ผลแห่งการถวายประทีปธรรม
ของพระสกุลาภิกษุณี
ของพระสกุลาภิกษุณี
***การบูชาในสิ่งที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด ย่อมมีอานิสงส์มากมาย เป็นการยกใจของตนเองให้สูงส่งขึ้น และสามารถยกใจของผู้อื่นได้อีกด้วย ผู้มีปัญญาเมื่อเห็นว่า บุคคลผู้นี้หรือสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้า เช่นพระเจดีย์ ก็มักที่จะแสวงหาสิ่งของมาเป็นเครื่องบูชา เป็นการแสดงถึงคุณธรรมคือความเคารพ ในคุณธรรมความดีของบุคคลนั้น ๆ พร้อมที่จะน้อมรับการชี้แนะ สั่งสอน หรือรับเอาความรู้จากบุคคลนั้น และเพื่อให้เกิดแรงจูงใจ กำลังใจที่จะทำความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป และเป็นอุบายนำพาตนเองให้ถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่พระนิพพานอันเป็นจุดหมายปลายทางของทุก ๆ ชีวิต
ผู้มีปัญญาในกาลก่อน เมื่อได้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงยกย่องสรรเสริญบุคคลใดแล้ว ก็มานึกว่าบุคคลผู้นี้ต้องมีคุณธรรมความดีหรือคุณวิเศษอะไรสักอย่าง จึงเป็นเหตุให้ได้รับการยกย่องจากพระองค์ท่ามกลางหมู่สงฆ์เช่นนี้ จึงตั้งใจประกอบคุณงามความดีสร้างบุญกุศลอันเป็นเหตุสนับสนุนให้ได้สมปรารถนา ดังเรื่องราวของพระนางสกุลาภิกษุณี ที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาอยากเป็นเลิศทางด้านตาทิพย์ ต่อหน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต มีปรากฏประวัติอยู่ในพระไตรปิฎก ดังนี้
ในเมืองหังสวดี มีหญิงคนหนึ่งนามว่า ขัตติยนันทนา มีรูปสวย รวยทรัพย์ เป็นที่พึงใจ มีสิริ เป็นพระธิดาของพระราชาผู้ใหญ่พระนามว่าอานันทะ งดงามอย่างยิ่ง เป็นพระภคินีต่างพระมารดาแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ห้อมล้อมด้วยราชกัญญาทั้งหลาย ประดับด้วยอาภรณ์อันงดงาม เข้าไปเฝ้าพระมหาวีรเจ้าปทุมุตตระ เมื่อได้เข้าไปเฝ้าพระมหาวีรเจ้าแล้วได้ฟังธรรมเทศนา ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งโลกพระองค์นั้นทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งให้เป็นผู้เลิศด้านมีทิพยจักษุท่ามกลางบริษัทสี่ นางขัตติยนันทนาได้ฟังพุทธพจน์นั้นแล้ว เกิดมีจิตใจร่าเริงแจ่มใส จึงได้ถวายทานและบูชาพระพุทธเจ้าแล้ว นางได้ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นผู้มีทิพยจักษุ เช่นภิกษุณีรูปนั้นบ้าง
ครั้งนั้น พระบรมศาสดาทรงทราบความปรารถนานั้น จึงตรัสกับนางว่า
“ดูก่อน ขัตติยนันทนา เธอจักได้ตำแหน่งที่ตนปรารถนา ตำแหน่งที่เธอปรารถนานี้เป็นผลแห่งการถวายประทีปธรรม ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนามว่า โคดม จักทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักได้เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิต จักเป็นพระสาวิกาของพระศาสดา มีนามว่า สกุลา”
ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้นและด้วยการตั้งเจตจำนงไว้ เมื่อนางขัตติยนันทนาละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพรหม มียศมาก ประเสริฐกว่าบัณฑิตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น นางเป็นปริพาชิกาประพฤติอยู่ผู้เดียว เที่ยวไปเพื่อแสวงหาอาหาร ได้น้ำมันมาน้อยหนึ่ง เกิดจิตเลื่อมใสศรัทธา เอาน้ำมันนั้นตามประทีปบูชาพระเจดีย์ชื่อ สัพพสังวร แห่งพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้น จึงตามส่งผลให้
เมื่อละจากมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยอำนาจบุญกรรมนั้น แม้ไปเกิดในที่ใด ๆ ประทีปเป็นอันมากก็สว่างไสวแก่ท่านในที่นั้น ๆ
ในการเกิดนั้น แม้ปรารถนาจะเห็นสิ่งที่นอกฝา หรือสิ่งที่อยู่นอกภูเขาศิลา ก็เห็นได้ทะลปรุโปร่ง การมีตาทิพย์เช่นนี้ก็เกิดจากอานิสงส์ของการถวายประทีป ทำให้ท่านมีนัยน์ตาแจ่มใส รุ่งเรืองด้วยยศ มีศรัทธา มีปัญญา นี้ก็เป็นผลแห่งการถวายประทีป
ในภพที่เกิดในสกุลพราหมณ์ อันมีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย มหาชนยินดี พระราชาทรงบูชา ในครั้งนั้น นางเป็นผู้มีอวัยวะทั้งปวงประดับด้วยอาภรณ์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง ได้เห็นพระสุคตเจ้าเสด็จเข้าไปในเมืองทรงรุ่งเรืองด้วยยศ อันเทวดาและมนุษย์สักการบูชา ทรงสมบูรณ์ด้วยพระอนุพยัญชนะลักษณะมหาบุรุษทั้งหลาย ก็มีจิตเลื่อมใสโสมนัส พอใจบรรพชา ครั้นได้บรรพชาแล้วไม่นานนัก ก็ได้บรรลุอรหัตผล
ท่านมีความชำนาญในฤทธิ์และทิพยโสตธาตุ รู้วาระจิตของผู้อื่น เป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพยจักษะอันหมดจดวิเศษ ยังอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ หมดมลทินด้วยดี
ท่านบำรุงพระศาสดาแล้ว ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ปลงภาระอันหนังลงได้แล้ว ถอนตัณหาอันนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว บรรลุถึงประโยชน์คือธรรมเป็นที่สิ้นสังโยชน์ทั้งปวง ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว
“พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณา ผู้อุดมกว่านรชน ทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า สกุลาภิกษุณี เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ฝ่ายที่มีทิพยจักษุ”