รักษาศีลจะทำให้ได้บุญมากกว่าการให้ทาน...จริงหรือ
#1
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 01:55 PM
รบกวนขอคำอธิบายความหมายของคำว่า "บุญ" กับ "ทาน" ด้วยค่ะ พอดีได้อ่านข้อมูลนี้ก็เลยเริ่ม...งงงงงงง.....ค่ะ
"บุญ" กับ "ทาน" ไม่เหมือนกันครับ ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจในเรื่อง "บุญกับทาน" ขอแยกให้เห็นง่ายๆดังนี้ครับ บุญ คือการได้รับ แต่ ทาน คือการให้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ชาวพุทธ ทำทาน ครับไม่ใช่ ทำบุญ เราใช้ภาษาผิดๆกันมานาน ถ้าเป็นกิจจะลักษณะจะเห็นว่ามีการเชิญชวน "บริจาคทาน"นะครับ จะไม่มีคำว่า บริจาคบุญ และจะมีคำว่า บุญกุศลที่พึงได้รับจากการบริจาค เพราะฉะนั้นทำทานแล้วจึงได้บุญครับ แต่ถ้าทำบุญได้อะไรนี่ผมไม่ทราบครับ"
#2
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:16 PM
ข้อมูลที่ 1
"พระพุทธองค์ทรงสอนว่ารักษาศีลจะทำให้ได้บุญมากกว่าการให้ทาน แม้การแผ่เมตตาไปยังเพื่อนมนุษย์ก็ยังเป็นบุญมากกว่าอีก และสุดท้าย แม้เพียงการเจริญภาวนาโดยการมองเห็นความไม่เที่ยงแท้ แม้เพียงชั่วขณะ ก็จะยิ่งเป็นบุญอย่างมากมายยิ่งกว่าการให้ทานแก่พระอริยะทั้งหมดโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานเสียอีก นี่คือบุญสูงสุดที่สุดที่พระพุทธเจ้าสอนแต่เราก็มักไม่ค่อยจะได้ยินและแม้จะได้ยินก็ยังค่อยจะไม่เชื่ออีกด้วย"
ตรงนี้จริงครับ แต่ยังเป็นการเขียนที่ไมรัดกุมน่ะครับ ดังนี้
การให้ทาน จะส่งผล ให้เราได้ทรัพย์สมบัติ คือ เป็นคนรวย
การรักษาศีล จะส่งผล ให้เราได้รูปสมบัติ สุขภาพสมบัติ และวัยสมบัติ คือ ร่างกายสมส่วนไม่พิการ สุขภาพแข็งแรง อายุยืน
การเจริญภาวนา จะส่งผล ให้เรามีสติปัญญามาก จนสามารถหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์พ้นทุกข์ทั้งปวงได้
ทำไมการรักษาศีล จึงได้บุญมากกว่า การทำทาน นั่นเป็นเพราะ อวัยวะ,สุขภาพ,อายุ กับ ทรัพย์ อะไรสำคัญกว่าล่ะครับ รวยแต่พิการ เหมือน ชายน้อย เรื่อง พจมาน เอามั้ยครับ หรือ รวยแต่ป่วยเรื่อรัง เอามั้ย หรือ รวยแต่อายุสั้น ถูกล๊อตเตอรี่วันนี้ พรุ่งนี้ตายล่ะเอามั้ย ดังนั้น ศีลจึงได้บุญมากกว่า ทาน เพราะเหตุนี้
ทำไมเจริญภาวนา จึงได้บุญมากกว่าทั้งหมด ก็เพราะทำให้พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ไงครับ ถ้ารวยแต่โง่ หรือ หล่อแต่โง่ เอามั้ย ย่อมไม่มีใครเอา เพราะปัญญาเท่านั้น ที่จะนำพาเราพ้นทุกข์ได้จริง แต่ต้องเป็นปัญญาที่ผ่านการฝึกสมาธินะครับ ไม่ใช่ปัญญาที่นึกๆ คิดๆ ธรรมดาๆ
เงื่อนงำ มันอยู่ตรงนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า รักษาศีลแล้ว ได้เงินทองมากกว่า ให้ทาน แต่ได้อวัยวะความแข็งแรงอายุยืน ดีกว่า ทรัพย์จากการให้ทาน น่ะครับ ดังนั้น คนแต่งบทความจึงควรสรุปข้อมูลปิดท้ายว่า แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องทำทั้ง 3 อย่าง เพราะ ถ้าฉลาด สวย หล่อ แต่ยากจน มันก็เอาเรื่องเหมือนกันใช่มั้ยครับ
ข้อมูลที่ 2
"บุญ คือ การรับ ทาน คือการให้"
ตรงนี้ผิดน่ะครับ เพราะบุญประกอบด้วย 3 อย่างคือ ทาน ศีล ภาวนา ทำทาน ก็เป็นบุญ รักษาศีล ก็เป็นบุญ และเจริญภาวนา ก็เป็นบุญ ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า ทำทาน คือ ทำบุญ ก็สามารถบอกได้ครับ ไม่ผิดอะไร
ข้อมูลอ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โรงพิพม์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2538 หน้า 132 - 176. พระธรรมปิฎก (ปยุตฺโต)
"บุญกิริยาวัตถุ สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ, เรื่องที่จัดเป็นการทำบุญ, ทางทำความดี, หมวด ๓ คือ
๑. ทานมัย ทำบุญด้วยการให้
๒. สีลมัย ทำบุญด้วยการรักษาศีลและประพฤติดี
๓. ภาวนามัย ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา;
หมวด ๑๐ คือ
๑. ทานมัย ๒. สีลมัย ๓. ภาวนามัย ๔. อปจายนมัย ด้วยการประพฤติอ่อนน้อม ๕. เวยยาวัจจมัย ด้วยการช่วยขวนขวายรับใช้
๖. ปัตติทานมัย ด้วยการเฉลี่ยส่วนความดีให้ผู้อื่น ๗. ปัตตานุโมทนามัย ด้วยความยินดีความดีของผู้อื่น ๘. ธัมมัสสวนมัย ด้วยการฟังธรรม ๙. ธัมมเทสนามัย ด้วยการสั่งสอนธรรม ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ ด้วยการทำความเห็นให้ตรง"
#3
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:20 PM
การให้ ไม่ว่าจะให้กับใคร กับพระ กับราชา กับยาจกวนิภพ ล้วนเป็นการทำทานทั้งสิ้น แล้วทุกอาการของการให้ ก็ย่อมเกิดบุญตามมา
#4
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:34 PM
#5
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 03:43 PM
#6
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 06:33 PM
- เมื่อโดนโลภะ คือความโลภ ครอบงำ ก็ทำให้ตระหนี่ ไม่ยอมทำทาน เป็นเครื่องลดทอนทรัพย์สมบัีติ ว่าง่ายๆ ว่า จนนั่นแหละ
- เมื่อโดนโทสะ คือความโกรธ ครอบงำ ก็ทำให้มักโกรธ หงุดหงิดง่าย เป็นเครื่องลดทอนรูปสมบัติ ว่าง่ายๆ ว่า ไม่สวย หน้าแก่ ผิวหยาบ ดำ นั่นแหละ
- เมื่อโดนโมหะ คือความหลง ครอบงำ ก็ทำให้ไม่สนใจนั่งสมาธิ ภาวนา จึงเป็นทำให้ตัดรอนความสามารถที่มนุษย์ควรจะมี เช่น วิชชา 3 วิชชา 8 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ 4 วิโมกข์ 8 จรณะ 15 (วิขชา 3 ก็เช่น ระลึกชาติ, เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก และญาณหยั่งรู้เพื่อสิ้นอาสวะ, วิชชา 8 ก็คือ วิชชา 3 + หูทิพย์ วิปัสสนาญาณ มีฤทธิ์ทางใจ แสดงฤทธิ์ได้ รู้วาระจิตได้ อันอื่นๆ ลอง search หาดูใน forum นะครับ)
- เมื่อทำทาน มนุษย์ย่อมได้ทรัพย์สมบัติเพิ่ม พูดง่ายๆ ว่าไม่จนอีกต่อไป
- เมื่อรักษาศีล มนุษย์ย่อมได้รูปสมบัติดีขึ้น พูดง่ายๆ ว่าสวยขึ้น หล่อขึ้น ไม่ขี้เหรี ไม่พิกล พิการ
- เมื่อเจริญภาวนา มนุษย์ย่อมได้คุณสมบัติที่ดีขึ้น พูดง่ายๆ ว่า มีฤทธิ์ จนกระทั่งไปถึงการสิ้นกิเลสอาสวะ หรือเข้านิพพาน
ไม่งั้นมหาเศรษฐีของโลกนี้ ในปัจจุบัน ก็คงทั้้งรวย และสามารถบรรลุไปแล้ว หรือไม่ก็พระเกจิ อาจารย์ก็คงจะรวย และรูปหล่อ ไปด้วย หรือไม่ก็คนสวยๆ หล่อๆ ก็คงจะรวย หรือไม่ก็รวยล้นฟ้าไปด้วย
ปัจจุบันจะหาคนที่มีทั้ง รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ ไปพร้อมๆ กันทั้งสามอย่างนี้ยากเต็มที
อย่างไรก็ตาม บุญก็เป็นธาตุสำเร็จ ซึ่งหลายๆ คนก็เคยได้ยินว่า แม้ใส่บาตร แต่ก็อธิษฐานว่าขอให้สวยๆๆๆๆ ในชาติหนึ่งก็จะสามารถสวยสมใจได้ อย่างนี้ไม่ขัดกับสิ่งที่อธิบายมาข้างต้นหรือ?
คำตอบก็คือ ไม่ขัด เพราะว่าบุญเป็นธาตุสำเร็จ จึงสามารถเปลี่ยนบันดาลความสำเร็จ ระหว่างสายได้ แต่การที่ไม่ตรงสายนี้เอง ทำให้บุญในแต่ละสาย ส่งผลได้ไม่เต็มที่ พูดง่ายๆ ว่าเปลืองบุญนั่นแหละ
- ถ้าอยากมีทรัพย์สมบัติ ทำทานก็จะสำเร็จง่ายกว่า
- ถ้าอยากมีรูปสมบัติ รักษาศีลก็จะสำเร็จง่ายกว่า
- ถ้าอยากมีคุณสมบัติ เจริญภาวนาก็จะสำเร็จง่ายกว่า
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#7
โพสต์เมื่อ 08 August 2006 - 10:10 PM
หากมีโอกาสได้ทำบุญกิริยาวัตถุ 10 (ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย อปจายนมัย เวยยาวัจจมัย ปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัย ธัมมัสสวนมัย ธัมมเทสนามัย ทิฏฐุชุกัมม์) ได้ทุกข้อ ก็จะเป็นการดี เพราะจะได้เป็นบุญติดตัวไป ก็ได้อานิสงส์ทั้งนั้น
...............................................
อย่าคิดว่าเป็นบุญเล็กน้อย แล้วไม่ทำ
เพราะ ...บุญ ชื่อว่าความสุข
การสั่งสมบุญ นำสุขมาให้
#8
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 09:24 AM
#9
โพสต์เมื่อ 09 August 2006 - 10:05 PM
เป็นคำสอนที่ถูกต้องแล้วครับ สามารถพิสูจน์ได้ ถ้าได้พิสูจน์ตามพุทธวิธี
ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ขั้นแรกเราต้องตั้งสมมุติฐานกันก่อน เอาตามกระทู้ก็แล้วกัน
เอาคำว่า ทาน ก่อนก็แล้วกัน สมมุติเราเป็นผู้ให้ทาน นะครับ จากคำถามการให้ทาน ได้บุญเยอะขนาดไหน เอาแค่ที่เห็นด้วยตาเนื้อที่พิสูจน์ได้นะครับ
ผลลัพธ์ สำหรับผู้ให้ จะมีจิตใจเบิกบาน อิ่มอกอิ่มใจ ปลาบปลื้มกับสิ่งที่เราให้เขาได้รับสิ่งของ หรือทรัพย์เพื่อใช้ในการดำรงชีพ หรือถ้าเรามอบสิ่งปลูกสร้างให้เป็นทาน ผู้ที่เดือดร้อนหรือผู้ที่ได้มาพักอาศัย ต่างๆ ถ้ายิ่งมีจำนวนมากเท่าไหร่เขาจะคอยสรรเสริญยกย่องต่อสิ่งที่เราได้มอบให้เป็นทาน ผู้ให้พอได้รับคำชมยกย่องสรรเสริญก็จะยิ้มตลอด พอยิ้มออกมาโลกก็จะสดใส ผิวพรรณก็จะอิ่มเอิบใช่มั๊ยครับ พอไปไหนก็มีแต่คนต้อนรับใช่มั๊ยเพราะผู้ที่เราให้นั้นจะคอยต้อนรับ ปกป้องรักษาเราไปในตัวไม่ให้ได้รับอันตราย เพราะเราเป็นผู้มีพระคุณกับเขา เอาแค่นี้นะแค่ประโยชน์ในปัจจุบันแค่นี้นะ นี่ยังไม่รวมไปถึงอนาคต เอาแค่ปัจจุบันก็สาธยายเกือบไม่หมดแล้วใช่ไหมครับ แต่โดยรวมแล้วเป็นการให้ใน ระดับหยาบ สามารถให้กับมิติโลกมนุษย์เท่านั้น ชีวิตในสังสารวัฏนั้นมีอยู่ 3 ภพ นรก มนุษย์ สวรรค์ ฉนั้นการให้ทานก็ได้หลักๆ ก็เฉพาะมนุษย์ภพ แต่ถ้าทางพุทธเราก็จะมี การช่วยต่อไปได้อีก ซึ่งศาสนาอื่นไม่มี คือการอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้กับกายละเอียดที่อยู่ต่างภพได้อีก แต่ก็ต้องอาศัยผู้ที่ได้ญาณ ที่สามารถอุทิศส่วนบุญกุศลไปยังภพที่ต่ำ หรือที่สูงได้ เช่นในกรณีคุณยายต้องสำเร็จวิชชาธรรมกาย ก่อนจึงสามารถ ช่วยพ่อที่อยู่ในนรกให้ขึ้นสวรรค์ได้ จากการเกริ่นนำเรื่องตรงนี้ถ้าเป็นศาสนาอื่นหรือนักวิทยาศาสตร์จะไม่เชื่อใช่ไหมครับ
เอาละ ที่นี่มาดูเรื่องของการรักษาศีล เจริญภาวนาบ้าง ผลของการรักษาศีลจะทำให้ กายและใจบริสุทธิ คิดอะไรทำอะไรเป็นไปในทางที่ดี มีหิริโอตะปะ เมื่อเราคิดดี ปฏิบัติดีก็จะมีคนนับถือ มีผู้เคารพ ไปไหนมีแต่คนรัก และคอยปกป้อง มีแต่ผู้คนอยากจะเข้าใกล้มาพบปะคบเป็นกัลยณมิตรด้วย อันนี้ก็เป็นอานิสงฆ์เบื้องต้นเท่านั้น พอเราหลับตาเจริญภาวนา ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้โดยง่าย ที่นี้ละ ให้เรานึกเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกดู พอพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรม ก็ได้เผยแผ่ในไตรภพตั้งแต่ มนุษย์ สวรรค์ และนรก เพราะฉะนั้นการเจริญภาวนานั้น เพื่อประโยชน์ในการบรรลุธรรม เมื่อบรรลุแล้วก็สามารถทำอะไรก็ได้ เหมือนดังคำขวัญที่ว่า "เมื่อเราสว่างโลกก็สว่างด้วย" ถ้าจะให้ผมตีความก็คือ ถ้าเราเข้าถึงดวงสว่าง(ธรรมกาย) เราก็สามารถช่วยผู้อื่นที่อยู่ในสังสารวัฏได้ ทีนี้ก็คงเปรียบเทียบกันได้แล้วซินะว่าการให้ทานกับการถือศีลเจริญภาวนาอย่างไหนได้บุญกว่ากันนะครับ
#10
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 12:39 AM
" ดรรชนีธรรม ฉบับผลของบุญและบาป "
เรียบเรียงโดย พระไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล และคณะ เป็นปกแข็งเล่มใหญ่ๆ น่ะค่ะ มีเรื่องที่คุณสายน้ำทิพย์อยากทราบละเอียดมากเลยค่ะ ว่าจะโพสต์ แต่ไม่อยากสรุปน่ะค่ะ เพราะในเล่มก็มีแต่เนื้อๆ ทั้งนั้นเลย ถ้าได้ไปวัดคราวหน้า ลองหาดูนะคะ ตรงทางเดินฝั่งซ้าย เข้าไปข้างหลังเลยค่ะ พอซื้อกลับมาถึงที่นั่ง พี่ๆ ป้าๆ ขอดูพอเอาให้ดู ได้กลับไปซื้อมาให้อีก4 เล่ม แน่ะค่ะ อยากให้อ่านน่ะค่ะ แต่จนปัญญาค่ะ โพสต์ไม่ไหว ละเอียด กระชับ เข้าใจง่าย แต่เยอะเหลือเกินค่ะ
ยกตัวอย่างเช่น (สารบัญนะคะ)
1.การให้ทาน
1.1 ความหมายของการให้ทาน
1.2 สาเหตุของการให้ทาน
1.3 ประเภทของทาน
1.4 กาลทาน
1.5 สังฆทาน
1.6 อภัยทาน
1.7 ทานที่มีผลมาก
1.8 อานิสงส์ของการทำทาน
1.9 ตัวอย่างและอานิสงค์ของการถวายปัจจัย 4
2.การรักษาศีล
2.1 ความหมายของศีล
ฯลฯ
3.การเจริญสมาธิภาวนา
3.1 ความหมายของการเจริญสมาธิภาวนา
ฯลฯ
ทานที่ให้แล้วมีผล
การปรับความเห็นให้ถูกต้อง (สัมมาทิฐิ 10)
ฯลฯ
แล้วก็เรื่องของบาปค่ะ
อกุศลกรรมบท 10 เหตุให้เกิดบาป
1. การฆ่า รังแก เบียดเบียน ล่วงเกิน
1.1 องค์แห่งปาณาติบาต
1.2 ตัวอย่างและโทษของการฆ่า
1.3 ตัสอย่างและโทษของการ ฆ่า เบียดเบียน ล่วงเกิน
ฯลฯ
และอื่นๆอีกมากๆๆๆๆๆๆ มายค่ะ ความหนา 425 หน้าค่ะ อ่านสนุกดีค่ะ ที่สำคัญคือ เข้าใจง่ายมากค่ะ อ่านแล้วไม่งง ไม่ทราบว่า หมดแล้วหรือยังนะคะ เพราะเห็น พระที่มาร่วมเป็นเนื้อนาบุญในวันนั้น ซื้อกันเยอะมากเลยค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#11
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 01:41 AM
ถ้าเจออย่างนี้ ก็คงอึ้งไปพักนึงเหมือนกันนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่กรุณาให้ความกระจ่าง สาธุ ค่ะ
#12
โพสต์เมื่อ 10 August 2006 - 09:01 AM
#13
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 11:44 AM
#14
โพสต์เมื่อ 21 August 2006 - 10:02 AM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#15
โพสต์เมื่อ 24 August 2006 - 03:46 PM
"ผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มาจากการปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตก็ตาม
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#16
โพสต์เมื่อ 21 September 2006 - 10:01 PM