มาเล่าประสบการณ์
#1
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 07:19 PM
#2
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 07:52 PM
ขอคั้นรายการด้วย เรื่อง ที่เคยทำทานกุศล ที่ยังจำได้ไม่ลืม สักเรื่องนะครับ
คือ เคยถวายเงิน ๗ บาท กับมือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ธัมมชโย
ความรู้สึกตอนนั้น ใจพองโต เอิบอิ่มใจมาก ยิ้ม ๆ กับตัวเอง ขำตัวเอง มีความรู้สึกดี ๆ มากมาย แต่อธิบายไม่ถูกครับ
เดี๋ยวนี้ ไม่มีโอกาสทำ(ถวายเงิน ๗ บาทกับมือพระพ่อฯ) แบบนั้นแล้วครับ
#3
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 08:22 PM
ไม่ดูความพร้อมความสะดวกอะไรทั้งสิ้น
คิดแต่ว่าหมู่คณะอยากได้ต้องได้
ถ้าจะต้องเอาชีวิตแลกมาก็พร้อมเสมอ
สมัยมัธยม เพื่อมาทำหน้าที่อาสามัคร ไม่มีรถ
ต้องเดินออกจากบ้านตอนเที่ยงคืนมาตามทางรถไฟ
เพื่อที่จะได้มาขึ้นรถบัสไปวัดที่ตลาดทันตอนตีห้า
กลับจากวัดเย็นวันอาทิตย์ ถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็หลังหกโมงเย็น
ต้องเดินผ่านสวนไผ่ที่มืดและชุมไปด้วยงู
มาเป็นตำรวจ เพื่อนมารับเวรช้า
ก็เลยต้องขับรถให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันประกอบพิธีกรรม
บางครั้งฝนตกหนักมากมองเห็นไฟท้ายรถคันหน้าเป็นจุดแดงลางๆ
แล้วที่ปัดน้ำฝนก็เสียถ้าช้าก็จะไม่ทันร่วมพิธี
ผมจึงไม่ลดความเร็วแต่ใช้สายตาให้มากขึ้นแทน(ห้ามเลียนแบบเด็ดขาด)
เวลาทำทานบารมี(ไม่รู้ทำถูกไหม)คือ
ถ้ามีบุญอะไรมาตรงหน้าก็จะเทกระเป๋าทันที จนโดนคนที่มาชวนมาทำบุญอื่นๆ
ที่มาทีหลังตำหนิว่าไม่เหลือไว้ทำกับเขาบ้าง เงินไปไหนหมดบ้าง
จนบางครั้งอยากร้องไห้เพราะไม่อาจทำบุญทุกบุญได้ครบ
ครั้งใดที่จัดงานบุญคืนก่อนวันงาน ทุกคนไปนอนกันหมด
ผมก็จะต้องอยู่ยามเฝ้าของทั้งคืนและจะไม่ได้นอนหรือทานอะไร
จนกว่าจะเก็บงานจนเสร็จซะก่อนซึ่งก็จะเกือบค่ำของอีกวัน
ไม่ใช่ไม่หิว แต่หากปลีกตัวไปก็ไม่มีใครมารับบุญแทน
ทีมอาหารก็มักจะลืมเก็บอาหารไว้ให้ทุกที ต้องไปซื้อกินเองเรื่อย
บางทีเราซื้อมา น้องที่มาช่วยงานยังไม่อิ่ม ก็เลยให้เขาไป
แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ
#4
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 09:19 PM
#5
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 09:23 PM
สิ่งที่ต้องแสวงหา คือ พระรัตนตรัยภายใน
เป้าหมายชีวิต คือ ที่สุดแห่งธรรม
#6
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 10:02 PM
#7
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 10:42 PM
...ขอเล่าบ้างละกัน เล็กๆน้อยๆร่วมบรรยากาศ
...ผมก็เคยมาร่วมบุญโดยไม่รู้ว่าจะกลับบ้านยังไงตังค์ก็หมด มีแต่น้ำมันติดก้นถังอยู่ในรถพอกลับได้ถ้าวิ่งไม่เกิน 80 แต่ พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรทานเพราะหมดเกลี้ยง หมดตั้งแต่ก่อนทำบุญแล้ว มาทำบุญเหมือนมาด้วยตัวเปล่า พกใจมาอย่างเดียว เพราะตกงาน เงินที่มาวัดก็ยืมๆเขามา กะว่าจะมานั่งสมาธิ คิดแค่นี้จริงๆ แต่แล้วเงินก็ไม่ได้มาจากไหน แต่ใจยังใสและปีติใจมากที่มาได้ และทำได้ถึงขนาดนี้ เพราะถ้าไม่มาวัดก็ไม่มีเงินอยู่ดี เมื่อเงินไม่มีเลยขอมาวัดดีกว่า ไปตายเอาข้างหน้า เพราะหิวมาก ช่วงนั้นไม่รู้เวลาฉันเพลของหอฉันเลย มาถึงก็หมด ไม่มีอะไรกิน ดีที่มีน้ำเปล่าฟรีแถวๆ ออฟฟิต(ห้องปัญญา) เลยประทังไป แต่พอดีก็มีคนเอาปานะมาแบ่งให้ และก็มีขนม ก็หายหิว และกลับบ้านมาเมื่อนั่งสมาธิอิ่มแล้ว ท้องก็อิ่มไปนิดนึง แต่รู้สึกสดชื่น มีความสุข และคิดว่าไม่กินก็ดีไม่อ้วนไม่อึดอัด และนึกในใจว่าจะมีใครทำอย่างเรากี่คนหนอบนโลกใบนี้?
....จากนั้นก็วิ่งประคองความเร็วกลับบ้านได้ มื้อเย็นอดแน่นอน พุ่งนี้ก็อดเพราะเงินไม่มี แต่ก็เศษตังค์ที่ยืมๆไว้ก็พอจะรวมๆได้อีกมื้อนึง คิดว่า พุ่งนี้ขออิ่มไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที กลางคืนก็นั่งสมาธิ แต่พอเช้ามา ก็มีออเดอร์เข้ามาบ้าง มีจ็อปขนของ (มาจ้างรถเรา) ใจก็คิดว่า รอดไปอีกวันแล้ว พุ่งนี้ก็รอดไปอีกมื้อ ฯลฯ เหตุการณ์แบบนี้ไม่รู้เรียกว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันหรือป่าว? เพราะมันไม่ได้เกิดแค่ครั้งสองครั้ง แต่เกิดแบบนี้มา 3 ปีแล้วครับ เป็นเกือบทุกวัน 3 ปีจริงๆ จนปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ต่างกับอดีตมากนัก เพราะผมทุ่มสุดตัว และไม่กลัวว่าจะอดตาย เพราะมันไม่ตายสักที ที่ว่าอดอยากก็อดไม่นาน เดี๋ยวก็มีอะไรมาช่วยสักอย่าง ที่ว่าหิวก็หิวไม่นาน ที่ว่าอยากได้ก็ไม่นาน ก็มีคนมายกให้บ้าง อยู่ดีๆก็บอกขายแต่ไม่เอาเงินบ้าง มาชวน มาจ้าง มาให้เงินไว้ใช้ทั้งๆที่ไม่มีเหตุผล คนให้ก็งง คนรับก็งง มันเป็นแบบนี้มานานแล้วครับ ทุกวันนี้ผมมีความสุขมาก เพราะของนอกกายไม่สำคัญจริงๆ สำคัญของในกายยิ่งใสยิ่งสว่างยิ่งเบายิ่งสบาย ยิ่งมีความสุข ก็จะยิ่งมีทางออกในชีวิต ผมขอยืนยันคำพูดเหล่านี้ด้วยชีวิต
#8
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 10:54 PM
#9
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 10:57 PM
#10
โพสต์เมื่อ 31 August 2010 - 11:22 PM
ก็เลยเอารองเท้าให้น้องใส่
ส่วนเราก็เดินเท้าเปล่ารับบุญทั้งวัน
อีกครั้งหนึ่ง
หลวงพี่ชวน
ไปนั่งสมาธิที่ลานธรรม
(ปัจจุบันคือภาวนา60ปี)
เดินไปถึงตอน23.00นั่งไปถึง02.00(ประมาณ)
แบบไม่มียากันยุงเพราะลืมเอาไป
อีกครั้งหนึ่ง
ทำคล้ายๆสุเมธดาบสคือ
พิธีเลิกพระภิกษุและสาธุชนที่มาร่วมงาน
จะเดินไปขึ้นรถที่ทิศเหนือธรรมกายเจดีย์
(ตอนนั้นยังเป็นลานทราย)
แต่ไปผิดทางเลยเจอท้องร่องระบายน้ำออกจากเจดีย์
กว้างและลึกพอสมควรขวางทางอยู่
ผมจึงลงไปยืนในร่องนั้นคอยช่วยอุ้มพระภิกษุรัตตัญญู
และสาธุชนที่เป็นส.ว.ข้ามร่องนั้นไป
อุ้มบ้าง,ประคองบ้าง ,ให้เดินไปบนต้นขาบ้าง
นานทีเดียวกว่าจะข้ามได้หมด
แม้ว่าจะหลับบุญแบบอดหลับอดนอน
แม้ว่าจะยกตระกร้าอาหารตักบาตรทีละ2-3ตระกร้า
(มีของเต็ม)เป็นเวลานานหลายปี
ร่างกายผมกลับไม่มีอาการปวดหลัง
ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ล้า อย่างที่คนอื่นเป็นเลย
อย่างมากได้พักหายใจ2-3นาทีก็ลุยต่อได้
ขอให้ได้บุญเท่ากันทุกๆคนนะครับ
เดี๋ยวนึกออกจะมาเล่าต่อ
#11
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 12:16 AM
#12
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 09:05 AM
ซึ่งอาสนะนั้นได้แพคใส่ถังเหล็ก ซึ่งหนักมากๆ
เหนื่อยสุดๆไปเลย
ฝุ่นก็เยอะมากๆๆๆๆๆๆ
ผมก็เป็นโรคภูมิแพ้ด้วย ไอๆจามๆ ก็สนุกดีครับ
จำได้แม่นเลยว่า
ผมทำพลาด กล่องเหล็กนั้นมาโดนใส่หัวนิ้วโป้ง เท้าขวา
โอ้วว เล็บมันก็ฉีก
เลือดก็เริ่ม ไหลออกมา ซิบๆ
แค่เห็นเลือดเท่านั้น ครับ เกือบจะเป็นลม เลย(เป็นคนกลัวเลือด)
เอวัง ก็ด้วยประการละฉะนี้
อ๋อ เอาบุญมาฝากทุกๆ คน นะครับ
เราพันธุ์ดีสุดขั้ว ชั่วลืมไปหมดแล้ว,จิตใจสูงส่งเหลือเกิน,มีปัญญา,มีมงคล,ทำที่ท่านได้ที่เรา
#13
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 09:07 AM
#14
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 09:45 AM
สาธุ น่าจะสร้างเครือข่ายคนดี คอยสนับสนุนกันนะครับ จะได้ไม่ต้องดอบ่อยๆ มีร่างกายไว้สร้างบารมีต่อไปนานๆ
#15
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 11:19 AM
หลวงพ่อสอนว่า ความดีทำเพียงครั้งเดียว แต่ระลึกนึกถึงได้หลายครั้ง และทุกครั้งที่นึกถึงก็นำมาซึ่งความปลื้มใจ
#16
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 05:43 PM
#17
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 07:38 PM
#18
โพสต์เมื่อ 01 September 2010 - 08:28 PM
งานถวายฝั่งตะวันตกทั้งหมด
สิ่งที่ถวายคือ
ผ้าไตร,ย่าม,ตาลปัตร,ยารักษาโรค
อย่างละประมาณ12,500 ชุด
บางอย่างไม่ครบจำนวน เพราะโรงงานทำไม่ทัน
วันนั้นยังได้มีโอกาสถวายการนวด
แก่พระเดชพระคุณเจ้าอาวาสวัดโบสถ์บน(บางคูเวียงด้วย)
ตอนที่เจดีย์ยังเป็นลานทราย
ได้ไปช่วยทำเทียนมาฆบูชาอยู่หลายครั้ง
ตั้งแต่เตรียมใส้เทียน ใส้ชนวน
หล่อเทียน โดยละลายเทียนผสมน้ำหอมในกระทะ
แล้วนำมาเทใส่กระป๋องที่ใส่ไส้เทียนไว้แล้ว
ทำกันข้ามวันข้ามคืนทีเดียว ใครง่วงก็หามุมหลับกันตรงนั้น
ตื่นมาก็มาทำต่อ
ทำเทียนแล้วก็ไปช่วยกันตอกเสาโคม
แม้จะเป็นพื้นทรายแต่ข้างล่างเป็นหินลูกรังอัดแน่นมาก
จะต้องตอกให้ตรง ถ้าเบี้ยวต้องถอนมาตอกใหม่
จะเริ่มตอกตอนตีสามเพื่อให้สามารถประกอบโคมทั้งหมด
ให้เสร็จก่อนตี5ครึ่งเพราะจะต้องเตรียมพื้นที่ตักบาตรต่อ
ในวันที่วัดพระธรรมกายมีทุกอย่างพร้อม
มีแต่เบิกไม่ค่อยได้บุกนี้
โอกาสสร้างบารมีแบบนี้หายาก
ดังนั้นท่านผู้มาทีหลังจงใช้ความพร้อมที่หลวงพ่อเตรียมให้
สร้างบารมีทำหน้าที่ให้เต็มที่กว่านี้
เพื่อที่จะมีบารมีทันยุคมีแต่บุกไม่ค่อยมีให้เบิกอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง
ยังมีเรื่องที่สร้างบารมีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันอีกมาก
แต่ขอเล่าแค่นี้ก่อน
ยุคนี้อยากกินอะไรก็มีให้กิน รถพ่วงก็มีบริการไม่ต้องเดิน
สาธุชนก็มาช่วยเตรียมงาน เบาแรงไปมาก
อาสาสมัครและเขตในทุกท่านที่มาทีหลัง
จงฝึกฝนตน จงทุ่มเทให้มากกว่านี้อีก
เพื่องานพระศาสนาจะขยายได้เร็วแรงและมีคุณภาพมากขึ้น
#20
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 09:30 AM
เขาเป็นครูอัตราจ้างเงินเดือน 9000 โดนหักโน้นนี่เหลือเดือน 5500 ให้พ่อกับแม่อีก เดือนละ 2000
เหลือ 3500 เป็นค่ากิน ค่าไฟ ค่าของใช้ส่วนตัวไปวันๆ 3ปีผ่านไป ก็ยังอุตส่าเก็บเงินได้ 15000
สุดท้ายเบิกมาหมดเลย สร้างพระ เป็นชื่อแม่
ส่วนตัวผม
หลังจากตัวผมสร้างพระไป 4 องค์ และบวช 2 รอบ กิจการผมดีมากๆๆ เทียบไม่ได้กับตอนที่ยังไม่บวช คือห่างกัน 5 เท่าได้ ทำให้มีเงินเก็บ และ หนี้หมดทุกอย่างใน 1ปีหลังบวชคร้ังแรก
ตอนหลังผมสงสารเลย โอนเงินให้เธอไว้ใช้จ่าย 30000 เผื่ออยากทำบุญ และเป็นเงินเก็บ และทองอีก 3 บาท เอ แบบนี้น่าจะเรียกว่าบุญมาส่งผลให้เธอแล้วมั้ง ใช่ป่าวหว่า
#21
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 12:00 PM
#22
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 09:04 PM
ติดน้ำทำศูนย์สาขา
ก็บุกป่าฝ่าดงหามาได้3แปลง
แต่หลวงพี่ท่านได้ที่อื่นซะแล้ว
สรุปว่าเหนื่อยฟรี
#23
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 09:40 PM
#24
โพสต์เมื่อ 02 September 2010 - 09:56 PM
ก็ต้องคอยลุ้นว่าน้ำมันจะพอกลับถึงไหม
คอยลุ้นว่ารถจะพังไหมเพราะมันเก่ามาก(วันนี้พังไปแล้ว)
และไม่ค่อยได้ช่อมเพราะเอามาทำบุญก่อนเสมอ
ปรกติจะขับไม่เปิดแอร์ เพื่อประหยัดน้ำมัน
จะได้เหลือเงินไปทำบุญมากขึ้น
แต่ก็รู้สึกว่า ยังทำทานบารมีได้น้อยเหลือเกิน
อยากทำให้มากกว่านี้เป็นล้านๆ เป็นพันล้าน จะทำยังไงดีหนอ
#25
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 06:34 AM
ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ
#26
โพสต์เมื่อ 03 September 2010 - 01:38 PM
ไม่ดูความพร้อมความ สะดวกอะไรทั้งสิ้น
คิดแต่ว่าหมู่คณะอยากได้ต้องได้
ถ้าจะต้องเอาชีวิต แลกมาก็พร้อมเสมอ
สมัยมัธยม เพื่อมาทำหน้าที่อาสามัคร ไม่มีรถ
ต้อง เดินออกจากบ้านตอนเที่ยงคืนมาตามทางรถไฟ
เพื่อที่จะได้มาขึ้นรถบัสไปวัด ที่ตลาดทันตอนตีห้า
กลับจากวัดเย็นวันอาทิตย์ ถึงปากทางเข้าหมู่บ้านก็หลังหกโมงเย็น
ต้องเดินผ่านสวนไผ่ที่มืดและชุมไป ด้วยงู
มาเป็นตำรวจ เพื่อนมารับเวรช้า
ก็เลยต้องขับรถให้เร็วที่สุด เพื่อให้ทันประกอบพิธีกรรม
บางครั้งฝนตกหนักมากมองเห็นไฟท้ายรถคันหน้า เป็นจุดแดงลางๆ
แล้วที่ปัดน้ำฝนก็เสียถ้าช้าก็จะไม่ทันร่วมพิธี
ผม จึงไม่ลดความเร็วแต่ใช้สายตาให้มากขึ้นแทน(ห้ามเลียนแบบเด็ดขาด)
เวลาทำ ทานบารมี(ไม่รู้ทำถูกไหม)คือ
ถ้ามีบุญอะไรมาตรงหน้าก็จะเทกระเป๋าทันที จนโดนคนที่มาชวนมาทำบุญอื่นๆ
ที่มาทีหลังตำหนิว่าไม่เหลือไว้ทำกับเขา บ้าง เงินไปไหนหมดบ้าง
จนบางครั้งอยากร้องไห้เพราะไม่อาจทำบุญทุกบุญได้ ครบ
ครั้งใดที่จัดงานบุญคืนก่อนวันงาน ทุกคนไปนอนกันหมด
ผมก็จะ ต้องอยู่ยามเฝ้าของทั้งคืนและจะไม่ได้นอนหรือทานอะไร
จนกว่าจะเก็บงานจน เสร็จซะก่อนซึ่งก็จะเกือบค่ำของอีกวัน
ไม่ใช่ไม่หิว แต่หากปลีกตัวไปก็ไม่มีใครมารับบุญแทน
ทีมอาหารก็มักจะลืมเก็บอาหารไว้ ให้ทุกที ต้องไปซื้อกินเองเรื่อย
บางทีเราซื้อมา น้องที่มาช่วยงานยังไม่อิ่ม ก็เลยให้เขาไป
แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ
ก็เลยเอารองเท้าให้น้องใส่
ส่วนเรา ก็เดินเท้าเปล่ารับบุญทั้งวัน
อีกครั้งหนึ่ง
หลวงพี่ชวน
ไป นั่งสมาธิที่ลานธรรม
(ปัจจุบันคือภาวนา60ปี)
เดินไปถึงตอน23.00นั่งไป ถึง02.00(ประมาณ)
แบบไม่มียากันยุงเพราะลืมเอาไป
อีกครั้งหนึ่ง
ทำ คล้ายๆสุเมธดาบสคือ
พิธีเลิกพระภิกษุและสาธุชนที่มาร่วมงาน
จะเดินไป ขึ้นรถที่ทิศเหนือธรรมกายเจดีย์
(ตอนนั้นยังเป็นลานทราย)
แต่ไปผิดทาง เลยเจอท้องร่องระบายน้ำออกจากเจดีย์
กว้างและลึกพอสมควรขวางทางอยู่
ผม จึงลงไปยืนในร่องนั้นคอยช่วยอุ้มพระภิกษุรัตตัญญู
และสาธุชนที่เป็น ส.ว.ข้ามร่องนั้นไป
อุ้มบ้าง,ประคองบ้าง ,ให้เดินไปบนต้นขาบ้าง
นานที เดียวกว่าจะข้ามได้หมด
แม้ว่าจะหลับบุญแบบอดหลับอดนอน
แม้ว่าจะยก ตระกร้าอาหารตักบาตรทีละ2-3ตระกร้า
(มีของเต็ม)เป็นเวลานานหลายปี
ร่าง กายผมกลับไม่มีอาการปวดหลัง
ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ล้า อย่างที่คนอื่นเป็นเลย
อย่างมากได้พักหายใจ2-3นาทีก็ลุยต่อได้
ขอ ให้ได้บุญเท่ากันทุกๆคนนะครับ
เดี๋ยวนึกออกจะมาเล่าต่อ
ติดน้ำทำศูนย์สาขา
ก็ บุกป่าฝ่าดงหามาได้3แปลง
แต่หลวงพี่ท่านได้ที่อื่นซะแล้ว
สรุปว่า เหนื่อยฟรี
ขอกราบอนุโมทนาทุกบุญกับคุณตำรวจนะคะ โดยเฉพาะวิริยบารมีค่ะ สาธู๊
นี่แหละ ลูกหลวงพ่อตัวจริง..!!!
ถ้าไง
ขอช่วยอีกบาีรมีเถิดค่ะ ไฟแดงหน้าวัดค่ะ ( ieie)
ขอกราบอนุโมทนาุบุญกับทุกท่านด้วยนะคะ
และขอเอาบุญชีวิตเป็นเดิมพันที่มีทั้งหมดมาฝากทุกท่านด้วยค่ะ
อาจจะมาเล่าเพิ่มอีกทีค่ะ
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ
สุนทรพ่อ