอย่างเต็มที่ ให้เป็นบารมีพิเศษที่จะให้มาปรับปรุงธาตุธรรมของตนเองให้มีความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น เช่น นั่งสมาธิทุกวันอย่าให้ขาด ไม่ใช่นั่งพอเป็นพิธี แต่ต้องนั่งด้วยความสมัครใจอย่างถูกหลักวิชชา
[attachmentid=4727]
เหมือนดังเช่นพุทธบุตรที่ได้รับดวงแก้วแห่งความเพียรในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาเป็นต้น อีกทั้งยังต้องเจริญศีล สมาธิ ปัญญาให้เป็นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ในที่สุดก็สามารถอัพเกรดขึ้นมาเป็นฝ่ายปราบได้
[attachmentid=4728]
ชาตินี้เมื่อมาเจอกันแล้วก็ให้ตั้งใจสร้างบารมีในทุกๆ บุญ อย่างเต็มที่
และอฐิษฐานจิต ตามติดไปดุสิตบุรี อย่าได้พลัดกันอีกเลย
และอฐิษฐานจิต ตามติดไปดุสิตบุรี อย่าได้พลัดกันอีกเลย
ขออนุโมทนาบุญกับพระอาจารย์เจ้าของเคสด้วยครับ...สาธุ