การทอดกฐิน คือ การนำผ้ากฐินไปวางไว้ต่อหน้าพระสงฆ์อย่างต่ำห้ารูป แล้วให้พระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งที่ได้รับมอบหมาย จากคณะสงฆ์ทั้งนั้นเป็นเอกฉันท์ให้เป็นผู้รับกฐินนั้น คุณสมบัติของพระสงฆ์ที่มีสิทธิรับกฐิน คือพระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดนั้นครบ 3 เดือน การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เรียกได้ว่าเป็น กาลทาน คือการถวายก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน ถือโอกาสทำได้ยาก ....
ด้วยความยากนี่เอง ทำให้ มีมหานิสงส์อันยิ่งใหญ่สุดประมาณ ดังเรื่องราวในสมัยพุทธกาลของพระกัสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชายผู้หนึ่งซึ่งยากจน ไม่มีแม้แต่ชื่อ ได้ไปอาศัยเศรษฐี ท่านหนึ่ง ทำงานแลกอาหารและน้ำ ด้วยการตัดหญ้า โดยท่านเศรษฐี ตั้งชื่อให้ว่านายติณบาล หลังออกพรรษา ท่านเศรษฐีต้องการทำบุญกฐิน จึงแจ้งข่าวให้บริวารทราบ เพื่อให้ได้ร่วมบุญ นายติณบาล เกิดจิตศรัทธา อยากทำบุญกฐินด้วย แต่ ตัวเอง ไม่มีทรัพย์สิน ใดๆ เลย นายติณบาลจึงตัดใจ สละเสื้อ ผ้า ชุดเดียวที่มีอยู่ และตัวเองนำใบไม้มาเย็บเป็นผ้านุ่งกันอุจาด นายติณบาลได้ เอาเสื้อ ผ้า ไปขายที่ ตลาด ท่ามกลาง เสียงหัวเราะเยาะของชาวบ้าน จนได้เงินมา เพียง 5สก ซึ่งเงินจำนวนนี้ ซื้อ ได้เพียงแค่ เข็มกับด้าย เท่านั้น นายติณบาล จึงนำเข็มกับด้าย มาเป็นบริวารกฐินแก่ ท่านเศรษฐีด้วยใจที่ร่าเริงบิกบาน ท่านเศรษฐีเห็นดังนั้นก็เกิดความปีติ และได้อนุโมทนากับนายติณบาล ทำให้ท้าวสักกเทวราชบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทนไม่ได้ ว่ามีคนหัวใจทองคำอย่างนี้ด้วยหรือ ได้มาปรากฏกายที่บ้านของนายติณบาล และให้ขอพร 4 ประการ
นายติณบาลมิได้ขอพรให้ตัวเองร่ำรวยแต่อย่างใด แต่กลับขอว่า ขออย่าให้เขาได้ข่มเหงสตรีทั้งด้วยกาย วาจา ใจ,ขออย่าได้มีความตระหนี่ในการทำทาน, ขออย่าได้มีคนพาลเป็นมิตร, ขอให้ได้ภรรยาทีดีมีศีลมีธรรม ท้าวสักกเทวราช จึงอนุโมทนาและให้พรทั้ง 4 ประการจงสำเร็จ ข่าวการทำทานครั้งนี้ได้เลื่องลือ จนพระราชาทราบจึงเรียกตัวนายติลบาลมาตรัสถาม และขอแบ่งส่วนบุญ นายติณบาลก็แบ่งส่วนบุญให้ พระราชาจึงพระราชทานทรัพย์ให้ ตั้งแต่นั้นมา นายติณบาลจึงกลายเป็นเศรษฐี
ด้วยผลบุญในปัจจุบันนั่นเอง เมื่อใกล้จะละโลก เขาได้ระลึกถึงบุญที่ได้ร่วมทอดกฐิน คตินิมิตก็ใสสว่าง เมื่อละโลกแล้ว ได้ไปเกิดบนวิมานชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติอันตระการ จนถึงภพชาติสุดท้าย ได้มาบังเกิดในสมัยของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดเป็นชาย ออกบวชและได้บรรลุอรหัตตผลในที่สุด ด้วยอำนาจบุญที่ทำมาดีแล้ว
การทอดกฐินเป็นกาลทาน
#1 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 16 September 2009 - 04:14 PM
#2
โพสต์เมื่อ 17 September 2009 - 03:54 PM
#3
โพสต์เมื่อ 18 September 2009 - 07:33 PM
สาธุๆๆค่ะ
#4 *innerspot*
โพสต์เมื่อ 20 September 2009 - 03:14 PM
คลิกที่นี่เพื่ิอรับทราบรายละเอียดกฐิน
#6
โพสต์เมื่อ 29 September 2009 - 11:14 PM
#7
โพสต์เมื่อ 02 October 2009 - 04:08 PM
#8
โพสต์เมื่อ 14 October 2009 - 09:28 AM
#9 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 18 October 2009 - 04:19 PM
กฐิน หลวงนี้ จัดเครื่องพระราชทานด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และ บางครั้งมีการจัดพิธีแห่เครื่องกฐินพระราชทานอย่างใหญ่ โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค แล้วแต่พระราชประสงค์ (ทุกวันนี้ การเสด็จพระราชดำเนินทรงถวายผ้าพระกฐินอย่างพิธีใหญ่นั้น คงเหลือเพียงโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคเท่านั้น)
ในปัจจุบัน กฐินหลวงมีเพียง 16 วัดเท่านั้น เช่น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศวิหาร วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เป็นต้น
ส่วน กฐินต้น เป็นผ้ากระกฐินพระราชทาน ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปพระราชทานยังวัดราษฏร์ เป็นการส่วนพระองค์
สำหรับ กฐินพระราชทาน เป็นผ้าพระกฐินพระราชทาน ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานผ้าพระกฐินและเครื่องกฐินแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ส่วนราชการ หน่วยงาน สมาคม หรือเอกชน ให้ไปทอดยังพระรามหลวงต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร (ปัจจุบันกรมการศาสนารับผิดชอบ จัดผ้าพระกฐิน และ เครื่องกฐินถวาย)
นักเรียนอนุบาล Nida49
นานาสาระและศัพท์น่ารู้สำหรับกฐิน
ประเพณีการทอดกฐิน ในแต่ละปีกำหนดให้มีการจัดทอดกฐินขึ้นภายใน ๑ เดือน หลังประเพณีออกพรรษา โดยวัดที่จะสามารถรับกฐินได้ ต้องมีพระภิกษุจำพรรษาโดยไม่ขาดพรรษาเลย ไม่ต่ำกว่า ๕ รูป และแต่ละวัดสามารถรับกฐินได้ปีละ ๑ ครั้ง
การทอดกฐิน เป็นกาลทาน ตามพระวินัยกำหนดกาลไว้ คือ ตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดได้ในระหว่างระยะเวลานี้ จะทอดก่อนหรือทอดหลังกำหนดนี้ ก็ไม่เป็นการทอดกฐิน
กฐินแปลว่าอะไร?
คำว่า กฐิน แปลว่า ไม้สะดึง คือกรอบไม้ชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง สะดวกแก่การเย็บ ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึงเสียก่อนแล้วจึงเย็บเพราะ ช่างยังไม่มี ความชำนาญเหมื่อนสมัยปัจจุบันนี้ และเครื่องมือในการเย็บก็ยังไม่เพียงพอเหมือนจักรเย็บผ้า ในปัจจุบัน การทำจีวรในสมัยโบราณจะเป็นผ้ากฐินหรือแม้แต่จีวรอันมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเอง ก็จัดเป็นงานเอิกเกริกทีเดียว เช่นตำนานกล่าวไว้ว่า การเย็บจีวรนั้น พระเถรานุเถระต่างมาช่วยกัน เป็นต้นว่า พระสารีบุตรพระมหาโมคคัลลานะพระมหากัสสปะแม้สมเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมา ช่วย ภิกษุสามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเย็บจีวร อุบาสกอุบาสิกาก็จัดหาน้ำดื่มเป็นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธะเป็นประธาน โดยนัยนี้ การเย็บจีวรแม้โดยธรรมดา ก็เป็นการต้องช่วยกันทำหลายผู้หลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบัน ซึ่งมีจีวรสำเร็จรูปแล้ว)
ผู้ประสงค์จะทอดกฐินจะทำอย่างไร
พุทธ ศาสนิกชนทั่วไป ย่อมถือกันว่า การทำบุญทอดกฐินเป็นกุศลแรง เพราะเป็นกาลทาน ทำได้เพียงปีละ 1 ครั้งและต้องทำในกำหนดเวลาที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ดังนั้นถ้ามีความเลื่อมใสใคร่จะทอดกฐินบ้างแล้ว พึ่งปฏิบัติดังต่อไปนี้
จอง กฐิน เมื่อจะไปจองกฐิน ณ วัดใด พอเข้าพรรษาแล้ว พึงไปมนัสการสมภารเจ้าอาวาสวัดนั้น กราบเรียนแก่ท่านว่าตนมีความประสงค์จะขอทอดกฐิน แล้วเขียนหนังสือปิดประกาศไว้ ณ วัดนั้น เพื่อให้รู้ทั่ว ๆ กัน การที่ต้องไปจองก่อนแต่เนิ่น ๆ ก็เพื่อให้ได้ทอดวัดที่ตนต้องการ หากมิเช่นนั้นอาจมีผู้อื่นไปจองก่อน นี้กล่าวสำหรับวัดราษฎร์ ซึ่งราษฎรมีสิทธิจองได้ทุกวัด แต่ถ้าวัดนั้นเป็นวัดหลวง อันมีธรรมเนียมว่าต้องได้รับกฐินหลวงแล้ว ทายกนั้น ครั้นกราบเรียนเจ้าอาวาสท่านแล้ว ต้องทำหนังสือยื่นต่อกองสัมฆการีกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ขอเป็นกฐินพระราชทาน ครั้นคำอนุญาตตกไปถึงแล้ว จึงจะจองได้
เตรียมการ ครั้นจองกฐินเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกพรรษาแล้ว จะทอดกฐินในวันใด ก็กำหนดให้แน่นอน แล้วกราบเรียนให้เจ้าอาวาสวัดท่านทราบวันกำหนดนั้น ถ้าเป็นอย่างชนบท สมภารเจ้าวัด ก็บอกติดต่อกับชาวบ้านว่าวันนั้นว่านี้เป็นวันทอดกฐิน ให้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดหาอาหารไว้เลี้ยงพระ และเลี้ยงผู้มาในการทอดกฐิน
ครั้น กำหนดวันทอดกฐินแล้ว ก็เตรียมจัดหาเครื่องผ้ากฐิน คือไตรจีวร พร้อมทั้งเครื่องบริขารอื่น ๆ ตามแต่มีศรัทธามากน้อย (ถ้าจัดเต็มที่มักมี 3 ไตร คือ องค์ครอง 1 ไตร คู่สวดองค์ละ 1 ไตร)
อนึ่ง ถ้าตั้งองค์กฐินในวัดที่จะทอดนั้น เช่น ในชนบทตอนเย็น ก็แห่งองค์พระกฐินไปตั้งที่วัด กลางคืนมีการฉลองรุ่งขึ้น เลี้ยงพระเช้าแล้ว ทอดกฐิน ถวายภัตตาหารเพล
การถวายผ้ากฐิน การถวายผ้ากฐินนั้น คือ เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว เจ้าภาพ อุ้มผ้ากฐินนั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน ตั้งนะโม 3 จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน 3 จบ ถ้าเป็นกฐินสามัคคีก็มักเอาด้วยสายสิญจน์โยงผ้ากฐิน เมื่อจับได้ทั่วถึงกัน แล้วหัวหน้านำว่าคำถวาย ครั้นจบแล้ว พระสงฆ์รับว่า สาธุ เจ้าภาพก็ประเคนผ้าไตรกฐินแก่ภิกษุผู้เถระ ครั้นแล้วประเคนเครื่องบริขารอื่น ๆ เสร็จแล้ว พระสงฆ์ก็ทำพิธีมอบผ้าให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระเถระ มีจีวรเก่า รู้ธรรมวินัย ครั้นเสร็จแล้ว พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำรับพร ก็เป็นอันเสร็จพิธีการทอดกฐินเพียงนี้
พิธีกรานกฐิน
พิธิกรานกฐินเป็นพิธีฝ่ายภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะคือภิกษุผู้ได้รับมอบผ้ากฐินนั้น นำผ้ากฐินไปทำ เป็นไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่ง เย็บ ย้อม แห้ง เรียบร้อยดีแล้ว เคาะระฆัง ประชุมกันในโรงพระอุโบสถ ภิกษุผู้รับผ้ากฐิน ถอนผ้าเก่าอธิษฐานผ้าใหม่ที่ตนได้รับนั้นเข้าชุดเป็นไตรจีวร เสร็จแล้ว ภิกษุรูปหนึ่ง ขึ้นสู่ธรรมาสน์แสดงพระธรรมเทศนา กล่าวคือเรื่องประวัติกฐินและอานิสงส์ครั้งแล้วภิกษุผู้รับผ้ากฐิน นั่งคุกเข่าตั้งนะโม 3 จบ แล้วเปล่งวาจาในท่ามกลางชุมนุมนั้น ตามลักษณะผ้าที่กรานดังนี้
ถ้าเป็นผ้าสังฆาฏิ เปล่งวาจากรานกฐินว่า "อิมายสงฺฆาฏิยา กฐินํ อตฺถรามิ" แปลว่า ข้าพเจ้ากรานกฐินด้วยผ้าสัมฆาฎินี้ (ในเวลาว่านั้นไม่ต้องว่าคำแปลนี้) 3 จบ
ถ้าเป็นผ้าอุตตราสงค์เปล่งวาจากรานกฐินว่า "อิมินาอุตฺตราสงฺเคน กฐินํ อตฺถรามิ" แปลว่าจ้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยผ้าอุตตราสงค์นี้ 3 จบ
ถ้า เป็นผ้าอันตรวาสก (สบง) เปล่งวาจากรานกฐินว่า "อิมินา อนฺตรวาสเกน กฐินํ อตฺถรามิ" แปลว่าข้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยผ้าอันครวาสกนี้ 3 จบ
ลำดับ นั้น สงฆ์นั่งคุกเข่าพร้อมกันแล้วกรานพระ 3 หนเสร็จแล้ว ตั้งนโมพร้อมกัน 3 จบ แล้วท่านผู้ได้รับผ้ากฐินหันหน้ามายังกลุ่มภิกษุสงษ์ กล่าวคำอนุโมทนาประกาศดังนี้
"อตฺถตํ อาวุโส สงฺฆสฺส กฐินํ ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทามิ" 3 จบ (แปลว่า อาวุโส! กฐินสงฆ์กราบแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม ข้าพเจ้าขออนุโมทนา)
คำว่า อาวุโส นั้น ถ้ามีภิกษุอื่นซึ่งมีพรรษามากกว่าภิกษุผู้ครองกฐินแม้เพียงรูปเดียวก็ตาม ให้เปลี่ยนเป็น ภนฺเต
ต่อ นั้น สงฆ์ทั้งปวงรับว่า สาธุ พร้อมกันแล้วให้ภิกษุทั้งปวง อนุโมทนาเรียงองค์กันไปทีละรูป ๆ ว่า "อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส กฐินฺ ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทามิ" 3 จบสงฆ์ทั้งปวงรับว่า สาธุ ทำดังนี้ จนหมดภิกษุผู้ประชุมอนุโมทนา
(ถ้าผู้อนุโมทนา มีพรรษษแก่กว่าสงฆ์ทั่งปวง ให้เปลี่ยนคำว่า ภนฺเต เป็น อาวุโส)
ในการว่าคำอนุโมทนานี้พึงนั่งคุกเข่าประนมมือเสร้จแล้วจึงนั่งพับเพียงลง
เมื่อ เสร็จแล้ว ให้นั่งพร้อมกันคุกเข่าประนมมือ หันหน้าตรงต่อพระพุทธปฏิมา ว่าพร้อมกันอีก 3 จบ แต่ให้เปลี่ยนคำว่า อนุโมทามิ เป็น อนุโมทาม เป็นอันเสร็จไปชั้นหนึ่ง
ต่อแต่นั้นกราบพระ 3 หน นั่งพับเพียบ สวดปาฐะและคาถาเนื่องด้วยกรานกฐิน จบแล้วก็เป็นเสร็จพิธีการกรานกฐินอานิสงส์กฐินสำหรับพระ
ในพระวินัย ระบุอานิสงส์กฐินไว้ 5 คือ
1. เข้าบ้านได้โดยมิต้องบอกลาภิกษุด้วยกัน
2. เอาไตรจีวรไปโดยไม่ครบสำรับได้
3. ฉันอาหารเป็นคณะโภชน์ได้
4. เก็บจีวรไว้ได้ตามปรารถนา
5. ลาภที่เกิดขึ้นเป็นของเธอผู้จำพรรษาในวัดนั้น
ประวัติของกฐิน
ประวัติ ของกฐินนั้นมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐา ประมาณ ๓๐ รูป มีความประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทะเจ้า ณ เมืองสาวัตถี จึงพากันเดินทางจากเมืองปาฐาไปสาวัตถี แต่พอไปถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ในระยะทางอีก ๖ โยชน์จะถึงสาวัตถี ก็เผอิญถึงวันเข้าพรรษาภิกษุเหล่านั้นจะเดินทางต่อไปไม่ได้ จึงจำพรรษาอยู่ในเมืองสาเกต ในระหว่างจำพรรษามีความร้อนรนอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยเร็ว พอออกพรรษาก็ออกเดินทางจากเมืองสาเกต ในเวลานั้นฝนยังตกมากอยู่ ทางเดินก็เป็นโคลนตมเปรอะเปื้อน เมื่อมาถึงเมืองสาวัตถีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงทราบความลำบากของพระภิกษุเหล่านั้น จึงทรงอนุญาตให้พระภิกษุทำพิธีกรานกฐิน ในระยะเวลาภายหลังวันออกพรรษาแล้วไป ๑ เดือน ภิกษุที่ได้ทำพิธีกรานกฐินแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ คือความยกเว้นในการผิดวินัย ๕ ประการ เป็นเวลา ๔ เดือน (หมดเขตในวันเพ็ญเดือนสี่) อานิสงส์หรือความยกเว้นทั้ง ๕ ประการนั้น คือ
๑. เข้าบ้านได้โดยไม่ต้องลาภิกษุด้วยกัน
๒. เดินทางโดยไม่ต้องเอาไตรจีวรไปด้วย
๓. ฉันอาหารโดยล้อมวงกันได้
๔. เก็บอาหารที่ยังไม่ต้องการใช้ ไว้ได้
๕. ลาภที่เกิดขึ้น ให้เป็นของภิกษุผู้จำพรรษาในวัดนั้น ซึ่งได้กรานกฐินแล้ว
ที่ กล่าวนี้เป็นประวัติของกฐิน ซึ่งเก็บความจากพระบาลี แต่ข้อความที่กล่าวข้างต้นนี้ยังเข้าใจยาก และไม่แลเห็นว่าเหตุผลเนื่องถึงกันอย่างไร ฉะนั้นจึงต้องอธิบายขยายความสักเล็กน้อย
ตามหลักวินัย ภิกษุจะเข้าบ้านต้องบอกลากัน จะเดินทางต้องเอาไตรจีวรไปให้ครบชุดเวลาฉันอาหารต้องนั่งเรียงกัน จะล้อมวงกันไม่ได้ จึงที่เหลือใช้เก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วัน ลาภที่เกิดขึ้นต้องให้แก่ภิกษุผู้มีอาวุโส คือที่บวชนานที่สุด ข้อบังคับเหล่านี้ ย่อมเป็นความลำบากแก่ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก เช่นการเข้าบ้านต้องบอกลากันเสมอไปนั้น ถ้าเผอิญอยู่คนเดียว ไม่มีใครจะรับลา ก็เข้าบ้านไม่ได้ การเดินทางต้องเอาไตรจีวรไปให้ครบ หมายความว่าต้องเอาผ้านุ่งห่มไปให้ครบชุด คือ สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) สังฆาฏิ (ผ้าซ้อนผ้าห่ม) ในครั้งก่อน ภิกษุไม่มีโอกาสได้ผ้าบางเนื้อละเอียดอย่างสมัยนี้เสมอไป ถ้าไปได้ผ้าเปลือกไม้หรือผ้าอะไรชนิดหนา การที่จะนำเอาไปด้วยนั้นไม่เป็นการง่าย ภิกษุ ๓๐ รูปที่เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็ได้รับความลำบากในเรื่องนี้มาแล้ว การห้ามฉันอาหารล้อมวง และบังคับให้นั่งเรียงกันฉันอาหารนั้น ถ้ามีอาหารน้อยก็ทำความลำบาก เราทราบอยู่แล้วว่าการรับประทานแยกกันย่อมปลีกอาหารมากกว่าการรับประทานรวม กัน เรื่องนี้ภิกษุ ๓๐ รูป ที่เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ก็คงได้รับประสบความลำบากเรื่องนี้มา ในระหว่างทางเหมือนกัน เรื่องจีวรที่ไม่ต้องการใช้นั้น ในชั้นเดิมเป็นความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า ที่จะไม่ให้พระภิกษุเก็บสะสมทรัพย์สมบัติ ถ้ามีอะไรเหลือใช้ จะเก็บไว้ไม่ได้ ต้องให้คนอื่นเสีย โดยเฉพาะเรื่องจีวรนี้มีบัญญัติว่า ถ้ามีจีวรเหลือใช้เก็บไว้ได้เพียง ๑๐ วัน พัน ๑๐ วันไปแล้วต้องสละให้คนอื่นไป ถ้าจะไม่สละต้องทำพิธี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเรียกว่า “วิกัป” คือไปทำความตกลงกับภิกษุอีกรูปหนึ่งให้เป็นเจ้าของจีวรด้วยกัน แล้วมอบให้ตนเก็บไว้ อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า “อธิษฐาน” คือถ้าจีวรที่เหลือใช้นั้นใหม่กว่าของที่ใช้อยู่ ก็เอามาใช้เสีย แล้วสละของเก่าให้คนอื่นไป การห้ามกวดขันไม่ให้เก็บผ้าจีวรไว้เกินต้องการเช่นนี้ ในบางครั้งก็เกิดความลำบากเช่น ถูกขโมยลักจีวร ซึ่งเคยถูกกันมามากในครั้งพุทธกาล หรือมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้จีวรนั้นใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีสำรองเสียเลย ในเรื่องลาภที่เกิดขึ้นในวัดนั้น มีข้อบังคับกวดขันว่าให้ได้แก่ภิกษุที่มีพรรษายุกาลมากที่สุด คือที่บวชก่อนคนอื่น ในเรื่องนี้ทำความเดือดร้อนหลายครั้ง เช่นภิกษุอยู่ในวัดเดียวกัน อดอยากมาด้วยกัน มีผู้เอาของมาถวาย และในวันที่มีผู้เอาของมาถวายนั้น เผอิญมีภิกษุจรมาพักอยู่ในวัดนั้นด้วย และภิกษุจรมีพรรษายุกาลมากกว่าภิกษุที่อยู่ในวัด ลาภนั้นก็ต้องตกเป็นของภิกษุที่จรมา ส่วนภิกษุที่อยู่ในวัดก็ไม่มีส่วนได้
ความ ขัดข้องลำบากเกิดจากทางวินัยอย่างนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงเห็นมานานแล้ว แต่วินัยของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนกฎหมาย คือกฎหมายที่บัญญัติไว้แล้ว ถ้ารู้สึกว่าไม่ดีก็ประกาศเลิก และบัญญัติใหม่ ส่วนวินัยของพระพุทธเจ้าประกาศเลิกไม่ได้ ได้แต่งดชั่วคราว หรือมีข้อยกเว้นพิเศษให้ เมื่อได้ทรงเห็นความลำบากของภิกษุที่มาเฝ้า ทรงเห็นชัดว่าควรให้ความยกเว้นในเรื่องหอบหิ้วเอาไตรจีวรมา และทรงยกเว้นในข้อนี้ ก็เลยทรงประทานข้อยกเว้นอื่น ๆ ที่ทรงดำริมาแล้วแต่ก่อนด้วย จึงเกิดมีข้อยกเว้นขึ้น ๕ ข้อดังกล่าวมาข้างต้น
แต่การที่งดใช้วินัยชั่วคราว หรือให้ความยกเว้นเป็นพิเศษนั้น จะให้กันเฉยๆ ไม่ได้ พระภิกษุต้องได้ทำความดีอันใดอันหนึ่ง จึงจะได้รับความยกเว้น ฉะนั้นการที่จะให้ภิกษุได้รับความยกเว้นในข้อนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้มีพิธีกรานกฐิน พิธีกรานกฐินต้องถือเป็นความดีความชอบอย่างหนึ่ง เพราะการทำจีวรในสมัยนั้นไม่ใช่ของง่าย ๆ ตามปกติเวลามีการทำจีวร ภิกษุย่อมได้รับความยกเว้นในวินัยหลายข้ออยู่แล้ว เมื่อต้องมาทำจีวรโดยรีบร้อนให้เสร็จในวันเดียว
นักเรียนอนุบาล innerspot
#10
โพสต์เมื่อ 02 August 2010 - 07:41 PM
มาช่วยกันรักษาไว้ให้เป็นอริยประเพนี และถูกต้องตามพระวินัยจะได้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
อย่าให้อำนาจเงินตรามาบดบังความถูกต้อง "ศรัทธาสร้างยากแต่ทำลายง่าย"
............
เนื่องจากพรรษาและกฐินเกี่ยวเนื่องกันจึงขอนำกระทู้นี้มาไว้ด้วยกันเพื่อสะดวกในการค้นคว้า
ของผู้ที่สนใจ ในอริยประเพนีที่ดีงามเพื่อจะได้นำไปปฎิบัติต่อไป
http://www.dmc.tv/fo...rt=#entry177386
รายละเอียดโดย นรอ. Dd2683 จะมีที่ไปที่มาตามพระวินัยดีมากเลยค่ะ
(ในหนึ่งพรรษาช่วงระยะสามเดือนแบ่งเป็นพรรษาแรกและพรรษาหลังอย่างไร)
#11
โพสต์เมื่อ 17 August 2010 - 11:06 PM
ลิงค์ข้างล่างนี้มีรายละเอียดที่น่าสนใจมั่กมากค่ะเกียวกับอาคารนี้
http://www.dmc.tv/in...e...page&p=7587
ปีนี้ถ้ายายอยู่ก็จะมีอายุ 101 ปี ปีที่แล้ว เป็นกฐินจักรพรรดิ์มหาสมบัติ บูชาธรรม
ผู้ให้กำเนิดวัดพระธรรมกาย ยายครบ100 ปี (2552)
ปีนี้วันทอดกฐินสามัคคี ของวัดใหญ่ หรือวัดพระธรรมกาย ปทุมธานี ประเทศไทย
ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ( November 07, 2010)
เหลืออีกไม่ถึง100 วัน แล้วค่ะ พร้อม ??? ลุย !
...............................
ลิงค์นี้ มีภาพพระของขวัญไว้ตรึกระลึกนึกถึงบุญ และร่วมบุญกับทีมdmcค่ะ
http://www.dmc.tv/fo...i...&mode=liner
และอีกหนึ่งบุคคลประวัติศาสตร์ เป็นยอดหญิงมีชีวิตจริงในสมัยพุทธกาล ได้รับการกล่าวขาน
นานมาถึงปัจจุบันมากกว่า 2500 ปีแล้ว ได้ชื่อว่าเป็น เอตทัคคะในฝ่ายทายิกา คือมหาอุบาสิกาวิสาขา
ผู้ถวายผ้าอาบน้ำฝนเป็นคนแรก รายละเอียดเกี่ยวกับท่านดูที่นี่ค่ะ
http://www.dmc.tv/fo...art=#entry50699
............สาธุ ๆ ๆ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ตั้งใจช่วยกันบำรุง รักษา ต่ออายุพระพุทธศาสนาค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 19 August 2010 - 11:25 AM
อะไรจะเกิดขึ้น ??????????
#13
โพสต์เมื่อ 21 August 2010 - 01:21 AM
http://www.dmc.tv/?m...t...page&p=2873
กฐินทาน มีอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญว่าเป็นทานอันประเสริฐ
เป็นการทำบุญกับภิกษุสงฆ์ผู้ชำระกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ตลอด 3เดือน บุญนี้เป็นกาลทาน
หาโอกาสทำได้ยาก
.........................
และกฐินกาลทานเพื่อสร้างอาคาร 100ปียาย ยิ่งยากใหญ่เพราะอาคารนี้จะอยู่ได้นาน
นับพันปี ตราบใดที่อาคารนี้ยังอยู่ผู้มีส่วนร่วมในการสถาปนาอาคาร 100 ปีย่อมได้บุญตลอดไป
และเรื่องเนื้อนาบุญ นำโดยหลวงพ่อคุณครูไม่ใหญ่นั้นไม่ต้องแหลงกันละนะ
รีบลุยกันเถอะ.......................
#14
โพสต์เมื่อ 11 September 2010 - 09:38 AM
#16
โพสต์เมื่อ 25 October 2010 - 10:48 AM
ได้ความรู้เบิกบานประดับใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้คำตอบ
จาก ข้อเขียนของ innerspot ที่นำมาแสดงไว้โดย Sky noi ภายใต้หัวข้อ" นานาสาระและศัพท์น่ารู้สำหรับกฐิน"