เหตุการณ์ ๔ ประการ ปรากฎพร้อมกันอย่างน่าอัศจรรย์ เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต”
ตรงกับวันเพ็ญเดือน ๓ ดิถีแห่งมาฆฤกษ์ ณ เวฬุวันมหาวิหาร พุทธสาวก ๑,๒๕๐ รูป ที่ได้ยาตราไปทั่วแค้วนแดนชมพูทวีป ต่างได้กลับมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ซึ่งล้วนแต่เป็น เอหิภิกขุอุปสัมปทา และต่างบรรลุธรรมเป็น พระอรหันต์ ผู้ได้ชื่อว่า ชนะแล้วในสมรภูมิชีวิต
ในวันนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทาน โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งถือเป็นหลักการ หรือ หัวใจของพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นแม่บทแก่พระอรหันตสาวกในการปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมะให้ขจรขยายออกไป และเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่ตราบนานเท่านาน
อุดมการณ์ของชาวพุทธ คือ เป้าหมายชีวิตอันแท้จริงของชาวพุทธ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เมื่อปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกด้วยแล้ว ยิ่งต้องตั้งหมายให้เด่นชัด เปรียบเสมือนการวางหางเสือเรือให้ดี ย่อมไปถึงที่หมายได้โดยย่อแล้วมี ๓ ประการ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม และการกลั่นจิตของตนให้ผ่องใส กระทำให้เจริญขึ้นได้ด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา นั่นเอง
ทุกครั้งเมื่อถึงวันเพ็ญเสวยมาฆฤกษ์ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่พระจันทร์งดงามที่สุดในรอบปี ชาวพุทธทุกถ้วนหน้าต่างรำลึกถึงความสำคัญของวันนี้เมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีมาแล้ว พร้อมใจกันน้อมบุปผามาลาและดวงประทีปถวายเป็นพุทธบูชา อุปมาเหมือนดวงประทีปแห่งธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานให้เป็นหนทางสว่างแก่ชาวโลก
การจุดประทีปถวายเป็นพุทธบูชานับเป็นอริยประเพณีที่สืบเนื่องติดต่อกันมานานกว่า ๒,๐๐๐ ปี เพื่อรวมพลังแห่งดวงใจที่เต็มเปี่ยมไปได้ด้วยศรัทธาอันบริสุทธิ์ พลังแห่งความเคารพเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายให้รวมในเบ้าหลอมเดียวกัน มีศูนย์รวมใจเป็นอย่างเดียวกัน ประหนึ่งว่าได้เข้าเฝ้าอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เหมือนเมื่อครั้งสมัยพุทธกาลในอดีต ดวงประทีปมาฆบูชานับแสนดวง สว่างไสวมองไปไกลสุดสายตาคล้ายดังทะเลเทียน ที่เราจะได้ร่วมกันจุดถวายเป็นพุทธบูชาในวันจันทร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ณ ลานมหาธรรมกายเจดีย์ ที่กำลังจะมาถึงนั้น ให้เรายังใจให้ชุ่มชื่นเบิกบานในบุญแล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า
..มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ฉันใด ขอให้ข้าพเจ้าไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ในการสร้างบุญบารมี ฉันนั้น
...ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ด้วยตระหนักดีว่า ไฟบรรลัยกัลป์แม้ลุกท่วมโลก ยังไม่ร้ายแรงเท่า ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ กิเลสร้ายที่แทรกซึม แทรกซ้อนเข้าไปทำลายดวงใจมนุษย์ทุกขณะจิต
...ความสว่างของดวงประทีป ดับความมืดมิดให้หมดสิ้นไปได้ ฉันใด ขอให้ดวงใจของข้าพเจ้าปรากฎแสงสว่างแห่งดวงปัญญา ดับความมืดมิดของอวิชชาให้หมดสิ้นไปได้ ฉันนั้น
นึกตั้งความปรารถนาควบคู่ไปกับการนึกดวงแก้วกลมใส หรือ องค์พระแก้วใส ให้สว่างไสว ณ ศูนย์กลางกายตลอดเวลา เมื่อใจของเราใส สะอาดบริสุทธิ์ดีแล้ว จึงเหมาะสมเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล ซึ่งจะเกิดจากการจุดมาฆประทีปถวายเป็นพุทธบูชาในครั้งนี้ ซึ่งจะมีมหาอานิสงส์ส่งผลให้เรามีความสุขไปทุกภพทุกชาติ มีรัศมีกายที่สว่างไสว ผิวพรรณวรรณะผุดผ่องใส สมดังพุทธพจน์ที่ว่า ทีปโท โหติ จกฺขุโท ผู้ให้ดวงประทีปโคมไฟ ชื่อว่า ให้จักษุ
มาร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในวันนี้ ที่ทรงโชนแสงแห่งธรรมส่องสว่างในดวงใจชนทั้งผอง ให้พ้นจากความมืดมิดแห่งอวิชชา ซึ่งปิดบังอำพรางเป้าหมายชีวิตอันสูงสุด ไม่อาจค้นพบความจริงของโลกและชีวิตมานานนับอสงไขยกัป เปลี่ยนความไม่รู้ ให้เป็น ความรู้ เปิดประตูสู่หนทางพระนิพพานที่ไม่มีวันย้อนกลับมาเวียนว่ายในวังวนแห่งทุกข์อีก ยังใจของมหาชนให้อิ่มเอิบ เบิกบาน ด้วยรสพระธรรม แล้วน้อมนำคำสอนอันประเสริฐเหล่านั้น มาปฏิบัติเพื่อเป็นธรรมนูญของชีวิตตลอดไป