ไปที่เนื้อหา


InnerDot

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 03 Sep 2013
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Oct 25 2017 02:58 PM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: โบสถ์พระไตรปิฎก

18 January 2017 - 11:30 AM

ผมจำได้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยปรารภครั้งแรกกับลูกพระในวันเข้าพรรษา ปี พ.ศ.2547 ซึ่งเป็นปีที่ผมได้เข้ามาบวชธรรมทายาท(รุ่นเข้าพรรษา)ปีนั้นว่า "พระเริ่มล้นโบสถ์แล้วต่อไปเราน่าจะทำหลังคาครอบโบสถ์กันดีไหม ลูกๆจะได้ไม่ต้องตากแดด ตากฝนกัน เวลาต้องทำสังฆกรรมร่วมกัน"  ทุกๆรูปในวันนั้นต่างเปล่ง สาธุการ พร้อมๆกัน

 

วันนี้... เป็นที่ยืนยันอีกหนึ่งโครงการว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย ไม่เคยทิ้งลูกๆเลย อะไรทำจริงได้ ทำได้ ทำ!!!   สาธุ สาธุ สาธุ ครับ


ในกระทู้: เทรดforexนี่บาปไหมครับ

10 January 2017 - 10:11 AM

เรื่องการทำมาหากินนี่ ละเอียดอ่อนมากครับ ครั้งหนึ่ง ผมเคยลองเข้าไปฟังสัมนาขายตรงกับเพื่อนฝูงดู เมื่อศึกษาภาพรวมมาสักระยะ ก็สัมผัสความรู้สึกบางอย่างได้ว่า... ธุรกิจประเภทนี้... สมาชิกมักจะถูกระบบกระตุ้นให้ใช้พลังในตัวออกมาขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปเรื่อยๆด้วย "รถ, บ้าน, การได้ไปเที่ยวต่างประเทศ, และรายได้(เงิน)ที่จะเข้ามาตามรูปแบบที่วางเอาไว้"  ผม(ความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่พาดพิงท่านใด)รู้สึกลึกๆว่า สิ่งเร้าที่นำมากระตุ้นให้ธุรกิจประเภทนี้หมุนไปได้หลักๆเลยก็คือ อาศัย "เหยื่อ" ดังที่กล่าวข้างต้น 

 

เหยื่อที่ว่า ก็คือ รถแพงๆ,  บ้านหลังโตๆ, การได้ไปเที่ยวต่างประเทศ  นั่นเอง....  

 

ทีนี้ อะไรที่ทำให้สมาชิก หวังจะ "ฮุบเหยื่อ"  สิ่่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ....  "ความโลภ" ที่มีอยู่แล้วในใจของมนุษย์ทุกคน 

 

(ย้ำว่าเป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็นเพียงหนึ่งความเห็นเท่านั้นเพื่อแชร์ประสบการณ์การวิเคราะห์การประกอบอาชีพบางอย่าง)

 

ผมจึงสรุปเองว่า ธุรกิจประเภทนี้ ถูกขับเคลื่อนไปด้วย "โลภะ" นั่นเอง สมาชิกไม่ต้องมีความรู้เรื่องอะไรมากมายในสายงานการทำธุรกิจจริงๆ ขอเพียงว่า หาสมาชิกใหม่ให้ได้มากๆ ใช้วาทะศิลป์ในการพูด ในการนำเสนอ อาศัยตัวอย่างคนที่สำเร็จมาโน้มน้าวใจ มาคอยช่วยกระตุ้นโลภะให้เบ่งบานมากขึ้น จนทนไม่ไหวต้องขับเคลื่อนธุรกิจนี้ ต่อๆไป....

 

ทีนี้ แล้วเราควรตั้งเจตนาอย่างไรในการประกอบอาชีพลักษณะนี้ (รวมทั้งการ trade forex ด้วย)

    1.เพื่อจะได้ทรัพย์มาทำประโยชน์ต่อตนและผู้อื่นทั้งทางโลกและทางธรรม เช่น ขอtrade ให้รวยเพื่อเอาทรัพย์นั้นมาสร้างบารมีในด้านต่างๆ เพื่อมาฟื้นฟูพระพุทธศาสนา, เพื่อนำมาอำนวยความสะดวกในการต่อยอดในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป เป็นต้น

   2.เพื่อเสนอขายสินค้าที่มีคุณภาพจริงๆต่อสมาชิกและลูกค้า หวังให้ผู้ซื้อจะได้รับสินค้าที่ดีต่อชีวิต ได้ใช้ของดีเพื่ออนามัยของชีวิต  

   3.หาสมาชิกเพื่อหวังดีต่อพวกเขาจริงๆ ไม่ใช่หวังรวยจากการมีสมาชิกในสายตัวเองมากๆ เช่น เคยเห็นโฆษณาประกันภัยทางทีวี บอกว่า "เราห่วงใยคุณ" แต่... ถ้าคุณเป็นโรคมะเร็งอยู่แล้วคิดมาทำประกันกับเรา เราไม่รับทำประกันให้... ถามว่า "เราห่วงใยคุณ" ตามโฆษณาจริงหรือไม่? นั่นหมายความว่า เป็นแต่เพียงคำลวง ที่ไม่ได้ออกมาจากเจตนาจริงของการทำธุรกิจ ตรงนี้ผู้ทำจะต้องตอบคำถามตัวเองจริงๆให้ได้ ไม่ใช่ "หลอกว่าเราห่วงแต่แท้จริงไม่ใช่เลย"

   4.เวลาเรา trade ได้กำไร ก็ดีใจว่า เราจะได้ทำประโยชน์ใหญ่แล้วเพราะทรัพย์นี้ ในขณะที่ถ้าตัวเองขาดทุน แล้วผู้อื่นทำกำไรได้ ก็ให้ฝึกใจตนให้มีมุทิตาจิตคือยินดีกับผู้อื่นนั้นด้วย ไม่ใช่ไปนึกในทางลบ หรืออิจฉาเขา ถ้าเป็นเช่นนี้ หมายความว่า อาชีพtrade แบบนี้เป็นทางมาแห่ง "อกุศลธรรม" ดีๆนี่เอง

 

ก็เสนอความเห็นไว้เท่านี้นะครับ ไม่ผิด ไม่ถูก แค่วิจารณ์และเสนอแนะเท่านั้นครับ 


ในกระทู้: ทำไมต้องรับพระของขวัญกับมือครับ

29 December 2016 - 12:06 PM

ระหว่าง A.การได้เห็นภาพถ่ายสวยๆในหนังสือ กับ B.การได้ไปสถานที่นั้นแล้วถ่ายภาพนั้นด้วยตัวเอง

 

แบบไหนน่าจะตรึงตา ตรึงใจ ถึงใจเป็นที่จดจำได้มากกว่ากัน เมื่อเวลาผ่านไปสัก 80 ปี แล้วเราย้อนนึกถึงภาพนี้อีกครั้ง ถามว่า เราจะจดจำภาพไหนได้มากกว่ากัน  8-) 

 

สิ่งนี้... (ที่ได้เทียบไว้ข้างต้น) จะมีประโยชน์อะไรต่อเราขนาดนั้น 

 

ท่านอาจสงสัยใช่ไหมครับ เมื่อก่อนผมอาจคิดว่า เป็นเรื่องไร้สาระ คงไม่มาใส่ใจในเรื่องคล้ายๆอย่างนี้ แต่เพราะ เมื่อหลวงพ่อธัมมชโย และครูบาอาจารย์ที่วัดพระธรรมกายได้แนะนำ สั่งสอน ย่อยธรรมะในพระไตรปิฎกออกมาให้ผมได้เรียนรู้ศึกษา กลับพบความสำคัญของ ธรรมชาติชีวิต บางแง่มุมว่า....

 

1.ก่อนตาย ถ้าใจไปเผลอนึกถึงเรื่องหมอง จะเป็นเหตุให้ไปเกิดในทุคติ ไปไม่ดี

2.ก่อนตาย ถ้าใจไปนึกถึงเรื่องผ่องใส บุญกุศล เรื่องที่เป็นเหตุให้ปลื้มปิติใจในกุศลธรรมความดีที่เคยทำ แน่นอน จะเป็นเหตุให้ไปเกิดใน สุคติภพ ไปดีนั่นเอง

3.ถ้ายังไม่หมดกิเลส ฟันธงว่า เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้วต้องไปเกิดใหม่ทุกรายไม่มียกเว้น 

 

จากทั้ง 3 ข้อ เป็นธรรมชาติชีวิต ที่สำคัญมาก จึงเป็นที่มาว่า ทำไมที่วัดพระธรรมกายจึงมักจะเน้นสอนเรื่องที่สำคัญนี้มากๆ ให้กับคนส่วนใหญ่(ที่ยังไม่หมดกิเลส)เป็นหลัก ให้เตรียมตัวตายให้ถูก ให้ปลอดภัย ให้เรียนรู้ที่จะทำกุศล ด้วยใจที่ ปลื้มปีติมากกกกกกกกๆๆๆ เข้าไว้ จะดีที่สุด ทำไงก็ได้ให้ตัวเอง จดจำฝังใจในเรื่องกุศลธรรมให้มากกกกๆๆๆๆๆๆๆๆที่สุด เพื่อ... เพื่อ?

 

ก็เพื่อให้ ก่อนตาย นึกถึงความดีได้ง่ายๆ ตรึงตา ตรึงใจในทุกสิ่งที่ตัวเองเคยเกี่ยวข้องเช่น การมารับดวงแก้วหรือพระของขวัญด้วยมือตัวเองกับ พระอาจารย์ฯลฯ เป็นต้น แม้ผ่านไป 80-90 ปีแล้ว ก็ยังจำได้ดี... ตรงนี้แหละ จะเป็นเหตุสำคัญญให้เรา "มีโอกาส" ไปสู่สุคติภูมิ ได้งา่ยนั่นเองครับ

 

(ขยายความเผื่อว่า ท่านสงสัยว่า ทำไมต้องปลื้มกว่า ต้องปีติกว่า  อะไรดีๆที่มัน ดีกว่า... มีดี มีประโยชน์ก็ตรงนี้แหละครับ ประการหนึ่ง)


ในกระทู้: ขอคำปรึกษาครับ

28 December 2016 - 04:18 PM

1.เรื่องค่าเล่าเรียนบุตร แนะนำให้ กู้ กยศ.ครับ เลือกโรงเรียนที่ไม่มีค่าเทอมแพงเกินจ่าย เชื่อมั่นใจตัวลูกว่า ถ้าเขาตั้งใจดีไม่ว่าจะจบจากที่ไหนก็มีงานทำแน่นอน ส่วนมหาวิทยาลัย ลงเรียน รามคำแหงก็ได้ครับ ขอนั่งยัน ยืนยันว่า คนจบจากที่นี่ ได้งานทำเลี้ยงตัวครอบครัวและพ่อแม่ได้มากมายนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นก็คือคนที่บ้านผมเอง เธอตั้งใจจะเรียน รามฯ ตั้งแต่อยู่ ม.ปลาย เพื่อไม่ต้องการให้พ่อและแม่ กดดันในการหาค่าใช้จ่าย เธอจึงแน่วแน่ในการลงเรียนที่ รามฯ มากๆ จนวันนี้ เป็นบทพิสูจน์ว่า เธอ มีงานทำเรียบร้อยเป็นข้าราชการ และไม่ได้ทำให้พ่อและแม่เดือดร้อนเหนื่อยหาเงินมาส่งเธอเรียนเลย...

 

2.เรื่องรายได้ แนะนำตัวอย่าง ผมเห็นบางคนเริ่มต้นธุรกิจของตนเองด้วยการ "ลงทุนซื้อรถเข็น" เพื่อขายของ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นธุรกิจที่ต้องใช้งบมากและมีความเสี่ยงสูงๆ จนปัจจุบันมีร้านเช่าเป็นหลักแหล่งใหญ่ขึ้น จะบอกว่า แทบเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้ความรู้อะไรเลยย (เช่น การขายอะไรสักอย่าง จำพวกอาหาร อร่อยๆ) อาศัยความขยัน รสชาติอรอ่ย ให้ลูกค้าปรุงรสเอาเองจะได้ไม่ต้องเรื่องมาก เช่น ก๋วยเตี๋ยว ไม่ต้องทำข้าวแกงเพราะต้องทำหลายอย่างเกินไป อย่างบางที่ ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ด หรือก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ขายแค่นี้.... คนเข้าร้านเป็นหลักร้อยคนต่อวันก็มี ครับ ไม่ต้องไปเสี่ยงอะไร ไม่ต้องวางแผนอะไร ไม่ต้องจ้างคนมีความรู้อะไรมาช่วย แค่จ้างแรงงานพม่า มาช่วยเสริฟ เป็นต้นครับ... เรื่องนี้ต้องกล้าทำครับ เปิดกรอบเดิมๆที่ตัวเองเคยคิด ทำทันที ไม่ต้องรอนาน 

 

3.เรื่องทำบุญ อันนี้อย่าขาดครับ ทำไปอย่าให้สะดุด ให้ถูกหลัก เพิ่มรอบการนั่งสมาธิ และรักษาศีล5 ศีล 8 เพิ่ม (โดยเฉพาะศีล8 ยังจะช่วยให้เราเรียนรู้การ "ตัดสิ่งที่ฟุ่มเฟือย" ออกจากชีวิตได้มาก) สุดท้ายให้ อธิษฐานจิตช่วยครับ ซึ่งสามารถหาความรู้เพิ่มเติมได้จากเว็บว่า "การอธิษฐานจิต" หรือ "การใช้บุญให้เป็น" นั้นที่ถูกต้องควรทำอย่างไร

 

4.สำคัญมากๆครับ.... เลือกทางเดินชีวิตแบบ "พอเพียง"  ตัดใจให้ได้ครับว่า สิ่งนี้ จำเป็น สิ่งนั้น ไม่จำเป็น สิ่งนี้รอได้ สิ่งนั้นรอไม่ได้ เป็นต้น ลดความ "อยาก" หรือ บางครั้งจำเป็นต้อง "ลดเป้าหมายชีวิต" ลงบ้างก็จะดีไม่น้อยครับ เพราะเชื่อว่า ส่วนหนึ่งที่ชีวิตมันกดดันเพราะ ตัวเองตั้งเป้าอะไรบางอย่างเกินตัวมากไป... อย่าไปหวังว่าจะแข่งอะไรกับใครครับ อยู่อย่างพอเพียง ลดการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า งดดูทีวี ดูโฆษณา งดการเล่นเน็ตโทรศัพท์ต่างๆ งดการซื้อของเล่นให้ลูกแล้วประดิษฐ์เล่นเอง ลดการออกไปนอกบ้าน เพื่อไม่ให้ต้องจ่ายอะไรมากขึ้น ที่สำคัญ.... ข้อที่ 5 ครับ

 

5.ทำไงก็ได้ ห้ามตัวเอง และลูกๆ เจ็บป่วย (อันนี้ตั้งเป้าสูงๆได้เลย) เพราะถ้าเป้านี้ ล้มเหลว หมายถึงว่า ตัวเองหรือลูกๆ เจ็บป่วย ต่อให้เรามีเงินเก็บมากแค่ไหน รับรองมันจะหมดไปเร็วมากกับการรักษา.... อากาศ อาหาร อนามัย ฯลฯ

 

ขอให้บุญรักษาคนดีครับ 


ในกระทู้: ด้วยความไม่รู้และด้วยความเคารพครับ ถามเรื่องอาการอาพาธของหลวงพ่อครับ

24 November 2016 - 03:55 PM

เพิ่มเติมครับ สำหรับคำตอบของท่าน พระครู..(สำหรับท่านที่อาจสงสัยว่าคำตอบจากท่านพระครูคืออะไร)

 

ท่านพระครู(ผู้ซึ่งตอบคำถามด้วย กายธรรมภายใน) ตอบสามเณรน้อยว่า...

 

       "การที่เจ้าคิดเช่นนั้น... เป็นหลักการที่สมควร และใช้การได้ แต่ว่า... จะสำเร็จประโยชน์ดังที่เจ้าหวัง ก็ต่อเมื่อ เจ้าเองมี ญาณหยั่งรู้ว่า การเลือกเดินทางด้วยเส้นทางอันเสี่ยงภัยที่เจ้าคิดนั้น จะสามารถเอาชนะภัยที่รออยู่เบื้องหน้าเจ้าได้ (ตรงส่วนนี้ผมคิดเองว่า น่าจะหมายถึง สามารถประมวลดวงบุญบารมีตัวเองได้ระดับหนึ่งว่า จะผ่านภัยอุปสรรคที่คอยขวางกั้นในเส้นทางนั้นๆได้โดยไม่เพลี่ยงพล้ำระหว่างทางเสียก่อน เช่นจากงูพิษกัดตาย เป็นต้น...) ดังนั้น ในการครั้งนี้ เรายังไม่แนะนำให้เจ้าเลือกเส้นทางที่ 3 ดังว่า...."  (หมายถึงให้สามเณรเลือก 1 หรือ 2 เส้นทางแรกไปก่อน จนกว่าจะมีวิชชาประเมินบารมีตนเองได้เสียก่อน อะไรทำนองนั้นครับ)

 

     จบครับ เป็นปกิณกะ ให้แง่คิดบางประการครับ สา...ธุ