ทำไม?
#1
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 12:21 AM
แต่ทำไมคนที่ทำความดีมาตลอด แต่ก่อนตายนึกถึงความชั่วที่ตัวเองเคยทำไว้แม่เล็กน้อย ทำไมถึงตกนรกได้คับ
ขอบคุณล่วงหน้าคับ
-------------------------------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#2
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 02:21 AM
เพราะเหตุว่า การตรึกระลึกนึกถึงคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการยังพุทธานุสสติกัมมัฏฐานให้เจริญขึ้นในจิตใจ จึงทำให้ดวงจิตเมื่อถึงคราวแห่งมรณสันกาลประภัสสรสุกใส สุคติย่อมเป็นที่ไปแก่เขาผู้นั้นในอภิสัมปรายภพ สมดั่งพระพุทธวจนะที่ว่า
เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่หวังได้
อนึ่ง การยังจิตให้เลื่อมใสในพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์โลกเชษฐ์บรมนาถศาสดาจารย์นั้น ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่า อานิสงส์แห่งปาฏิบุคลิกทาน สังฆทาน และวิหารทานที่สร้างถวายแด่สงฆ์ผู้จรมาจากทิศทั้ง ๔ อย่างหาประมาณมิได้ แม้ว่าระยะเวลาในการยังจิตให้เลื่อมใสนั้น จะเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่ง มาตรว่าชั่วเวลาที่บุรุษเหยียดแขนออก แล้วคู้แขนกลับโดยฉับพลันก็ตาม ฉะนั้น ท่านผู้เจริญในธรรมทั้งหลาย พึงยังพุทธานุสสติภาวนาให้เจริญขึ้นในดวงจิตของท่านเถิดประเสริฐนักแล
เพราะเหตุว่า ดวงจิตเมื่อใกล้มรณสันกาลของมนุษย์ผู้นั้น มีอาการวิปติสารร้อนรนต่อผลแห่งบาปที่ตนได้เคยกระทำไว้ (แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม) จึงส่งผลให้อาสันนกรรมก่อนตาย ปรากฏเป็นกรรมนิมิตารมณ์ที่ยังดวงจิตให้เศร้าหมองด้วยอำนาจแห่งอกุศลาธัมมา และกรรมนิมิตารมณ์นี้เอง ที่เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงคตินิมิตารมณ์อันเหมาะสมแก่ฐานะแห่งความเป็นทายาทแห่งกรรมที่ตนได้เคยกระทำไว้ แม้ว่ามนุษย์ผู้นั้นจักสู้อุตส่าห์ประกอบแต่กุศลกรรมไว้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์อย่างมากมายเพียงไรก็ตาม หากแต่ดวงจิตของเขาเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติย่อมเป็นที่หวังได้แก่เขาผู้นั้นอยู่นั่นเอง
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#3
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 07:29 AM
แต่ทำไมคนที่ทำความดีมาตลอด แต่ก่อนตายนึกถึงความชั่วที่ตัวเองเคยทำไว้แม้เล็กน้อย ทำไมถึงตกนรกได้คับ
สงสัยค่ะ ขอรบกวนถามต่อว่า พลาดไปเพียงแค่นี้แล้วจะตกนรกนานแค่ไหนค่ะ
#4
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 08:42 AM
#5
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 09:59 AM
ไปแล้วก็จนในหมู่ชาวสวรรค์ ก็ยังดีที่ไม่ต้องไปอบายก่อนเท่านั้นเอง
แถมดีไม่ดี พอบุญที่นึกถึงความดีก่อนตาย (อันน้อยนิด) หมด มีสิทธิ์ร่วงลงอบายได้เหมือนกัน
รู้สึกว่ามีเคสนึง ที่คุณยายอาจารย์ช่วยจากอบายให้ขึ้นไปได้ แต่ท่านกำชับว่าให้นั่งธรรมะตลอดเวลา
พอหลวงพ่อมาฝันอีกครั้งปรากฏว่าลงไปอยู่อบายอีกแล้ว เนื่องจากเพลินลืมนั่งสมาธิ
ฉะนั้นใครจะมาบอกว่างั้นทำความชั่วตลอดชีวิตแล้วค่อยไปนึกถึงความดีก่อนตายนี้เสี่ยงมากนะครับ
เพราะถ้าทำความชั่วมาตลอด น้อยคนนักที่อยู่ในช่วงก่อนตายจะนึกถึงความดีออก
และถึงแม้จะโชคดี นึกถึงความดีออก แต่ก็เสี่ยงกับการตกสวรรค์ดังกล่าว
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#6
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 10:33 AM
ศึกษาได้จาก "มัฏฐกุณฑลี บุตรแห่งอทินนปุพพกะพราหมณ์"
ศึกษาได้จาก "พระนางมัลลิกาเทวี อัครราชมเหสีแห่งมหาราชปเสนทิโกศล"
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#7
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 10:39 AM
ต่อมาคือ ถ้าสมมุติ ทำได้สำเร็จได้ขึ้นสวรรค์จริง ก็อยู่ได้ไม่นาน หมดกำลังบุญเมื่อไหร่ก็ร่วงลงมาอีกน่ะครับ นี่เป็นความยากประการที่ 2
ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาทควรสั่งสมบุญไว้ตลอดดีกว่าครับ
แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ท่านอุปมาเปรียบเทียบไว้ดังนี้น่ะครับว่า กรรมก่อนตาย จะให้ผลก่อน เพราะเปรียบเสมือน วัวแก่ๆ ที่ยืนอยู่หน้าคอกวัว ส่วนกรรมที่เราทำประจำๆ เปรียบเสมือน วัวหนุ่มที่ยืนอยู่หลังวัวแก่ เมื่อเราเปิดคอก วัวแก่ที่อยู่หน้าคอก ก็จะก้าวออกมาก่อนใช้มั้ยครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป วัวแก่ก็จะหมดแรง แล้ววัวหนุ่มที่จะข้างหลังก็จะวิ่งแซงเอาได้นั่นเองครับ
#8
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 11:47 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#9
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 02:02 PM
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า
ผู้ใดทำบาปกรรมตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ว่าเวลาตายได้สติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ ดังนี้ ข้อนี้โยมไม่เชื่อ
อีกคำหนึ่งว่า ทำปาณาติบาตเพียงครั้งเดียว ก็ไปเกิดในนรกได้ ข้อนี้โยมก็ไม่เชื่อ
พระนาคเสนตอบว่า
ขอถวายพระพร ก้อนหินเล็ก ๆ ทิ่งลงไปในน้ำ จะลอยขึ้นบนน้ำได้ไหม ?
ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า
ก้อนหินตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน เขาขนลงบรรทุกเรือ เรือก็ลอยอยู่บนน้ำได้ไหม ?
ได้พระผู้เป็นเจ้า
ขอถวายพระพร บุญศลเปรียบเหมือนเรือ เพราะธรรมดาเรือของพวกพ่อค้า บุญกุศลเปรียบเหมือนเรือ เพราะธรรมดาเรือของพวกพ่อค้า มีภาระหนักหาประมาณมิได้ บรรทุกของหนักเกินไปก็จาลงในน้ำฉันใด
คนทำบาปทีละน้อยๆ จนบาปมากขึ้นก็จมลงไปในนรกได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่วิดน้ำเรือให้เรือเบา ก็จะข้ามฟากไปถึงท่า คือพระนิพพานได้ฉันั้น ขอถวายพระพร
ถูกดีแท้ พระผู้เป็นเจ้า
นำมาจาก มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗ ปัญหาที่ ๒ ครับ อนุโมทนากับทุกท่านครับ \^_^/
#10
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 02:12 PM
ขอบคุณครับ คุณ Nemo ตอบถูกใจ อิอิ
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#11
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 02:39 PM
เพิ่มเติมคุณ ขุนศึกฯ นะครับ
หลังจากที่เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีได้เป็นเกิดเป็นสหายของเทวดาแล้ว พราหมณ์บิดาของมัฏฐกุณฑลีก็มาคร่ำครวญที่ป่าช้าถึงลูกชาย เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีจึงลงมาปรากฎกายและสั่งสอนบิดาของตน ต่อมาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ปรารภเหตุที่เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีได้ไปเกิดในสวรรค์ด้วยเหตุเพียงทำจิตให้เลื่อมใสในพระองค์แต่เพียงเท่านั้น โดยพระองค์ได้ทรงแสดงธรรมและเทพบุตรมัฏฐกุณฑลีก็ได้ลงมาฟังธรรมเช่นกัน ทำให้เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีได้บรรลุมรรคผลเป็นพระโสดาบัน และมหาชนจำนวนมากก็ได้บรรลุธรรมเช่นกัน
ดังนั้น จึงพออนุมานได้ว่า พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุล่วงหน้าว่า การที่พระองค์ไปโปรดมัฏฐกุณฑลีก่อนตายนั้น จะได้ผลอันไพศาลในอนาคตแก่เทพบุตรมัฏฐกุณฑลีและมหาชนหมู่มากนั่นเอง
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#12
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 03:02 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#13
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 04:30 PM
#14
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 04:53 PM
..............................................................
เราไม่อาจทราบได้ว่า คนที่ท่านกล่าวถึงเขาไม่เคยทำดีเลย
คนเรา เกิด ตาย เกิด ตาย ตาย เกิด ....มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ครับ
การที่เราจะไปทึกทักว่าเขาไม่เคยทำความดีมาก่อน หรือสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บอกต่อๆกันมา
หรือ เป็นการอนุมานเทียบเคียง หรือคาดคะเนเอาเอง ของ จขกท.
คงจะไม่เป็นธรรมนะครับ..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#15
โพสต์เมื่อ 19 August 2006 - 06:11 PM
อนุโมทนา สาธุครับ
#16
โพสต์เมื่อ 20 August 2006 - 07:38 PM
เราว่าขึ้นอยู่กันใจของบุคคลนั้นด้วยว่า
"ใจหมองไปอบาย ส่วนใจใสมีสุคติเป็นที่ไปคะ "
#17
โพสต์เมื่อ 26 September 2006 - 09:27 AM
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์
#18
โพสต์เมื่อ 05 December 2006 - 10:12 PM
#19
โพสต์เมื่อ 04 December 2007 - 01:22 PM