ความผิดพลาดเพียงแค่ครั้งเดียว
#1
โพสต์เมื่อ 28 August 2008 - 03:52 PM
ใ น ชี วิ ต ที่ สั่ ง ส ม ม า น า น ปี
เ สี้ ย ว วิ น า ที เ ดี ย ว ก็ แ ป ร ผั น
ค ว า ม ดี ที่ ส ร้ า ง ม า ไ ม่ จี รั ง
ห า ก ทำ ผิ ด พ ลั้ ง ไ ป เ พี ย ง ค รั้ ง เ ดี ย ว ...
#2
โพสต์เมื่อ 28 August 2008 - 07:15 PM
คุณจะรู้สึกอย่างไร หากทั้งชีวิตมีแต่เรื่องร้าย ๆ หนัก ๆ ประดังประเดเข้ามา ตั้งแต่เกิดก็เกือบจมน้ำตาย โตขึ้นก็สูญเสียแม่ พ่อป่วยหนัก มีน้อง ๆ ต้องดูแลหลายคนทั้ง ๆ ที่ยังเรียนไม่จบ ครั้นแต่งงาน ก็มีลูกพิการ สุดท้ายสามีก็ทิ้ง แล้วยังมาเจอเนื้องอดที่มดลูก ผ่าตัดลำไส้เหลือแค่ครึ่งเดียว จากนั้นก็ถูกรถชน กระดูกคอหัก รอดตายแล้วก็ไปเจออุบัติเหตุรถยนต์อีก แขนหักสองท่อน และตับแตก อายุไม่ถึง ๕๐ แต่กระดูกผุราวคน ๘๐ แล้วยังไม่รู้ว่าจะเจออุบัติเหตุอีกกี่ครั้ง เจอแบบนี้แล้ว คุณยังคิดอยากอยู่อยากยิ้มให้กับชีวิตนี้อีกหรือ ?
แต่สำหรับคุณ เกษมสุข ภมรสถิตย์ ชีวิตนี้ไม่เคยเลวร้ายเกินทน เธอยังยิ้มให้กับชีวิตได้เสมอ ไม่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังหรือหวั่นหวาดอนาคต เพราะมั่นใจว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้ พูดอย่างคนโบราณ ชีวิตของเธอเหมือนกับเกิดมาเพื่อรับกรรม ลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง ๒ เดือนพี่เลี้ยงก็ทำหลุดมือตกน้ำเกือบจะหลุดเข้าไปใต้โป๊ะท่าน้ำ แต่เดชะบุญมีคนคว้าไว้ได้ทัน ทั้งน้ำและน้ำมันเข้าปาก พออายุได้ ๘ ขวบก็จมน้ำอีก ผุดทะลึ่งขึ้นมาครั้งที่ ๓ พ่อถึงเห็นและเกี่ยวขึ้นมาได้ทัน จมน้ำปางตาย ๒ ครั้งทำให้ร่างกายอ่อนแอ เจอแดดร้อน ๆ ไม่ได้ มีอันต้องเป็นลม ร้องไห้ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นลมสลบ จนใคร ๆ หาว่าสำออย
เรียนมหาวิทยาลัยแค่ปี ๒ แม่ก็เสีย พ่อทำใจไม่ได้ ช็อคหัวใจวาย กลายเป็นคนป่วยนับแต่นั้น ไม่นานบ้านก็ถูกยึดเพราะเป็นหนี้ อายุแค่ ๑๙ ปีเธอกลายเป็นกำลังหลักคนเดียวของครอบครัวที่ต้องหาเงินมาเลี้ยงพ่อและน้อง ๆ ทั้ง ๕ คนไม่ได้หดหู่ท้อใจในชะตากรรม เป็นความรู้สึกของเธอในตอนนั้น โดยหารู้ไม่ว่าเคราะห์กรรมยังจะตามมาอีกมาก
เธอแต่งงานก่อนวัยเบญจเพส เมื่อคลอดลูกก็พบว่าลูกพิการเพราะหมอใช้คีมคีบหัวออกมาอย่างไม่ถูกต้อง สมองจึงเติบโตได้ไม่เต็มที่ หมอทำนายว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมาก ๙ ปี แต่เธอก็เลี้ยงดูเอาใจใส่จนลูกอายุ ๒๐ กว่าแล้ว คลอดลูกมาได้ปีกว่า ก็พบว่าเป็นเนื้องอกที่มดลูก ปรากฏว่าหมอตัดส่วนที่ดีทิ้งไป จึงต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง คราวนี้มดลูกที่เหลือถูกตัดทิ้งหมดรวมทั้งรังไข่ด้วย ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมน ครั้นกินฮอร์โมนทดแทน ก็แพ้ เลยเป็นโรคกระดูกผุนับแต่บัดนั้น เท่านั้นยังไม่พอ ระหว่างผ่าตัด โรคกระเพาะเกิดกำเริบ จนตัวบวมเขียว หมอต้องเปิดท้องตัดลำไส้จนเหลือเพียงครึ่งเดียว
อายุไม่ถึง ๒๖ เธอก็มีอวัยวะไม่ครบเหมือนคนปกติ แถมมีลูกพิการที่เสี่ยงต่อความตาย แม้เธอจะรักษาชีวิตของตนและของลูกได้ แต่แล้วก็ต้องสูญเสียสามี ชีวิตครอบครัวที่มีแต่ปัญหาทำให้เธอกับเขาตัดสินใจแยกทางกัน เจออย่างนี้แล้วเธอยังทำใจได้ ไม่คิดโทษใครหรือน้อยใจในชีวิต
เคราะห์กรรมยังซ้ำเติมไม่จบ ราวกับจะทดสอบจิตใจของเธอ วันหนึ่งขณะที่รถติดไฟแดง ก็มีรถเมล์เบรกแตกวิ่งมาชนรถของเธอ แรงกระแทกทำให้กระดูกคอของเธอซึ่งผุอยู่แล้วหักทันที และไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตเดชะบุญที่สามารถรักษาให้หายได้หลังจากนอนแน่นิ่งในโรงพยาบาลเกือบ ๒ เดือน
หลังจากครั้งนั้นแล้ว ก็เจออุบัติเหตุอีก รถของเธอเลี้ยวโค้งแล้วไปชนกับเสาไฟฟ้า กระดูกที่แขนของเธอหักออกจากกัน ห้อยร่องแร่ง แถมยังถูกก้านเกียร์ทิ่มใต้ชายโครงขณะช่วยคนขับหักพวงมาลัยหลบคอสะพาน ผลก็คือตับแตก เธอยังต้องเจออุบัติเหตุอีกหลายครั้ง แม้แต่วันที่ไปออกรายการ "เจาะใจ" ก็ยังมีรถยนต์มาชนท้าย กระเทือนที่คอและหลัง แต่เธอก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร ทนได้ ต่อเมื่อถ่ายทำรายการเสร็จแล้ว จึงไปให้หมอตรวจและรักษาที่โรงพยาบาล
วันนี้เธออายุ ๕๒ และไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้าอีก แต่เธอก็ยังมีขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต คงมีไม่กี่คนในโลกนี้ที่เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่หยุดหย่อนอย่างคุณเกษมสุข ยกเว้นคนที่เจอภัยสงครามหรืออดอยากหิวโหยปางตายแล้ว จะมีสักกี่คนที่ลำบากลำเค็ญเท่าเธอ
แต่แปลกไหมที่เธอไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนกับชีวิตที่เต็มไปด้วยเคราะห์กรรมเลย ถ้าชะตากรรมมีจริง เธอเป็นคนหนึ่งที่ย้ำเตือนว่าเราสามารถเอาชนะชะตากรรมได้ ไม่ได้ชนะที่ไหน หากชนะที่ใจนั่นเอง ชีวิตของเธอบอกให้เรารู้ว่า คนเราจะทุกข์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรมากระทบกับเรา แต่อยู่ตรงที่เรารู้สึกอย่างไรกับสิ่งนั้น หรือทำอย่างไรกับมันต่างหาก แม้จะมีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเรา แต่ถ้าเราทำใจรับได้ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม แม้มีเงินทองไหลมาเทมา แต่ถ้าเราคิดว่ามันน้อยเกินไป ทำให้รวยไม่พอหรือไม่เท่าคนอื่น เมื่อนั้นใจเราก็เป็นทุกข์ทันที
หลายครั้งที่ความเดือดร้อนของคุณเกษมสุขเกิดขึ้นจากฝีมือคนอื่นแท้ ๆ เช่น หมอที่ใช้คีมคีบหัวลูกแรงเกินไป ตัดมดลูกผิดข้าง แม้แต่รถจอดนิ่งอยู่ ก็ยังมีรถคนอื่นมาชน ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง แต่เธอไม่เคยเสียเวลาไปโทษคนอื่น เล่นงานเขา หรือก่นด่าชะตากรรม หากคิดเพียงว่าจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไร และรักษาใจให้เป็นปกติได้อย่างไร
ตอนที่นอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเพราะกระดูกคอหัก หมอเอาเหล็กแหลมเจาะเข้าไปในกะโหลกทั้ง ๒ ข้างเพื่อป้องกันไม่ให้คอเขยื้อนขยับ เธอเจ็บมาก แต่เห็นว่าถ้าตนใจเสีย หมอและน้อง ๆ ก็ใจเสียไปด้วย เธอเลือกที่จะทำใจให้ปกติ ไม่ตีโพยตีพาย เพราะ "ถ้าต้นตอไม่ตีโพยตีพายเสียก่อน คนรอบข้างก็อยู่ได้ และกำลังใจนั้นมันก็จะถูกส่งกลับมาที่เราอีกที"
ไป ๆ มา ๆ ปรากฏว่า คนป่วยกลับมีจิตใจสบายกว่าคนมาเยี่ยมเสียอีก จนกลายเป็นที่ปรับทุกข์ให้แก่คนรอบข้าง แต่เธอไม่ใช่พระอิฐพระปูน ฟังเรื่องพวกนี้มาก ๆ ก็ทุกข์ได้ง่าย ๆ ทางออกของเธอก็คือ "จับ(คนมาเยี่ยม)นั่งสมาธิเสียเลย จะได้ไม่มีเวลาพูดเรื่องอะไรที่มันร้อนใจ"
กลายเป็นว่าคนป่วยกลับเป็นที่พึ่งทางจิตใจให้แก่คนปกติ แทนที่จะตรงกันข้าม
สิ่ง สำคัญที่ประคองใจไม่ให้ทุกข์ร้อนไปกับเหตุร้ายก็คือสติ สติอ่อนเมื่อไหร่ ใจก็จะโวยวายตีโพยตีพาย โทษคนโน้นคนนี้ จนลืมจัดการกับตนเอง ทั้ง ๆ ที่เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนอื่นใด น้อง ๆ คุณเกษมสุขเล่าว่า ตอนเกิดอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า คุณเกษมสุขโทรศัพท์บอกที่บ้านอย่างเรียบ ๆ ธรรมดาว่า "ไม่เป็นไร แต่คิดว่าตับแตก" สติเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นเบา อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เลวร้ายลงไปอีก ทั้งยังช่วยให้เราแก้ไขสถานการณ์ด้วยปัญญาอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง
ใคร ที่คิดว่าตัวเองทุกข์หนักหนาสาหัสแล้ว ลองนึกถึงชีวิตของคุณเกษมสุข อาจจะได้คิดว่าตนนั้นยังโชคดีอยู่มากเมื่อเทียบกับเธอ แต่เท่านั้นยังไม่พอ น่าจะได้คิดต่อไปอีกด้วยว่า สุขทุกข์นั้นแท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา ถึงจนก็สุขได้ ถึงป่วยก็ยิ้มได้ แม้จะพลัดพรากสูญเสียแค่ไหน ก็ยังมีสิทธิแช่มชื่นแจ่มใสได้ แต่ถ้าทำใจไม่เป็นเสียแล้ว รวยแค่ไหน มีอำนาจมากเพียงใด ทรวดทรงงดงามเพียงใด ก็ยังทุกข์อยู่นั่นเอง
จะ เจออะไรมาก็แล้วแต่ ข้อสำคัญประการสุดท้ายก็คือ อย่ายอมแพ้ต่อชะตากรรม อย่าปล่อยใจไปกับ ความลำเค็ญ ความล้มเหลว และความเศร้าโศกท้อแท้ ในยามร้ายไม่มีอะไรดีกว่าการปลุกใจให้อดทน เข้มแข็ง สดชื่น และเปี่ยมด้วยความหวังว่าพรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้…
#3
โพสต์เมื่อ 28 August 2008 - 07:23 PM
คุณครูไม่ใหญ่ ท่านเมตตาชี้แนะไว้ให้ปฏิบัติดังนี้
1. อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด
2. บาปทุกชนิด ไม่ทำอีกเด็ดขาด...โดยเฉพาะบาปชนิดเดียวกับที่เราได้ทำไปแล้วนั่นแหละค่ะ
3. หมั่นนึกถึงบุญที่ได้สั่งสมมาทั้งหมด
4. บุญทุกชนิดทำให้เพิ่มขึ้น เข้มข้นทับทวี
5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย (หากทำได้ถึงข้อนี้ ปิดอบายแน่นอนค่ะ)
ปล. ไม่มีเพื่อนเลยหรือ แล้วสมาชิก DMC นี่ล่ะ ไม่นับเป็นเพื่อนเลยหรือจ๊ะ? แต่ละคนออกจะห่วงใยสมาชิกกันทั้งนั้น
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#4
โพสต์เมื่อ 28 August 2008 - 10:22 PM
- มีความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวตั้งมากมายที่แม้เกิดเพียงครั้งเดียว หรือทำเพียงครั้งเดียวก็มีผลรุนแรง
จนผู้ที่ได้ตัดสินใจทำไปแล้วคาดคิดไม่ถึง ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เช่นการฆ่ามารดา บิดาของตนเอง
ก็เป็นความผิดที่รุนแรง ที่แม้แต่คิดยังคิดไม่ออกเลยว่าคนที่ฆ่าเขาคิดฆ่าได้อย่างไร?...
- เรารู้ว่าพลาดไปแล้วส่วนใหญ่ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุการณ์หรือผลจากการตัดสินใจส่งผลแล้ว
สรุปว่าไม่เป็นไปอย่างที่คิด( ซึ่งคิดว่าน่าจะดี หรือไม่ได้คิดว่ามันจะแย่ได้ขนาดนี้)
ทางออกแรกครับคืออย่าได้ทำผิดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง และยืนหยัดรับผลของกรรมอย่างลูกผู้ชาย
หมายถึงเราสำนึกแล้ว เมื่อผลของกรรมสิ้นสุดก็จะดำเนินชีวิตใหม่ได้ต่อไป
"ชีวิตก็ยังดำเนินอยู่ได้และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากความผิดพลาด ไม่ใช่หรือ? ความผิดพลาด จะสอนให้เรารู้จักที่จะเรียนรู้และเติบโต ไม่ใช่หรือ? มันใช่สำหรับใครหลายๆ คนที่มีเพื่อนคอยโอบอุ้ม มีครอบครัวคอยดูแล มีเพื่อนร่วมงานคอยให้กำลังใจ มันก็เป็นแบบนั้น"
- ไม่เสมอไปหรอกครับ บางครั้งยิ่งมากคนเรื่องยิ่งมาก เรื่องยิ่งหนัก ยิ่งแรง ตนเท่านั้นแหละครับ ที่เป็นที่พึงแห่งตน
"แต่เมื่อลองมองในอีกแง่มุมหนึ่งของคนที่ไม่มีเพื่อนคอยโอบอุ้ม ไม่มีครอบครัวคอยดูแล ไม่มีเพื่อนร่วมงานคอยให้กำลังใจ ถูกคนรอบข้างตัดสินว่า " พลาด!! อย่างไม่น่าให้อภัย " มันจะเป็นอย่างไร มันคงท้อแท้ .. มันคงสิ้นหวัง .. มันคงหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อแล้ว .. "
- ถ้ามองในมุมนี้แสดงว่าเรื่องยังมีทางแก้อีกมากครับ หมายถึงยังหนักไม่พอ หากเรื่องที่หนักมากๆ นั้นถึงมีครบสมบูรณ์
ก็ยังไม่มีส่วนหรือประโยขน์อันใดในการที่จะให้เข้ามาช่วยหรือไปให้ช่วย อย่างอนันตริยกรรมที่กล่าวไว้ตอนต้น
ลองตรองดูให้ดีนะครับ ไม่มีใครช่วยเราได้ดีกว่าตัวเราเอง เพียงแต่เรามีสติสมบูรณ์แล้วหรือยัง
หรืออย่างน้อยก็ดึงความมั่นใจในระดับเดิมๆ ที่เคยกล้านั่นแหละ กลับไปสู่จุดนั้นโดยเร็ว แล้วค่อยคิดใหม่ ทำใหม่
ตอนนี้ฟุ่งมากก็ต้องหยุดคิด หยุดทุกอย่างก่อน กลับมาที่จุดเริ่มต้นของชีวิตอีกครั้ง สงบใจแล้วกลับมาที่ตั้งของใจก่อน
หยุดใจเท่าที่ทำได้แล้วค่อยนึกถึงบุญของเราเอง...ผมว่ามีทางออกอีกมากมาย
"ใ น ชี วิ ต ที่ สั่ ง ส ม ม า น า น ปี
เ สี้ ย ว วิ น า ที เ ดี ย ว ก็ แ ป ร ผั น
ค ว า ม ดี ที่ ส ร้ า ง ม า ไ ม่ จี รั ง
ห า ก ทำ ผิ ด พ ลั้ ง ไ ป เ พี ย ง ค รั้ ง เ ดี ย ว ... "
- ถ้ายึดติดแบบนี้ใจจะแคบ ทางออกตีบตันไปหมด
เรื่องมันจะร้ายจนสุดร้ายก็ต่อเมื่อใจเรานั่นแหละไปเติมความร้ายให้กับมัน
#5
โพสต์เมื่อ 30 August 2008 - 09:27 AM
น่าสนใจ และน่าสรรเสริญมากเลยนะคะ สำหรับคุณ เกษมสุข ภมรสถิตย์
อยากรู้จังว่าเธอไปทำอะไรมานะ ถึงเจอเรื่องขนาดนี้
เคยขึ้นcase หรือเปล่าคะ
#6
โพสต์เมื่อ 01 September 2008 - 11:54 AM
#7
โพสต์เมื่อ 01 September 2008 - 04:36 PM
" ผิดหวัง เพราะ หวังผิด "
" ทำไม่ได้ เพราะ ไม่ได้ทำ "
" ทำได้ เพราะ ได้ทำ
ฯลฯ
ผมใช้เป็นหลักเตือนสติเสมอๆ
#8
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 09:13 AM
ขอให้ลงนั่งแม้ว่าจะนั่งไม่ลง สู้ต่อไป
เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี สิ่งที่เราทำย่อมเป็นของเรา ทำทั้งทีทำให้ปลื้ม
#9
โพสต์เมื่อ 03 September 2008 - 12:33 PM
ถ้าทำความชั่วแล้วช่วยเข้าจะดีมัย
#10
โพสต์เมื่อ 09 September 2008 - 12:05 AM
#11
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 06:54 PM
พระพ่อ สอนไว้เสมอ ก่อนชี้แจงภาพ ฝันในฝัน เกือบทุกเคส
เวลารับวิบากกรรม..ว่า..
ภาพวันนี้ของเรา คือภาพสะท้อน ของการกระทำในของเรา
อดีต
ไม่ใช่ภาพสะท้อนจากการกระทำของเรา ในปัจจุบันนี่จ๊ะ
ความดีวันนี้ ก็ส่วนความดี จะไปส่งให้ในอนาคตแน่ๆจ้า
ไม่มีอะไร ที่ฟลุ๊ค ที่ไม่แฟร์ หรือ ที่ฟรีจ้า
วันนี้เราทำดีเหลือเกิน อาจรู้สึกน้อยใจที่ผิดหวัง สูญเสีย..
แต่ที่จริงแล้ว..
เราต่างหาก ที่เคยประกอบเหตุ ที่สาสมกันนั้นมา ในอดีต
ทำให้ใครสักคน ในอดีต รู้สึกเหมือนเราในวันนี้..
ดังนั้น
จงระวัง ไว้เถิดว่า เรา คนดีๆคนนี้น่ะ
...ในอดีตทำไมช่าง..ทำอะไรที่ไม่ดี อย่างไม่น่าเชื่อได้ลงคอ..
รู้แล้วต้องขยันฝึกใจ ให้นิ่ง จะได้เลิกเป็นทาส
ทาสกิเลส ทาสมาร เวลาเขาเอามาบังคับให้ทำไม่ดี
อย่างที่ พระเดชพระคุณทั้งสี่ ท่านพร่ำสอนเราทุกวันๆ กันเถิดนะ
...
...
#12
โพสต์เมื่อ 10 September 2008 - 11:43 PM
ลืมคำว่าผิดพลาดแล้วเริ่มใหม่
ขอเพียงแต่ชีวิตจากนี้ไป
ให้มั่นใจในบุญที่คุณมี
ลืมอดีตที่ใจเรานึกแล้วหมอง
หมั่นประคองศูนย์กลางกายให้ผ่องศรี
กลั่นธาตุธรรมด้วยใจที่#####ปรีด์
ต่อจากนี้ผู้ชนะต้องเป็นเรา
สู้ต่อไปนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ลูกพระธัมฯทุกท่านค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 13 October 2008 - 02:52 PM
สำหรับคุณ อย่าน้อยใจเลยครับ ผมเข้าใจคุณ และเข้าใจในงานที่คุณทำ จงเอาเป้าหมายเป็นหลัก แล้วอุปสรรคจะเป็นลองเอง เราทำงานอยู่ฝ่ายภาคปราบ จะต้องอดทนกว่าฝ่ายภาคโปรดเยอะ เราจะไปปราบเขา เขาก็ต้องหาวิธีปราบเราเหมือนกันนั่นแหละ ตามเขาให้ทัน แล้วจะไม่มัวมาเสียเวลานั่งน้อยใจให้อายบริวารที่ดูผลงานเราอยู่บนวิมานนู้น...
กุญแจวิเศษ
#14
โพสต์เมื่อ 20 October 2008 - 01:56 PM