ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

มีบุญมาก แต่เหตุใดจึงตัดรอนวิบากกรรมไม่ได้


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 02:34 AM

จากเรื่องนี้
QUOTE
กรรมที่ทำให้ปวดพระเศียร
ใน อดีตกาล พระโพธิสัตว์เกิดในหมู่บ้านชาวประมงในเกวัฏฏคาม วันหนึ่งพระโพธิสัตว์กับพวกบุรุษชาวประมง ไปยังที่เขาฆ่าปลาเพื่อนำไปจำหน่าย เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาด้วยการทุบหัว เกิดความโสมนัสยินดีในอกุศลกรรมนั้น
ด้วย วิบากแห่งกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในอบายภูมิเป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันด้วยเศษกรรมยังเหลืออยู่ พระองค์บังเกิดในตระกูลศากยราช แม้จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังได้เสวยความเจ็บปวดพระเศียรอย่างรุนแรง ทันทีที่ทราบข่าวว่าพระเจ้าวิฑูรฑภะทำลายล้างเหล่าศากยะถึงแก่ความพินาศไปด้วยกันเกือบทั้งหมด
เวอร์ชั่นเต็ม http://www.dmc.tv/fo...mp;#entry161539


พระพุทธองค์มีบุญมาก เหตุใดจึงตัดรอนวิบากกรรมไม่ได้

หรืออย่างพระอาจารย์ต่างๆ ที่มีญาณทัศนะ รู้ว่าในอดึตตัวเองเคยสร้างกรรมอะไรไว้ และปัจจุบันต้องรับกรรมอะไร เหตุใดท่านจึงไม่ใช้บุญที่มีมาตัดรอนวิบากกรรม

แม้แต่บุคคลที่พวกเรารักและเคารพ เพราะเหตุใดท่านยังต้องปวดขา เหตุใดตัดรอนวิบากกรรมไม่ได้ ทั้งที่ท่านก็มีบุญมาก

จากที่ศึกษา case study มา เราคงพอทราบมาว่า วิธีที่จะแก้วิบากกรรม จากหนักให้เป็นเบานั้น จากเบาให้หาย เราจะต้องเอาบุญเข้าช่วย ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล และภาวนา หรือไม่ก็อุทิศบุญ และขออโหสิกรรมให้กับผู้ที่เคยไปล่วงเกินไว้

ช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ เพราะว่าสงสัยมานานหลายปีแล้วล่ะค่ะ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#2 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 07:43 AM

เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนน่ะครับ บุญบาปชิงช่วงช่วงชิงกันตลอดเวลา

โอกาสที่บาปจะส่งผล แม้ทำบุญมามากมายก็มีตลอดเช่นเดียวกันครับ เช่น

1. ชีวิตเขาเป็นจังหวะที่บุญในอดีตบางอย่างส่งผลอย่างต่อเนื่อง พอบุญนั้นหย่อนกำลังลง
แม้จะทำบุญใหม่มากมาย แต่บุญใหม่ยังไม่ทันเข้ามาเชื่อม ปรากฏว่า บาปบางอย่างที่ทำเพียงเล็ก
น้อยเท่านั้น ได้ช่องส่งผลในจังหวะนั้นพอดี (สรุป คือ ช่วงจังหวะเปลี่ยนบุญบาป ต้องระวังให้ดี)

2. ชีวิตเขาเป็นจังหวะที่บุญในอดีตบางอย่างส่งผลอย่างต่อเนื่อง พอบุญนั้นหย่อนกำลังลง
แล้วจิตใจถูกกิเลสครอบงำ คือ คิดไม่ดีขึ้นมา ก็เป็นตัวเร้าให้ บาปเข้ามาชิงช่วงแทนบุญด้วยเช่นกันครับ

3. ชีวิตเขาสร้างบารมีมหาศาล แต่ลงมาเกิดในช่วงที่มนุษย์มีกิเลสกล้ามาก ก็มีโอกาสที่บาปเล็กๆ น้อยๆ
ก็ชิงช่วงเข้ามาให้ผลแทนบุญได้ครับ พอช่วงที่มนุษย์กิเลสกล้ามาก กระแสบาปโดยรวม(ทั้งโลก)จะแรง
ดังนั้น บุญของเขาบางทีไม่ได้สู้กับบาปของเขาคนเดียว แต่ต้องสู้กับบาปของมนุษย์ทั้งโลกหรือบางทีทั้งจักรวาลน่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#3 Sorewa Watashi shigume

Sorewa Watashi shigume
  • Members
  • 30 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 09:45 AM

อาจจะเป็นเงื่อนไขระหว่างพระกับมาร เหมือนกับเราเล่นหมากรุกหนึ่งตา เราอาจจะต้องยอมเสียเบี้ยเพื่อจะได้กินขุน อะไรประมาณนั้น
มันเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน ตามความคิดของผมเคยได้ยินหลวงพ่อได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องของมารไว้ว่า มารที่ดูน่ากลัวไม่น่ากลัว ส่วนมารที่ดูไม่น่ากลัวน่ากลัว เราเคยได้ยินว่ามารแปลว่าผู้ขัดขวางการทำความดีแล้วจินตนาการไปต่างๆว่ามีหน้าตาน่ากลัวเมื่อเห็นแล้วจะต้องรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ความเป็นจริงแล้วมารก็คือความไม่ดีคืออกุศลาธรรมาคือธรรมฝ่ายอกุศลซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ส่วนฝ่ายกุศลธรรมา ก็คือฝ่ายกุศล ทั้งสองฝ่ายมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เมื่อพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นในโลกในยุคของเรา คือพระสมณโคดมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ก็มีกองทัพมารมาราวีพระองค์จะยึดเอารัตนบังลังค์ของพระองค์พระองค์ก็เอาชนะด้วยบารมีมาแล้วใช่ไหมครับ ซึ่งส่วนใหญ่เราเข้าใจความหมายของมารว่าคือมารที่มาขัดขวางพระองค์ในคืนก่อนตรัสรู้ ซึ่งมารที่มาขัดขวางในคืนนั้นคือ เทวบุตรมาร ยังไม่ใช่มารที่จริง หลวงพ่อเคยบอกว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธิทัตถะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ในช่วงเวลาหลังจากที่พระองค์มีชัยชนะเหนือเทวบุตรมารวัสวัสดึ ก็มีมารที่มีลักษณะน่าเกรงขาม(ไม่แน่ใจว่ามีลักษณะมหาบุรุษ) เข้ามาถามพระองค์ว่าโปรดหรือปราบ
พระองค์ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่หน้าพระองค์คืออะไรก็เลยถามพระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานในกาลก่อนๆทั่วทั้งนิพพานถอดกายก็ได้รับคำตอบว่าโปรด มารได้ตั้งเงื่อนๆไขกับพระพุทธเจ้า เช่น ให้มีอายุ 80 ปี จาก 100 ปี และอื่นๆอีกมากมาย อาการปวดหัวก็อาจจะเป็นหนึ่งในเงื่อนไข การต่อสู้ระหว่างพระกับมารก็เหมือนกับการเล่นหมากรุกหนึ่งตาหลายๆท่านก็เคยเล่น มีสองฝ่ายคือฝ่ายขาวและดำในการเล่นหมากรุกนั้นเกมส์จะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีเงื่อนไขเราจะเล่นชนะก็ต่อเมื่อเรารู้เขาและการวางแผนในการวางแผนจะต้องมีเงื่อนไขเช่นยอมเสียเบี้ยเพื่อที่จะได้กินขุน หรือการที่เอาปลาเล็กไปตกปลาใหญ่ฉันได้ก็ฉันนั้นพระพุทธเจ้ายอมปวดหัวก็มีเหตุผลบางอย่างที่พระองค์รู้แต่ปุถุชนทั่วไปไม่รู้ อย่างที่พระองค์เคยบอกว่าความรู้ที่พระองค์รู้อุปมาเหมือนใบไม้ในป่าแต่ที่พระองค์เอามาสอนอุปมาเหมือนใบไม้ในกำมือนั่นเอง

ไฟล์แนบ



#4 *sky noi*

*sky noi*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 03:39 PM

บางทีจะซื้อของบางอย่างเราก็คิดแล้วคิดอีกนะ
ว่ามีประโยชน์พอรึเปล่า ซื้อแล้วจะคุ้มมั้ย
เงินไม่ใช้จะหามาได้ง่ายๆ
บางอย่างไม่จำเป็น พอทนได้ ก็ต้องตัดใจ
เก็บไว้ทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่าดีกว่า
บุญก็จะคล้ายๆกันด้วยไหม๊หนอ.. rolleyes.gif

#5 Sorewa Watashi shigume

Sorewa Watashi shigume
  • Members
  • 30 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 October 2009 - 09:20 PM

บุญก็น่าจะคล้ายๆกันนั่นแหละครับ nerd_smile.gif

#6 น้ำใส

น้ำใส
  • Members
  • 778 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 03:37 PM

ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่เหมือนค่ะ บุญไม่ใช่สิ่งของ

เมื่อมีบุญผ่านเข้ามา หากเป็นบุญของหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่แล้ว

เป็นสิ่งที่ต้อง ตัดสินใจทำทันที ถึงแม้ว่าเราจะมีปัจจัยน้อยและ

หามาได้ด้วยความยากลำบากก็ตาม เพราะบุญทุกบุญที่ดำริโดย

หลวงพ่อแล้ว คุ้มค่าที่จะทำค่ะ.... แต่หากเป็นบุญสงเคราะห์โลก

หรือที่อยู่นอกบุญญเขต ก็ต้องคิดให้มากหน่อยว่า ทำแล้วคุ้มค่า

หรือไม่ อ้อ...หากไม่มีปัจจัย ก็ใช้แรงกายช่วยงานวัดก็ได้บุญ

เหมือนกัน ขอกราบอนุโมทนาบุญค่ะ smile.gif

เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม

น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม


#7 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 14 October 2009 - 12:08 AM

ดิฉันเข้าใจ นรอ. sky noi ค่ะ ว่าหมายถึง การใช้บุญอย่างคุ้มค่า ในระหว่างการหาคำตอบของคำถามนี้...บางครั้งก็คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันค่ะ

แต่เหตุผลที่ว่า
QUOTE
ชีวิตเขาสร้างบารมีมหาศาล แต่ลงมาเกิดในช่วงที่มนุษย์มีกิเลสกล้ามาก ก็มีโอกาสที่บาปเล็กๆ น้อยๆ
ก็ชิงช่วงเข้ามาให้ผลแทนบุญได้ครับ พอช่วงที่มนุษย์กิเลสกล้ามาก กระแสบาปโดยรวม(ทั้งโลก)จะแรง
ดังนั้น บุญของเขาบางทีไม่ได้สู้กับบาปของเขาคนเดียว แต่ต้องสู้กับบาปของมนุษย์ทั้งโลกหรือบางทีทั้งจักรวาลน่ะครับ

ก็สมเหตุผลดีค่ะ

ส่วนการสร้างบุญกับหลวงพ่อ ก็คงต้องยืมคำพูดของหัวหน้าชั้นล่ะค่ะที่ว่า "ไม่ต้องแหลง กันแล้วล่ะ"

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#8 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 14 October 2009 - 11:44 AM

ถูกต้องแล้วครับ พุทธันดรที่แล้ว ที่หมู่คณะของเราลงมานั้น อายุมนุษย์ยืนเป็นหมื่นๆไป มนุษย์มีกิเลสเบาบางมาก ยกเว้นการศึกสงคราม(ที่ไม่ควรเกิดขึ้น)แล้ว เรื่องอื่นๆ ล้วนเป็นไปได้อย่างสะดวกไม่ยากเย็น เช่น เมื่อพระสงฆ์ของหมู่คณะต้องการจะสร้างวัดในแคว้นต่างๆ พระราชาของแคว้นนั้นๆ ก็มีจิตศรัทธา สร้างวัดให้เสร็จสรรพไปเลย

ไม่ต้องลำบาก รวบรวมแรงกายแรงใจของหมู่ชนจำนวนมากๆ เพื่อสร้างวัด สร้างเจดีย์ ดังเช่นในสมัยปัจจุบันน่ะครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#9 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 15 October 2009 - 04:01 PM

เพิ่มแหล่งศึกษาเพื่อค้นหาคำตอบ (ในระดับจินตมยปัญญา)
ต่อจากเพื่อนกัลยาณมิตร ที่ตอบไว้ดีแล้วนะครับ

เคยฟังเสียงพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณ พระมงคลเทพมุนี
ในกัณฑ์ที่๖๙ ทานานุโมทนากถา
ทานวัตถุ ฉากหลัง
วันอังคารที่ ๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๙

ลองศึกษาดูนะครับ อาจมีคำตอบสุดท้าย ก็ได้ครับ

http://www.watpaknam...t.php?op=dsn_67

ตัวอย่าง

QUOTE
ฉากหลังนี้คือใคร?

อยากจะรู้ฉากหลัง นี่ติดตัวนี่ ให้เราเป็นอยู่นี่แหละ เราเป็นอยู่ก็ได้ ไม่เป็นอยู่ตายไปเสียก็ได้ฉากหลังนี่
ถ้าไม่มีล่ะก็ มันก็เป็นอยู่ได้ซี่ มันจะตายได้ยังไง มีมีฉากหลัง
แต่ว่าผู้ปฏิบัติศาสนาทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
ไม่ควรจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ตัวของตัวเสีย ควรจะรู้ชี้ตัวของตัว
รู้ชี้อย่างไรว่าตัวของตัวมีฉากหลัง

ให้ตัวเป็นอยู่ได้
ให้ตัวสูงก็ได้
ให้ตัวต่ำก็ได้
ให้ตัวอดก็ได้
ให้ตัวจนก็ได้
ให้ตัวมีก็ได้
อันนี้ฉากหลังมีนะ

แต่ว่าใครล่ะเป็นฉากหลังนั่น
นี่ฉากหลังเป็นตัวสำคัญ

ให้มนุษย์เป็นอยู่ หญิงก็ดีชายก็ดี ให้เป็นคนชั้นสูงก็ได้
ให้เป็นคนประณีตก็ได้
ให้เป็นคนที่ไหว้ที่เคารพที่บูชาที่สักการะเขาทั้งหมดก็ได้
ให้เขาติเตียนว่ากล่าวนินทาๆ ด่าแช่งก็ได้

ฉากหลังนี้ล่ะเป็นตัวสำคัญนัก
ถ้ารู้จักฉากหลังล่ะก็ ไปให้ถึง ไปเป็นกันเองกับฉากหลังเสีย

ถ้าว่าทำได้อย่างนี้ ตัวเองจะเบาใจเพียงแค่ไหน
เป็นมนุษย์คนหนึ่งๆ ถ้าไม่รู้จักฉากหลัง เข้าไม่ถึงฉากหลังแล้วล่ะก็
ตัวเองจะหนักใจแค่ไหน จะไม่สะดวกในใจแค่ไหน

เพราะความเป็นอยู่ก็ไม่ใช่ของตัว
ความดีความชั่วที่ตัวกระทำ กระทำเหล่านี้ไม่ใช่ของตัวทั้งนั้น
ทำชั่วเขาจะให้ความดีก็ได้
ทำดีเขาจะให้ความชั่วก็ได้

เพราะฉากหลังไม่เป็นของตัวนี่
วางใจไม่ได้ เมื่อวางใจไม่ได้ ก็ต้องลำบากใจอยู่ในขณะนี้

ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#10 *sky noi*

*sky noi*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 15 October 2009 - 07:00 PM

สาธุ

#11 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 October 2009 - 11:55 PM

QUOTE
พระพุทธองค์มีบุญมาก เหตุใดจึงตัดรอนวิบากกรรมไม่ได้
- ผู้อยู่หลังฉากนี้เขามีอำนาจปกครองภพสามอยู่
- จึงส่งอาวุธ คือมาร 5 ฝูง(กทมขอ)มาบังคับบัญชาสรรพสัตว์
- แม้ผู้บรรลุอรหัตตผลจะประหารกิเลสอาสวะให้สิ้นก็ตาม ย่อมหมายเอาถึงการหลุดพ้นจากฝูงกิเลสมาร
- แต่ขันธุ์5 ที่ดำรงอยู่นั้น ย่อมอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์ ต้องเผชิญอาวุธ 4ฝูงที่เหลือ...
- ดังเช่น เทวบุตรมาร ยังสามารถสอดวิชาเข้ากายรูปพรหมตนหนึ่ง เพื่อขัดขวางพระองค์ขณะแสดงธรรมโปรดท้าวผกาพรหม ณ พรหมโลก
- ขันธมาร...ย่อมเสื่อมตามกาล
- อภิสังขารมาร...แม้เป็นเศษกรรม ยังสามารถส่งผลได้
- มัจจุมาร...แม้ไม่ใช่ฐานะที่จะปลงพระชนม์พระองค์ได้ แต่จะมีผลตามข้อตกลง เมื่อพระองค์ปลงสังขาร

จึงนำมาสู่อุทาหรณ์ เพื่อความไม่ประมาทว่า บาปแม้จะเพียงนิดเดียวก็มีผลมากครับ dont_tell_anyone_smile.gif
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#12 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 October 2009 - 08:05 PM

หรือกล่าวตามอรรถกถา...กรรม4...ซึ่งใช้ขยายอรรถในเรื่องวิบากหรือผลของกรรม ดังนี้

ลำดับการให้ผลของกรรมมี 4อย่างคือ

1. ครุกกรรม คือ กรรมหนักมาก สามารถให้ผลแก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมในช่าติหน้า กรรมอื่นๆไม่สามารถกางกั้นการให้ผลของครุกกรรมนี้ได้ ประดุจก้อนหิน เมื่อโยนลงน้ำ ย่อมเที่ยงแท้ต่อการจมลงใต้น้ำฉันใด ครุกกรรมย่อมเที่ยงแท้ต่อการส่งผลให้ปฏิสนธิในภพชาติต่อไปได้ฉันนั้น
ครุกกรรมแบ่งออกเป็น 2ฝ่าย คือ
- ครุกกรรมฝ่ายอกุศลได้แก่ ฝ่ายดำ ฝ่ายบาป ย่อมทำให้ปฏิสนธิในทุคติภูมิในชาติต่อไปอย่างแน่นอน คือไปเกิดในอบายภูมิ 4 ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดียรัจฉาน ภูมิใดภูมิหนึ่ง
- ครุกกรรมฝ่ายกุศลได้แก่ ฝ่ายขาว ฝ่ายบุญ ย่อมให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิในชาติต่อไปได้อย่างแน่นอน

2. อาสันนกรรม คือ การกระทำในเวลาที่ใกล้จะจุติ(ตาย) รวมถึงการระลึกถึงสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ในเวลาที่ใกล้จะตาย
อาสันนกรรมแบ่งออกเป็น 2ฝ่าย คือ
- อาสันนกรรมฝ่ายอกุศล คือการกระทำที่ไม่ดี หรือระลึกถึงความชั่วความไม่ดีในเวลาใกล้ตาย
- อาสันนกรรมฝ่ายกุศล คือการกระทำที่ดี หรือระลึกถึงความดีที่เคยทำไว้ในเวลาใกล้ตาย

3. อาจิณณกรรม(พหุลกรรม) คือการกระทำสิ่งนั้นๆอยู่เสมอๆเป็นอาจิณ สั่งสมสิ่งที่ดีและไม่ดีไว้ในสันดานของตนมากๆ หรือแม้แต่ทำกุศลหรืออกุศลไว้เพียงครั้งเดียว แต่ระลึกถึงบ่อยๆเสมอๆ ที่เป็นกุศลก็สร้างความโสมนัสยินดีให้เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึง ที่เป็นอกุศลก็สร้างความเดือดร้อนใจให้เกิดขึ้น อาจิณณกรรมนี้จัดว่าเป็นกรรมที่มีกำลัง เพราะทำซ้ำบ่อยๆ ระลึกถึงบ่อยๆ ย่อมสามารถแซงคิวกรรมอื่นที่อ่อนกำลังกว่าตน แล้วอาจิณณกรรมนี้ก็ทำหน้าที่ส่งผลปฏิสนธิได้

4. กตัตตากรรม คือ กรรมที่สักว่ากระทำไว้ หมายเอากุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่สัตว์บุคคลได้กระทำมาแล้วในชาติก่อนๆอย่างหนึ่ง(หมายถึงเศษกรรมที่หลงเหลือจากภพอื่นๆ) และหมายเอากุศลกรรมและอกุศลกรรม ที่สัตว์บุคคลพากันกระทำในชาตินี้ ที่ไม่เข้าถึงความเป็น ครุกกรรม อาสันนกรรม และอาจิณณกรรม เป็นกรรมที่กระทำโดยธรรมดา ผู้กระทำไม่มีเจตนาที่หนักแน่น อีกทั้งสิ่งที่กระทำก็มิใช่เนื้อหาสำคัญที่จะทำ

QUOTE
ดังนั้น กตัตตากรรม คือ กรรมที่นอกเหนือไปจากครุกกรรม อาสันนกรรม อาจิณณกรรม ซึ่งบุคคลทำไปด้วยอำนาจความไม่รู้ตัวหรือเผลอ ย่อมจะมีวิบาก(ผลกรรม)เกิดขึ้น เหมือนไม้แห้งถูกคนขว้างไป ย่อมลอยเปะปะไปตกที่ใดที่หนึ่งได้ฉันใด กตัตตากรรมก็ฉันนั้น ถ้ากรรม 3 อย่างนั้นไม่มี กตัตตากรรมก็ให้วิบากในภพหน้า ภพใดภพหนึ่ง ถ้าครุกกรรมมี ครุกกรรมย่อมให้ผลปฏิสนธิก่อน ถ้าครุกกรรมไม่มี อาสันนกรรมก็จะให้ผล ถ้าอาสันนกรรมไม่มี อาจิณณกรรมก็จะให้ผล ถ้าอาจิณณกรรมไม่มีอีก กตัตตากรรมจึงจะให้ผลปฏิสนธิ


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#13 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 24 October 2009 - 12:03 AM

สาธุ สาธุค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับท่านทั้งหลาย คำตอบและความคิดเห็นดังกล่าวต่างๆ ทำให้ความคิดอ่านกว้างขวางขึ้น และช่วยดับเครื่องกั้นความดี คือความงุนงงสงสัยในใจให้คลายลงไป

ดิฉันได้แต่หวังว่า....สักวันหนึ่ง...ข้างหน้า คงได้ความรู้ในเรื่องนี้ ในระดับภาวนามยปัญญา

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป