หากเราผู้ปฏิบัติฝึกสมาธิบางครั้งบางคราวนั้นเราอาจจะไม่สมประสงค์ ในการกระทำ คือจิด อาจไม่มีความสงบตลอดเวลา
เป็นไปได้ไหมครับว่า เมื่อขณะใดที่เกิดความกลัว กลัวจะมีภัยอันตรายเกิดขึ้น จิตของผู้ปฏิบัติ เป็นผู้อบรมอยู่ประจำนั้น จะวิ่งเข้าสู่สมาธิโดยไม่ตั้งใจ
มีหรือไม่สมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจ
เริ่มโดย คนไร้ค่า, Apr 10 2010 11:53 PM
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 10 April 2010 - 11:53 PM
#2
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 02:52 AM
เวลานั้น สิ่งที่ควรจะเรียกควรจะเป็นสติมากกว่านะครับ
#4
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 04:23 PM
เป็นไปได้ครับ ถ้าความมีกลัวสุดๆจนใจหยุดในกลางความกลัว จนความกลัวกลายเป็นบริกรรมภาวนาในระดับหนึ่งความกลัวจะหายไปกลายเป็นความนิ่ง พอนิ่งต่อไปก็จะใส แต่ขอบอกว่าโอกาสเกิดขึ้นยากมากๆครับ
#5
โพสต์เมื่อ 11 April 2010 - 11:48 PM
พระปัจเจกพุทธุเจ้าไงครับ...เมื่อถึงวลา...อารมณ์ไหนก็ได้ทั้งนั้น
#6
โพสต์เมื่อ 12 April 2010 - 12:25 PM
พระอานนท์ ท่านก็มีจิตเป็นสมาธิ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ในจังหวะที่ไม่ได้ตั้งใจเช่นเดียวกันครับ ในขณะที่ ตอนที่ท่านกำลังตั้งใจ(มากเกินไป) กลับไม่ได้บรรลุธรรม
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#7
โพสต์เมื่อ 12 April 2010 - 05:13 PM
เป็นไปได้ครับ ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว ผู้ฝึกฝนอบรมจิตมาพอสมควร ยามสุข ทุกข์ แม้แต่หวาด กลัว จิตก็จัดมีสติดึงเข้าสู่สมาธิได้อย่างเป็นปกติครับ
โดยหลักธรรมอย่างสมบูรณ์แล้ว ต้องสมบูรณ์ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ครับ
พระอรหันต์บางท่านบรรลุได้รวดเร็ว เหมือนไม่ได้เข้าสมาธิ แต่ความจริงคือ ในชั่วพริบตาเดียวนั้น ไตรสิกขาของท่านสมบูรณ์ทันทีทันใด จึงบรรลุได้ครับ
ตึงไป เกร็งไป หย่อนไป ก็ไม่ลงตัวนะครับ ต้องพอดีๆ
ที่สำคัญต้องรู้จักปล่อยวาง เวลาเรานั่งสมาธิ ไม่ใช่มีสติขนาดนับ 123 ที่ 072 ปุ๊บ เห็นดวงปั๊บ เลยนะครับ ไม่ใช่
แต่เราจะปล่อยวางไปเอง แล้วมีสติพร้อมอีกทีคือเห็นว่าดวงปรากฎขึ้นมาแล้วครับ สมบูรณ์ตรงนั้น
สำหรับกรณีที่เจ้าของหัวข้อว่ามา น่าจะเป็นประมาณ สติ ครับ แล้วก็เข้าถึงขณิกะสมาธิพร้อมๆกันไป
สาธุ อนุโมทนาครับ ท่านเดินมาถูกทางแล้ว แสดงว่าปฏิบัติธรรมได้ผล เพราะยามสุข ยามทุกข์ เราจักต้องมีสติ สมาธิ ปัญญา อย่างเป็นปกติ อย่างเคยชินเป็นอัตตโนมัติ ผมกล้าพูดว่า หากฝึกฝนจนชำนาญเป็นจริตอัตโนมัติได้อย่างนี้แล้ว หากเป็นเหตุการณ์ถึงกับชีวิตขึ้นมา บุญบารมีในทางภาวนาส่วนนี้แหละครับ นำพาท่านไปสุคติแน่นอนครับ นี่แหละครับ อานิสงส์การฝึกจิตเห็นผลแล้วครับ
โดยหลักธรรมอย่างสมบูรณ์แล้ว ต้องสมบูรณ์ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ครับ
พระอรหันต์บางท่านบรรลุได้รวดเร็ว เหมือนไม่ได้เข้าสมาธิ แต่ความจริงคือ ในชั่วพริบตาเดียวนั้น ไตรสิกขาของท่านสมบูรณ์ทันทีทันใด จึงบรรลุได้ครับ
ตึงไป เกร็งไป หย่อนไป ก็ไม่ลงตัวนะครับ ต้องพอดีๆ
ที่สำคัญต้องรู้จักปล่อยวาง เวลาเรานั่งสมาธิ ไม่ใช่มีสติขนาดนับ 123 ที่ 072 ปุ๊บ เห็นดวงปั๊บ เลยนะครับ ไม่ใช่
แต่เราจะปล่อยวางไปเอง แล้วมีสติพร้อมอีกทีคือเห็นว่าดวงปรากฎขึ้นมาแล้วครับ สมบูรณ์ตรงนั้น
สำหรับกรณีที่เจ้าของหัวข้อว่ามา น่าจะเป็นประมาณ สติ ครับ แล้วก็เข้าถึงขณิกะสมาธิพร้อมๆกันไป
สาธุ อนุโมทนาครับ ท่านเดินมาถูกทางแล้ว แสดงว่าปฏิบัติธรรมได้ผล เพราะยามสุข ยามทุกข์ เราจักต้องมีสติ สมาธิ ปัญญา อย่างเป็นปกติ อย่างเคยชินเป็นอัตตโนมัติ ผมกล้าพูดว่า หากฝึกฝนจนชำนาญเป็นจริตอัตโนมัติได้อย่างนี้แล้ว หากเป็นเหตุการณ์ถึงกับชีวิตขึ้นมา บุญบารมีในทางภาวนาส่วนนี้แหละครับ นำพาท่านไปสุคติแน่นอนครับ นี่แหละครับ อานิสงส์การฝึกจิตเห็นผลแล้วครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#8
โพสต์เมื่อ 12 April 2010 - 08:01 PM
ผมขอเพิ่มหน่อยนะครับ...
เรื่องการฝึกสติอย่างเดียวควรหลีกเลี่ยงนะครับ ไปลองเรียนเฉยๆให้รู้ก็พอ
....สติ...เป็นผลพลอยได้อยู่แล้วครับ...จากการนั่งสมาธิโดยอัตโนมัติทุกๆ ครั้งที่นั่งครับ...
ไม่มีสติ...ก็ตั้งใจไว้ที่ศูนย์กลางกายได้ยากอยู่แล้วครับ....
แต่เป้าหมายปลายทางเราไม่ได้อยู่แค่สติเพียงอย่างเดียว...ครับ
เรามีเป้าหมายที่ละเอียดและลึกกว่านั้นมากๆๆๆๆๆๆ....
สติจึงเป็นฐานที่เราต้องผ่านเข้าไป...เท่านั้นเอง...ผ่านแล้วก็มีสติแล้วครับ
ต่อจากนั้นเราก็เลยเข้าไปเลย..อย่าเสียเวลา..อย่ามัวยึดย้ำอยู่กับที่..นะครับ..
เหมือนกับการขึ้นบันได..ก่อนขึ้นต้องยึดราวบันไดให้มั่น...เมื่อจะก้าวขึ้นขั้นต่อไป
ก็ต้องปล่อยราวบันไดก่อน..เพื่อไปจับราวในช่วงที่สูงขึ้น..เพื่อก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ..ครับ
.....คนที่ฝึกสติอย่างเดียวมีเกลื่อนชั้นจาตุมหาราชิกาเลยครับ...
มีเรื่องเล่าครับ ผมไปลองฝึกสติอยู่ 8 วัน เค้าเน้นให้ฝึกสติทั้งวันเลย..ทั้งนั่ง ยืน เดิน
เวลาเข้านอนจิตจะรู้สึกหนักๆ..จิตจะเพียมากๆ..และในช่วงวันหลังๆ..จะมีอาการหลอนๆ..หลอกๆ..ชอบกล
เวลาแอบคุยกัน..แต่ละคนก็มีอาการแปลกๆ..ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรกัน..ก็จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง..และเปลี่ยน
เรื่องคุยโดยไม่รู้ตัว..บางครั้งก็ไปพูดเรื่องอะไรแปลก..วกไปเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ที..เป็นแทบทุกคน
เค้าไม่ยอมให้นั่งสมาธินานครับ ให้นั่งประมาณ 10 นาทีหลังการฝึกสติแต่ละรอบ วันละ 4 รอบแล้วบอกให้เลิก..
บอกว่าไม่จำเป็น.เค้าบอกว่าสติสำคัญกว่า..ผลทำให้สติ..ดีขึ้นมากจริงๆครับ..แต่ไม่สงบสุข..โปร่งเบาเท่าไร
ยังรู้สึกถึงความอึดอัดคับแคบอยู่เลยครับ..ครูบาอาจารณ์ท่านก็ขยันครับ..แต่ดูหมองๆ ยังไงชอบกล
เรื่องการฝึกสติอย่างเดียวควรหลีกเลี่ยงนะครับ ไปลองเรียนเฉยๆให้รู้ก็พอ
....สติ...เป็นผลพลอยได้อยู่แล้วครับ...จากการนั่งสมาธิโดยอัตโนมัติทุกๆ ครั้งที่นั่งครับ...
ไม่มีสติ...ก็ตั้งใจไว้ที่ศูนย์กลางกายได้ยากอยู่แล้วครับ....
แต่เป้าหมายปลายทางเราไม่ได้อยู่แค่สติเพียงอย่างเดียว...ครับ
เรามีเป้าหมายที่ละเอียดและลึกกว่านั้นมากๆๆๆๆๆๆ....
สติจึงเป็นฐานที่เราต้องผ่านเข้าไป...เท่านั้นเอง...ผ่านแล้วก็มีสติแล้วครับ
ต่อจากนั้นเราก็เลยเข้าไปเลย..อย่าเสียเวลา..อย่ามัวยึดย้ำอยู่กับที่..นะครับ..
เหมือนกับการขึ้นบันได..ก่อนขึ้นต้องยึดราวบันไดให้มั่น...เมื่อจะก้าวขึ้นขั้นต่อไป
ก็ต้องปล่อยราวบันไดก่อน..เพื่อไปจับราวในช่วงที่สูงขึ้น..เพื่อก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ..ครับ
.....คนที่ฝึกสติอย่างเดียวมีเกลื่อนชั้นจาตุมหาราชิกาเลยครับ...
มีเรื่องเล่าครับ ผมไปลองฝึกสติอยู่ 8 วัน เค้าเน้นให้ฝึกสติทั้งวันเลย..ทั้งนั่ง ยืน เดิน
เวลาเข้านอนจิตจะรู้สึกหนักๆ..จิตจะเพียมากๆ..และในช่วงวันหลังๆ..จะมีอาการหลอนๆ..หลอกๆ..ชอบกล
เวลาแอบคุยกัน..แต่ละคนก็มีอาการแปลกๆ..ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรกัน..ก็จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง..และเปลี่ยน
เรื่องคุยโดยไม่รู้ตัว..บางครั้งก็ไปพูดเรื่องอะไรแปลก..วกไปเรื่องโน้นทีเรื่องนี้ที..เป็นแทบทุกคน
เค้าไม่ยอมให้นั่งสมาธินานครับ ให้นั่งประมาณ 10 นาทีหลังการฝึกสติแต่ละรอบ วันละ 4 รอบแล้วบอกให้เลิก..
บอกว่าไม่จำเป็น.เค้าบอกว่าสติสำคัญกว่า..ผลทำให้สติ..ดีขึ้นมากจริงๆครับ..แต่ไม่สงบสุข..โปร่งเบาเท่าไร
ยังรู้สึกถึงความอึดอัดคับแคบอยู่เลยครับ..ครูบาอาจารณ์ท่านก็ขยันครับ..แต่ดูหมองๆ ยังไงชอบกล
#9
โพสต์เมื่อ 12 April 2010 - 08:23 PM
ขอเพิ่มอีกนิดครับ...เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจไม่ถูกต้อง
......ที่ว่าได้ผลนั้นคือ..คือทำให้จิตไวขึ้นครับ..ไวขึ้นมาก..มากๆ..ในระหว่างที่ฝึก
......แต่คุยกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันไม่รู้เรื่อง..ครับ ไม่ว่าจะพูดหยอกกัน..หรือคุยเรื่องงาน
เค้าก็พยายามคุยกับผม..ผมพยายามคุยกับเขา..ก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน..คุยกันไม่รู้เรื่อง
เพราะว่าไม่สามารถพูดคำยาวให้หมดประโยคได้..จิตก็ทำให้เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นเรื่องใหม่แล้ว
ทั้งเค้าและผมมีอาการเหมือนๆ กัน..เลยตัดสินใจไม่คุยกันดีกว่า..เพราะจิตมันไวเกินไป
......ที่ว่าได้ผลนั้นคือ..คือทำให้จิตไวขึ้นครับ..ไวขึ้นมาก..มากๆ..ในระหว่างที่ฝึก
......แต่คุยกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันไม่รู้เรื่อง..ครับ ไม่ว่าจะพูดหยอกกัน..หรือคุยเรื่องงาน
เค้าก็พยายามคุยกับผม..ผมพยายามคุยกับเขา..ก็ไม่ค่อยเข้าใจกัน..คุยกันไม่รู้เรื่อง
เพราะว่าไม่สามารถพูดคำยาวให้หมดประโยคได้..จิตก็ทำให้เปลี่ยนเรื่องพูดเป็นเรื่องใหม่แล้ว
ทั้งเค้าและผมมีอาการเหมือนๆ กัน..เลยตัดสินใจไม่คุยกันดีกว่า..เพราะจิตมันไวเกินไป
#10
โพสต์เมื่อ 13 April 2010 - 09:43 PM
(๑). สัมปชัญญะ แปลว่า ความรู้ตัว เช่น รู้ตัวว่ายังมีลมหายใจอยู่, รู้ตัวว่ากำลังย่างเท้าซ้าย, รู้ตัวว่ากำลังกระพริบตา เป็นต้น
(๒). สติ แปลว่า ระลึกได้ เช่น ระลึกได้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นบุญกุศล ควรคิดพูดทำให้ก้าวหน้าให้มากๆในเวลาใดเวลาหนึ่งที่เหมาะสม ; หรือระลึกได้ว่าสิ่งใดไม่ดีเป็นบาปอกุศล ไม่ควรคิดพูดทำ แล้วยุติการคิดพูดทำนั้นๆ ; หรือระลึกได้ว่าสิ่งใดเป็นอัพยากตา ก็วางอุเบกขา เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าฝึกสัมปชัญญะมากเกินไป จะเพลียๆ จะย่ำอยู่กับที่ จะรู้สึกหนักๆหลอนๆหลอกๆ จะไม่สงบสุขไม่โปร่งเบา จะอึดอัดคับแคบและดูหมองๆ , เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ไม่ใช่เพราะจิตมันไวเกินไป แต่เพราะจิตมันแปรปรวนมากไป
ส่วนการฝึกสัมมาสติละสัมมาสมาธิ ณ. ๐๗๒ (ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด) นั้น , จิตจะว่องไวและผ่องใส สงบสุขโปร่งเบาสบาย และก้าวหน้าไปตามลำดับๆกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน.
(๒). สติ แปลว่า ระลึกได้ เช่น ระลึกได้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นบุญกุศล ควรคิดพูดทำให้ก้าวหน้าให้มากๆในเวลาใดเวลาหนึ่งที่เหมาะสม ; หรือระลึกได้ว่าสิ่งใดไม่ดีเป็นบาปอกุศล ไม่ควรคิดพูดทำ แล้วยุติการคิดพูดทำนั้นๆ ; หรือระลึกได้ว่าสิ่งใดเป็นอัพยากตา ก็วางอุเบกขา เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าฝึกสัมปชัญญะมากเกินไป จะเพลียๆ จะย่ำอยู่กับที่ จะรู้สึกหนักๆหลอนๆหลอกๆ จะไม่สงบสุขไม่โปร่งเบา จะอึดอัดคับแคบและดูหมองๆ , เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ไม่ใช่เพราะจิตมันไวเกินไป แต่เพราะจิตมันแปรปรวนมากไป
ส่วนการฝึกสัมมาสติละสัมมาสมาธิ ณ. ๐๗๒ (ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด) นั้น , จิตจะว่องไวและผ่องใส สงบสุขโปร่งเบาสบาย และก้าวหน้าไปตามลำดับๆกระทั่งบรรลุมรรคผลนิพพาน.