พระกับสตรี
#31
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:58 PM
#32
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 01:33 AM
โออ ไม่เคยทราบเลยนึกว่า เว้นวรรค แล้วบวชได้อีก แบบว่าหลังจากสำนึกได้แล้ว
แล้วสมมุติว่า มีคนประสงค์ร้ายกับพระสงฆ์อย่างเช่น แผนนารีพิฆาต ใส่ยาให้ท่านดื่มแล้วท่านเกิดไปเสพกาม จนต้องอาบัติปาราชิก ตายแล้วลงอเวจีนรกเลยเหรอค่ะ
ช่วยขยายความหน่อยค่ะ
การปวงอาบัติที่ว่านี่ ทำอย่างไรหรือค่ะ ต้องสารภาพต่อหน้าพระสงฆ์องค์อื่น อย่างนี้เหรอค่ะ
น้าจี้
#33
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 02:24 AM
หากเขาผู้นั้นจะกลับมาบวช เขาสามารถบวชได้เพียงแค่สามเณรเท่านั้น แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้อีกต่อไปครับ
ผมต้องขอย้อนถามด้วยเช่นกันว่า จริงอยู่แม้ว่าท่านจะถูกวางยา แต่ท่านจะไม่รู้ตัวเทียวหรือครับว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่? (เพราะคนเมานั้น หาได้หมดความรู้สึกรับรู้ทางกายและทางอารมณ์ไปเสียทุกส่วนเหมือนกับคนที่หลับลึกนะครับ) เพราะฉะนั้นกรณีนี้ลงอเวจีมหานรกครับ เพราะเป็นการกระทำโดยเจตนาแบบขาดสติ กรณีนี้ก็คล้ายกับกรณีของการดื่มเหล้าจนเมามายแล้วขับรถไปชนคนตายด้วยความประมาทนั่นแหละครับ
สำหรับกรณีของพระภิกษุที่เสร็จกิจจากการไปอยู่ปริวาสแล้วต้องเข้าสังฆกรรมด้วยการประจานตนเองในท่ามกลางสงฆ์นั้น เป็นวิธีการปลงอาบัติของภิกษุที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแต่เพียงเท่านั้นครับ อธิบายว่า อาบัติสำหรับพระภิกษุนั้น มีหลักๆ อยู่ด้วยกัน ๗ กอง ได้แก่ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ นิสสัคคียปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ-ทุพภาสิต ซึ่งอาบัติอันเป็นครุกาบัติ (อาบัติหนัก) คือ อาบัติปาราชิกและสังฆาทิเสส ส่วนอาบัติที่เหลืออีก ๕ กองนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นลหุกาบัติ (อาบัติเบา) ทั้งสิ้น ซึ่งอาบัติเบานี้มีวิธีการปลงอาบัติโดยการปลงแบบคู่ ใน ๑ คู่จะประกอบไปด้วยภิกษุผู้มีพรรษามากกว่าหรือเป็นผู้บวชก่อน เรียกว่า "ภันเต" ส่วนภิกษุที่เป็นผู้มีพรรษาน้อยกว่าหรือเป็นผู้บวชในภายหลังนั้น เรียกว่า "อาวุโส" จากนั้นจึงเริ่มทำการปลงอาบัติโดยฝ่ายของภิกษุผู้อาวุโสจะเป็นผู้บอกอาบัติให้แก่ภิกษุผู้เป็นภันเตก่อน จากนั้น เมื่อภิกษุผู้อาวุโสได้บอกอาบัติเป็นภาษาบาลีแก่ภิกษุผู้ภันเตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภิกษุผู้ภันเตจึงจะกล่าวคำบอกอาบัติเป็นภาษาบาลีแก่ภิกษุผู้อาวุโสเป็นอันเสร็จพิธีครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#34
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 10:37 AM
ช่วยขยายความหน่อยค่ะ
สำหรับที่มาของพระวินัยเรื่องการขาดครองข้อนี้ เกิดขึ้นจากพระฉัพพัคคีย์ทำผ้าจีวรหาย แล้วชาวบ้านติเตียนว่า สิ่งของแค่นี้พระภิกษุยังดูแลไม่ได้ พระพุทธองค์เลยบัญญัติสิกขาบทข้อนี้ขึ้น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ผ้าไตรจีวรประกอบด้วย จีวร สบง สังฆาฏิ และผ้าไตรจีวรของพระมี ๒ ประเภท คือ
๑. ผ้าครอง พระภิกษุ ๑ รูปจะมีผ้าครองเพียง ๑ ชุด
๒. ผ้าอาศัย พระภิกษุ ๑ รูปมีได้มากกว่า ๑ ชุด
พระวินัย บัญญิติให้พระภิกษุต้องรักษาไตรจีวรครองให้อยู่ในช่วง ๑ หัตถบาทในระหว่างเวลาที่อรุณขึ้น มิฉะนั้น ปรับเป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์
แปลเป็นภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ คือ ช่วงที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นจากขอบฟ้า ผ้าไตรจีวรครองทั้งสำรับจะต้องอยู่กับพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของในระยะ ๑ ช่วงแขนเอื้อมถึง ถ้าพ้นจาก ๑ ช่วงแขนเอื้อมถึงในช่วงพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นซึ่งกินระยะเวลาประมาณ ๑๐-๑๕ นาทีแม้ชั่วพริบตาเดียว พระภิกษุนั้นต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เรื่อง การขาดครอง
การขาดครองนั้น ไม่มีกรณียกเว้น แม้ภิกษุจะนำผ้าครองไปซักในช่วงกลางคืนก็ตาม ก่อนช่วงอรุณขึ้นก็ต้องนำไตรครองทั้งสำรับมาเก็บไว้กับตัว แต่ถ้าผ้าครองไม่แห้ง ก็ต้องไปยืนเฝ้าผ้าครองที่ลานตากผ้าในช่วงเวลาอรุณขึ้น จนกระทั่งเลยช่วงระยะเวลาอรุณขึ้น คือ ประมาณ ๑๕ นาทีไปแล้ว จึงจะสามารถผละ ละจากผ้าครองที่ตากอยู่ไปทำกิจอย่างอื่นได้ แล้วค่อยย้อนมาเก็บผ้าเมื่อผ้าแห้งแล้วในภายหลังได้ครับ
จุดประสงค์ของพระวินัยข้อนี้ก็เพื่อให้ภิกษุมีความรับผิดชอบต่อสิ่งของของตนครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#35
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 05:52 PM
ครับ สมัยนี้ต้องมีสรรเสริญด้วย เพราะว่าพระพุทธศาสนาเพิ่มมีการปลอมปนแล้ว
หลักธรรมที่แท้จริง เสื่อมไป ปฏิบัติเข้าถึงจริง ๆ ได้ยากมาก ต้องมาแสวงหาความจริงกันใหม่
เช่น เรื่อง มิจฉาสมาธิ และ สัมมาสมาธิ ปะปนกันจนดูไม่ออก เพราะมันเสื่อมจากภายในนี่เอง
ภายนอกก็เป็นปัจจัยเสริม
#36
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 06:55 PM
เป็นความรู้ใหม่ ขอบคุณค่ะ
นุ่งห่มให้เรียบร้อยเป็นการสร้างศรัทธาแก่สาธุชนตั้งแต่รุ่งอรุณกันเลยทีเดียว
สาธุ
จำเป็นมากๆค่ะ
โอออ ขอบคุณทั้ง 2 ท่านมากๆค่ะ ไม่เคยรู้ลึกซึ้งขนาดนี้มาก่อนเลย
แล้วผ้าครองกับผ้าอาศัยต่างกันอย่างไรค่ะ พระพุทธองค์ท่านอนุญาติให้พระสงฆ์มีไว้ในครอบครองได้ทั้งหมดกี่ชุดค่ะ
#37
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 11:07 PM
๓ ผืน คือ สบง จีวร สังฆาฏิ ๒ ชุด ได้แก่
๑. ผ้าครอง พระภิกษุ ๑ รูป สามารถมีผ้าครองได้เพียง ๑ ชุด
๒. ผ้าอาศัย พระภิกษุ ๑ รูป สามารถมีผ้าอาศัยได้มากกว่า ๑ ชุด
เพราะฉะนั้นสรุปว่า "๓ ผืน ๒ ชุด" ครับผม
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#38
โพสต์เมื่อ 20 July 2006 - 01:16 PM
น้าจี้
#39
โพสต์เมื่อ 23 July 2006 - 12:49 PM
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#40
โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 02:32 PM
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง
#41
โพสต์เมื่อ 05 October 2006 - 03:36 PM
#42
โพสต์เมื่อ 07 October 2006 - 11:59 AM
#43
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 06:37 PM
ผมต้องขอย้อนถามด้วยเช่นกันว่า จริงอยู่แม้ว่าท่านจะถูกวางยา แต่ท่านจะไม่รู้ตัวเทียวหรือครับว่าท่านกำลังทำอะไรอยู่? (เพราะคนเมานั้น หาได้หมดความรู้สึกรับรู้ทางกายและทางอารมณ์ไปเสียทุกส่วนเหมือนกับคนที่หลับลึกนะครับ) เพราะฉะนั้นกรณีนี้ลงอเวจีมหานรกครับ เพราะเป็นการกระทำโดยเจตนาแบบขาดสติ กรณีนี้ก็คล้ายกับกรณีของการดื่มเหล้าจนเมามายแล้วขับรถไปชนคนตายด้วยความประมาทนั่นแหละครับ
ไม่มั้งครับ เจตนาเป็นตัวกรรมไม่ใช่เหรอ
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#44
โพสต์เมื่อ 08 October 2006 - 10:12 PM
อึ้ง และ ทึ่ง มากๆๆๆๆ เลยค่ะ กับความ รอบรู้ และ รู้รอบ ของท่านทั้งสอง
ขออนุโมทนากับธรรมทานนี้ด้วยนะคะ สา...ธุค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#45
โพสต์เมื่อ 11 January 2007 - 09:16 AM
อาจไม่ต่อยตรงกับคำถามเท่าไร
แต่ไม่อยากตั้งเป็นกระทู้ใหม่
คือ อยากให้ช่วยกัน
เพราะ เราอยู่ได้ก็ด้วยพระเป็นที่พึ่ง
พระอยู่ได้ ก็เพราะเราถวายทาน
อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย รวมทั้งสาธุชนด้วย
ต้องช่วยกันให้พระเณรท่านได้อยู่ในเพศสมณะให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
ในไทยผมไม่ทราบ แต่ในต่างประเทศนั้นเห็นได้บ่อย
คือ สีกาไม่ค่อยสำรวม โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกาย
ยิ่งช่วงที่ศูนย์สาขาเข้าไปใหม่ ๆ นั้น
ต้องใช้เวลาปรับกันนานพอสมควร
อีกเรื่องคือ ตอนนี้ คุณครูไม่ใหญ่จัดสอบทางก้าวหน้าระดับประชาชน
ถ้าจะให้พระท่านติวให้ ก็ขอให้ตั้งใจเรียนจากท่านให้มาก
ใช้เวลาให้น้อยที่สุด เพราะท่านก็มีภารกิจ
และควรติวเป็นกลุ่มนะครับ ไม่ควรสองต่อสอง
เพราะเคยมีมาแล้วว่า สีกาสอบได้นักธรรม
แต่ติวเตอร์น้องสึก ตอนนี้ไม่ทราบว่ายังอยู่ด้วยกันหรือเปล่า
น่าเสียดายมากเพราะกว่าท่านจะได้มีโอกาสบวชนั้นยาก
ถ้าหากข้อคิดเห็นของกระผม
ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใด
เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
#46
โพสต์เมื่อ 17 March 2007 - 01:25 AM
ในฐานะที่เกิดเป็นผู้หญิง เราควรเตรียมตัวให้ดีให้ถูกต้องไว้ก่อนค่ะ
แล้วอธิษฐานว่าเมื่อเราเกิดเป็นชายได้บวช อย่าได้เจอสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องจากผู้หญิงเลย
จากประสบการณ์การที่ได้เป็นอาสาสมัครช่วยงานวัด ได้ประสานงานกับพระอาจารย์
ซึ่งในช่วงต้นเราก็ต้องแสดงความเคารพ สำรวมกับท่านอยู่มาก ซึ่งยังอาจจะดูเกร็งๆอยู่
แต่เมื่อได้ร่วมงานเป็นประจำและไม่มีฝ่ายใดเลยที่คิดในทางที่ไม่ดีหรือผิดอะไร ตั้งใจรับงานบุญ
ก็จะคุยกันในเรื่องงานบุญอย่างสบายๆมากขึ้น พระอาจารย์มอบหมายงานให้ต่อเนื่อง
ท่านพูดกับเราในเรื่องงานอย่างเปิดได้ละเอียดมากขึ้น แล้วท่านก็มีคำแนะนำแบบสบายๆเมตตาๆ
คำทักทายของพระอาจารย์ก็จะเกิดขึ้นพร้อมกับความผ่องใส มีคำขมด้วยเมตตาที่เราทำงานได้เสร็จด้วยดี
ซึ่งทำให้เรารู้สึกสบายใจ ว่าเราทำดี ไม่ได้เป็นนารีพิฆาต หรือสิ่งที่น่ากลัวอะไรกับท่านเลยค่ะ
ฉะนั้นความระมัดระวังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง และฝึกหัด ปรับตัวให้ได้ในช่วงแรก
เราต้องมีความเคารพต่อพระอาจารย์ด้วยมัทวัง แต่ไม่ใช่ด้วยมายา จริตผู้หญิงค่ะ
มีแต่ความตั้งใจที่จะรับงานบุญ และสร้างบารมีของเรา ซึ่งตรงนี้พระอาจารย์ท่านจับออกค่ะ
แล้วความถูกต้อง ความสบายใจของทุกฝ่ายก็จะเกิดตามมาค่ะ ความสร้างสรรค์ในการประสานงานก็เกิดขึ้น
ทีนี้เราก็จะได้รับมอบงานบุญเพิ่มจากท่าน แล้วเราจะได้บ่มบารมีของเราให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้นไงคะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#47
โพสต์เมื่อ 15 May 2008 - 06:17 PM
#48
โพสต์เมื่อ 11 June 2008 - 06:58 PM
น่าปลื้มที่มีเหล่ากัลยาณมิตร และพี่เลี้ยงอย่างคุณไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี
เห็นแผน นารีพิฆาต แล้วออกเป็นห่วงพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะรูปที่ท่านมีคุณประโยชน์ เป็นที่น่านับถือมากๆ จะเป็นเป้าของคนพวกนี้
ซึ่งคงมีทั้งเหตุที่จะให้ด่างพร้อยทางศาสนา
และต้องการขู่กรรโชกทรัพย์ จากการแบลกเมล์
ถ้าท่านเหล่านั้นไม่ทราบ ท่านก็คงไม่ทันระวังตัว ระวังองค์ท่าน
ถ้าทราบ ก็เกรงจะอยู่ด้วยความระแวง แม้อาหารที่ขบฉัน
เฮ้อ...กลุ้ม
เป็นหู เป็นตา ช่วยกันดูแลแล้วกันนะ