ทางสามแพร่ง
#1
โพสต์เมื่อ 13 June 2006 - 10:14 PM
ทางที่ 2. ดูแล เธอผู้นำพาข้าพเจ้ามาพบครูไม่ใหญ่สร้างบารมีด้วยกัน เป็นกองเสบียงวงนอก
ทางที่ 3. ออกบวชตามครูไม่ใหญ่
......................
แนะนำผมบ้างครับ..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#2
โพสต์เมื่อ 13 June 2006 - 11:22 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 13 June 2006 - 11:35 PM
#4
โพสต์เมื่อ 13 June 2006 - 11:52 PM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#5
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 03:48 AM
#6
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 08:36 AM
ชีวิตในเพศสมณะปลอดภัยที่สุดในสังสารวัฏนี้ค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 12:53 PM
#8
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 01:20 PM
เป็นทางของผู้เบื่อหน่ายในโลกธรรมทั้งหลาย
เป็นทางสายป่า เป็นทางที่เป็นของผู้พิจารณา
พิจารณาว่า รูปทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย สังขารทั้งหลาย วิญญาณทั้งหลาย เวทนาทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้
ทางที่ 2
เป็นทางของผู้กตัญญู
เป็นทางที่ทำให้เราไม่ถูกตราว่าละทิ้งผู้มีคุณ
ทางที่ 3
เป็นทางของผู้ที่มีเมตตาอันประมาณมิได้
เป็นทางที่จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้โดยไม่ต้องมีกามคุณ หรือสัญญากิเลสมาเชื่อม
หากเลือกทางที่ 1
จะทำให้รักสันโดษ
แต่เป็นเส้นทางของพระปัจเจก
เป็นเส้นทางที่ต้องอยู่ตัวคนเดียว ทำให้ประพฤติสมณธรรมได้โดยง่าย
แต่สามารถสงเคราะห์สรรพสัตว์ได้เพียงน้อยนิด เพียงหยิบมือ
หากเลือกทางที่ 2
จะเป็นทางที่ทำให้เราเป็นผู้รู้จักความกตัญญู
แต่ความกตัญญูนั้น สามารถสงเคราะห์เธอคนนั้นได้เพียงชาติเดียว
ทั้งยังเป็นทางมาแห่งกิเลส เป็นทางของผู้เสพกามคุณ
เป็นทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามที่ไม่จำเป็นต้องเลือกฝ่า
หากเลือกทางที่ 3
เราคือผู้รื้อวัฏฏสงสาร เป็นผู้รวมพล
เป็นทางที่ทำให้เราตัดจากกิเลสได้โดยง่าย
เป็นทางที่จะปลดปล่อยสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วทั้งอนันตจักรวาล
เป็นเส้นทางที่ยาวไกล เต็มไปด้วยอุปสรรคที่ลำบากนัก
แต่ก็มีหมู่คณะช่วยกันฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านั้นไป
ทั้งยังเป็นการต่อสายให้กับกัลยาณมิตรผู้ให้โอกาสเรามาร่วมเส้นทางนี้อีกด้วย
คุณจะเลือกเดินเส้นทางไหน
ก็แล้วแต่ธาตุธรรมของคุณจะนำไปเถิด
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#9
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 01:48 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#10
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 05:37 PM
ใจต้องเข้มแข็ง มุ่งมั่นที่จะฝึกตัวทุกรูปแบบ ไม่ประมาท ไม่คลาดเป้าหมาย
แต่ใครจะเลือกทางไหน ต้องพิจารณาด้วยตัวเอง ให้ดีค่ะ
#11
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 06:08 PM
ท่านจึงเขียนเคสมาถามครูว่า เหตุใดจึงรู้สึกผูกพันกับวัดพระธรรมกายมาก ทั้งๆ ที่ยังคงอยู่วัดอื่น คุณครูได้ฝันว่า พุทธันดรที่แล้ว ท่านมาบวชกับหมู่คณะ บวชแล้วก็ชอบสันโดษ รู้สึกว่า ถ้าอยู่กับหมู่คณะจะนั่งสมาธิไม่สงบ น่าจะปลีกวิเวกดีกว่า
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ท่านจึงตัดสินใจ ออกจากหมู่คณะปลีกวิเวกไปนั่งสมาธิอยูคนเดียว แต่กลับปรากฏว่า ทำเช่นนั้น ผลก็ยิ่งไม่ดี ท่านไม่สามารถบรรลุธรรมอันใดได้ และคิดถึงหมู่คณะจับใจ ในที่สุดก็ย้อนกลับมาอยู่ร่วมกับหมู่คณะอีกในตอนท้าย ที่นี้ชาตินี้ วิบากนั้น จึงปรับให้ไม่ได้อยู่กับหมู่คณะ แต่กลับผูกพัน
ดังนั้น ถ้าคุณเถลิงเกียรติ มั่นใจว่า ภพชาติต่อไป ถ้าฉันต้องพรากจากหมู่คณะ แล้วมาเจอภายหลัง แล้วกลับรู้สึกผูกพัน ฉันจะไม่ถามหลวงพ่อว่า ทำไมฉันต้องพรากจากหมู่คณะล่ะก็ ให้คุณเลือกเส้นทางที่ 1 ได้เลยครับ แต่ถ้าคิดว่า เป็นตรงข้ามล่ะก็ ก็เหลือแต่ทางที่ 2 และ 3 เท่านั้นแหละครับ ที่คุณจะต้องเดินต่อไป
ส่วนจะเลือก 2 หรือ 3 นั้น ก็มีตัวอย่างอีกแล้ว ผมชอบตอบด้วยตัวอย่าง ที่เจ้าของเคส เขียนมาตัดพ้อว่า ชาตินี้ตัวเขาจะบวช แต่มีอุปสรรคเยอะเหลือเกินยังบวชไม่ได้เลย คุณครูฝันว่า ชาติก่อนเพื่อนชวนบวช ก็ไม่ยอมบวชอยากครองเรือน พอไปครองเรือนเจอพิษภัยในโลกมา จนแก่แล้วค่อยคิดได้ จึงบวชตอนแก่ แล้วชาตินี้ยังมาถามอีกว่า ทำไมอุปสรรคจึงเยอะขวางการบวช ก็ตัวออกแบบไว้อย่างนั้นเองนี่นา
ดังนั้น ถ้าจะไม่บวช อย่าได้เสียใจที่เลือกแบบนี้ ให้ยอมรับว่า มันต้องทุกข์มากๆ แน่ แต่ต้องยอมรับ เพราะเราเลือกเอง
ถ้าจะบวช อย่าได้โลเล ลุยไปได้เลย จะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนตัวอย่างข้างต้นน่ะครับ
#12
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 10:17 PM
#13
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 10:44 PM
ถ้าให้ครูบาอาจารย์ท่านตรวจดูแล้วปรากฏว่า เราไม่มีผังบวชจากชาติในอดีตติดตัวมา เราก็ค่อยๆ สั่งสมผังบวชแบบช่วงสั้นเก็บอานิสงส์แห่งการบวชไปทีละเล็กละน้อยก่อน จากนั้นจึงค่อยเพิ่มระยะเวลาในการประพฤติพรหมจรรย์ให้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ได้ครับพี่แก้วประเสริฐ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#14
โพสต์เมื่อ 14 June 2006 - 10:46 PM
#15
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 02:45 AM
อยากได้บุญกับคุณค่ะ
ช่วงสั้นๆก่อนก็ได้ เมื่อมั่นใจ ก็ตลอดไปเลยนะคะ
ขออนุโมทนาบุญกับบุญใหญ่นี้ค่ะ
#16
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 02:45 AM
เห็นด้วยที่สุดค่ะ เพราะท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนก็ต้องครองเพศสมณะ แล้วใยจึงไม่เริ่มเสียชาตินี้ละค่ะ ในเมื่อท่านได้สิ่งที่มีค่าเหลือเกินแล้วคือได้เกิดเป็นชาย มีโอกาสบวช ยังมีผู้ด้อยโอกาสอีกมากมายเหลือเกินที่ต้องรอกันข้ามชาติทีเดียว สำคัญที่สุดคือการอธิฐานจิตค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ และไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหนก็ขอกราบอนุโมทนาบุญด้วยเช่นกันค่ะ
น้าจี้
#17
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 08:03 AM
เพราะเมื่อแก่แล้วชีวิตที่ดีที่สุดคืออยู่ในเพศสมณะ
แต่ไม่ได้หมายความว่าให้บวชตอนแก่
บวชก่อนจะแก่ เตรียมตัวให้ได้มรรคผลก่อน
เมื่อแก่แล้วจะได้เอาตัวรอด กลับบ้านได้
เมื่อลมหายใจสุดท้ายมาถึง จะได้ไม่ต้องทุกข์เพราะแก่ เพราะเจ็บป่วย และตาย
ในบั้นปลายชีวิตจะได้เดินวิชาเพิ่ม เป็นการช่วยอาจาร์ย เลื่อนจากนักเรียนอนุบาลเป็นชั้นสูง
ไม่เสียชาติเกิดมาแล้ว
เป็นความตั้งใจของผม และคิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนอื่น ๆ ด้วย
#18
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 08:43 AM
#19
โพสต์เมื่อ 15 June 2006 - 09:58 AM
#20
โพสต์เมื่อ 16 June 2006 - 11:19 AM
แนะนำ"ทางสายกลาง"ก่อนครับ
เมื่อได้พบทางสายกลาง สู่เส้นทางอริยมรรคแล้ว
หากประกอบธาตุธรรมสมบูรณ์ คำตอบที่ชัดเจนจะออกมาจากภายในตัว ว่า เราเกิดมาทำไมหรือมีหน้าที่ใด
ส่วนการจะเลือกเส้นทางใดในแต่ละทางสามแพร่งนั้น คงขึ้นกับตัวเราเองมากกว่า ว่าจะเลือกเดินทางไปสู่วงบุญ-ภาคใด สายบุญใด
#21
โพสต์เมื่อ 17 June 2006 - 07:59 PM
คนนะคะ
#22
โพสต์เมื่อ 23 June 2006 - 05:13 PM
ลูกพระธรรม