ทำบุญกับพระปลอมขึ้นสวรรค์ ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก
#1
โพสต์เมื่อ 15 November 2008 - 03:12 PM
แต่ในใจคนทำนั้นคิดว่าเป็นพระจริง คนทำบุญได้ขึ้นสวรรค์
ส่วนอีกคนทำบุญกับพระอรหันต์ แต่ในใจคิดว่าเป็นพระปลอมหรือเปล่า
คนทำบุญคนนี้กลับตกนรก
ใครทราบบ้างว่าเรื่องนี้ หรือเนื้อหาใกล้เคียง อยู่ในพระไตรปิฏกเล่มไหน บทไหน
#2
โพสต์เมื่อ 15 November 2008 - 04:18 PM
(ผมหัดฝัน ขออภัยนะครับ ที่ต้องลบ Link ออก เพราะข้อความใน Link ในส่วนท้ายๆ อาจจะไม่มีในพระไตรปิฎก เกรงว่าจะทำให้เข้าใจผิดพลาดกันภายหลังได้ครับ)
#3
โพสต์เมื่อ 15 November 2008 - 06:10 PM
#4
โพสต์เมื่อ 15 November 2008 - 07:39 PM
แต่ว่าอยากได้ที่มาว่า เป็นเรื่องเล่าหรือว่ามีในพระไตรปิฏกจริงๆ
ถ้าอยู่ในพระไตรปิฏกอยู่ตรงไหน
#5
โพสต์เมื่อ 15 November 2008 - 08:40 PM
#6
โพสต์เมื่อ 16 November 2008 - 07:21 AM
#7
โพสต์เมื่อ 16 November 2008 - 09:31 AM
พอจะหาที่มา และ แหล่งอ้างอิง ได้ดังนี้ค่ะ
ทานที่ให้ผลมาก และเรื่องของ "เศรษฐีผู้อยู่ในนรก"
ทานที่ให้ผลมากนับประมาณไม่ได้
ในข้อนี้จะเห็นได้ว่า เจตนาในการให้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบุญจะได้มากหรือได้น้อย ในบางครั้งบุคคลผู้มีเจตนาดีทำบุญกับคนทุศีลได้ไปสวรรค์ บุคคลผู้มีเจตนาเสียไปทำบุญกับพระอรหันต์กลับตกนรก เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ลองมาศึกษากรณีต่อไปนี้
......พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ใน ฉฬังคทานสูตร จตุตถวรรคแห่งปฐมปัณณาสก์ อังคุตตรนิกาย ว่า
" ภิกษุทั้งหลาย ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ คือ
องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง
องค์ของผู้รับ ๓ อย่าง
องค์ของผู้ให้ ๓ อย่าง ( เจตนา ๓ ) คือ
๑. ก่อนให้ก็ดีใจ
๒. กำลังให้ก็มีใจผ่องใส
๓. ครั้งให้เสร็จแล้วมีความเบิกบานใจ
องค์ของผู้รับ ๓ อย่าง คือ
๑. เป็นผู้ปราศจากราคะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีราคะ
๒. เป็นผู้ปราศจากโทสะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโทสะ
๓. เป็นผู้ปราศจากโมหะ หรือปฎิบัติเพื่อความไม่มีโมหะ
ทานที่ประกอบด้วยคุณลักษณะ ๖ ประการนี้ เป็นบุญใหญ่ นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ยิ่งใหญ่นัก
เหมือนน้ำในมหาสมุทร นับหรือคำนวณไม่ได้ว่ามีขนาดเท่าใด ทานที่พรั่งพร้อมด้วยคุณลักษณะเหล่านี้
ย่อมเป็นที่หลั่งไหลแห่งบุญ หลั่งไหลแห่งกุศล นำความสุขมาให้ให้อารมณ์เลิศด้วยดี มีวิบากเป็นสุข
เป็นไปพร้อมเพื่อการเกิดขึ้นในสวรรค์ ( มีบุญที่สะสมไว้ดีแล้ว มากพอที่จะเกิดในสวรรค์ )
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ "
.......ดังนั้น ถ้าเราต้องการทำทานให้ได้บุญมาก ให้เกิดบุญอย่างจะนับจะประมาณไม่ได้ ก็ควรที่จะประกอบเหตุแห่งทานให้ครบองค์ ๖ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ข้างต้น ในองค์ ๖ ที่กล่าวมานั้น เป็นส่วนของผู้ให้ ๓ อย่าง เป็นส่วนของผู้รับ ๓ อย่าง ถ้าเราได้ผู้รับที่ดี แต่เจตนาเราไม่ดี บุญย่อมหกย่อมหล่นไปแต่ถ้าเจตนาเราดี บุญย่อมเกิดขึ้นเต็มที่
ในข้อนี้จะเห็นได้ว่า เจตนาในการให้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าบุญจะได้มากหรือได้น้อย ในบางครั้งบุคคลผู้มีเจตนาดีทำบุญกับคนทุศีลได้ไปสวรรค์ บุคคลผู้มีเจตนาเสียไปทำบุญกับพระอรหันต์กลับตกนรก เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ลองมาศึกษากรณีต่อไปนี้
พระราชาทำบุญกับคนทุศีล
.......สามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นคนยากจนมาก หาเลี้ยงชีพด้วยการขอทาน เดินทางมาอาศัยอยู่ที่ศาลาแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกกำแพงเมือง ในขณะที่พักอยู่นั้น ภรรยาซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ เกิดอาการแพ้ท้อง อยากจะบริโภคอาหารที่พระราชาเสวย จึงอ้อนวอนสามีให้ไปหามาให้ บอกว่าหากมิได้บริโภคอาหารที่ต้องการนี้จะต้องตายเป็นแน่แท้ ฝ่ายสามีผู้มีกรรมทนคำอ้อนวอนต่อไปไม่ไหว และเกรงว่านางจักตาย จึงคิดอุบายปลอมตัวเป็นพระภิกษุ และด้วยความที่ปลอมตัวมาใหม่ๆ จึงระมัดระวังตัวมาก ดูเหมือนเป็นผู้สำรวม เดินอุ้มบาตรไปในพระราชวัง เพื่อรับบิณฑบาต
ขณะนั้นเป็นเวลาที่พระราชาจักเสวยพระกระยาหารพอดี เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระภิกษุเดินด้วยกิริยาอาการสำรวมมากเช่นนั้น ทรงจินตนาการว่า " ภิกษุนี้มีกิริยาอาการสำรวมน่าเลื่อมใสเป็นหนักหนา คงเป็นพระที่ทรงคุณวิเศษสักอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแม่นมั่น " จึงเกิดพระราชศรัทธา ทรงนำพระกระยาหารอันเลิศรสที่จะเสวยใส่ลงในบาตรจนหมด ด้วยจิตที่เลื่อมใสยิ่ง
เมื่อพระภิกษุปลอมรับอาหารแล้วเดินจากไป ด้วยความเลื่อมใสอันมีอยู่มากมายในพระทัยของพระราชาจึงรับสั่งอำมาตย์คนสนิทให้รีบสะกิดรอยตามไป เพื่อให้รู้ว่าพระท่านมาจากไหน จะไปพักที่ไหน เพื่อว่าวันต่อไปจะนิมนต์มารับบาตรในพระราชวังอีก
.......ฝ่ายพระภิกษุปลอมนั้น เมื่อได้อาหารเต็มบาตรสมความปรารถนาแล้วก็ดีใจ รีบเดินไปจนสุดกำแพงพระราชวังเมื่อเห็นว่าปลอดผู้คนแล้ว จึงเปลื้องจีวรและสบงออกเป็นเพศคฤหัสถ์ตามเดิม แล้วนำเอาพระกระยาหารนั้นไปให้ภรรยาแพ้ท้องบริโภคตามความประสงค์
อำมาตย์ซึ่งสะกดรอยติดตามมาได้เห็นพฤติการณ์นั้นโดยตลอด ก็บังเกิดความตกใจและสังเวชใจคิดว่ามาเจอคนที่ปลอมตัวเป็นพระเสียแล้ว นี่ถ้าหากพระราชาทรงทราบเรื่องนี้เข้าจะต้องเสียพระทัยเป็นอย่างมากและผลบุญที่ได้ก็จะตกหล่นไป เพราะอปราปรเจตนา คือ เจตนาหลังจากที่ให้แล้วไม่สมบูรณ์ เมื่อคิดดังนี้แล้วก็เดินทางกลับไปเฝ้าพระราชา
พระราชาจึงตรัสถามว่า " ได้ความว่าอย่างไร บอกมาเร็วๆ พระนั้นอยู่วัดไหน ? " อำมาตย์จึงใช้กุศโลบายเพื่อรักษาศรัทธาของพระราชาไว้ กราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าได้สะกดรอยตามพระรูปนั้นไป จนออกนอกกำแพงพระราชวัง พอตามไปสุดพระราชวังโน้น ท่านก็หายวับไปทันที "( ในที่นี้หมายถึงหายจากความเป็นพระกลายเป็นคฤหัสถ์ไป )
พระราชาได้ฟังดังนั้นทรงโสมนัสมาก มิได้ซักความเพิ่มเติมอีก ทรงคิดเอาเองว่า " บุญของเราแท้ๆ ที่ได้ถวายทานแด่พระอรหันต์ทรงคุณวิเศษ ท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ ปาฎิหาริย์หายตัวได้ทานที่ได้ถวายท่านในวันนี้มีอานิสงส์มาก เป็นทานที่ประเสริฐอย่างแน่ๆ " พระราชาทรงบังเกิดความปีติเบิกบานใจในบุญที่ได้ทำเป็นยิ่งนัก
พระราชาพระองค์นี้มีเจตนาทั้ง ๓ ระยะครบบริบูรณ์ และมีความเข้าใจว่าปฎิคาหกสมบูรณ์ด้วยองค์ ๓
ผลบุญที่ได้จึงมากมาย ส่งผลให้พระราชาเมื่อถึงคราวสวรรคตแล้ว ได้ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ยิ่งถ้าหากพระรูปนั้นเป็นพระจริง และปฎิบัติตามองค์ของผู้รับ ๓ ได้อย่างสมบูรณ์ ผลบุญที่พระราชาได้จะมากมายมหาศาลยิ่งขึ้น เพราะทำทานครบองค์ ๖ ซึ่งจะให้ผลมากนับประมาณมิได้
ส่วนข้อที่ว่า ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วตกนรกนั้น มีเรื่องเล่าดังนี้
อปุตตกเศรษฐี
........ในอดีตกาล ครั้งเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี มีเศรษฐีผู้หนึ่งไร้ความศรัทธา ทั้งตระหนี่เหนียวแน่นแสนหนักหนา อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเศรษฐีจะไปเข้าเฝ้าพระราชา ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า ตครสิขี กำลังเที่ยวบิณฑบาตอยู่ เกิดใจดี จึงสั่งคนรับใช้ให้นิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้า ไปรับอาหารที่บ้านของตน แล้วรีบรุดไปเฝ้าพระราชา ส่วนคนรับใช้นั้น เมื่อนำพระปัจเจกพุทธเจ้าไปถึงเรือนของเศรษฐีแล้วจึงบอกกับภรรยาเศรษฐีตามคำสั่งที่ได้รับมาทุกประการ
ฝ่ายภรรยาผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในการทำบุญอยู่แล้ว พอได้ยินคำนั้นก็ดีใจว่า " เป็นเวลานานทีเดียว กว่าที่เราได้ยินคำว่า ทำบุญถวายทาน จากปากของเศรษฐี ความตั้งใจของเราจะเต็มเปี่ยมในวันนี้ เราจักได้ถวายทาน " นางจึงรีบจัดแจงโภชนาหารอันประณีตครบทุกอย่าง แล้วได้ถวายอาหารอันประณีตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นั้น ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้าพอรับอาหารแล้วก็เดินจากไป ด้วยสีหน้าเบิกบานผ่องใสเป็นปกติ
เศรษฐีครั้นเฝ้าพระราชากลับมาแล้ว ได้สวนทางกับพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มีความเข้าใจว่าท่านคงรับบิณฑบาตที่บ้านตนมาแล้ว จึงดูยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้สงสัยว่าจะต้องมีอาหารอะไรพิเศษแน่ ว่าแล้วก็ขอดูในบาตร ครั้นเห็นอาหารในบาตรมีความประณีตมาก จึงเกิดความร้อนใจเสียดายขึ้นมา แล้วคิดในใจว่า " ให้พวกทาสหรือกรรมกรกินอาหารนี้ยังดีกว่า เพราะพวกเขากินแล้วจะทำการงานให้เราได้ ส่วนสมณะนี้เมื่อบริโภคอาหารอันประณีตนี้แล้วก็มิได้ทำการงานใด อาหารที่เราถวายไปจะเปล่าประโยชน์ " เมื่อคิดอย่างนี้จึงไม่อาจจะรักษาเจตนาระยะสุดท้ายให้บริบูรณ์ได้
.......อีกคราวหนึ่ง เศรษฐีได้ฆ่าหลานชายคนหนึ่งของตน ( พ่อของหลานชายเป็นพี่ชายได้ไปบวชเป็นดาบส )เพราะความโลภในสมบัติ เนื่องจากหลายชายชอบพูดว่า " ยานพาหนะนี้เป็นของพ่อฉัน โคนี้เป็นของอา "พอเศรษฐีได้ยินคำนี้จึงโกรธ เกิดความริษยาและคิดว่า " ตอนนี้หลานยังเล็กอยู่ ยังพูดถึงขนาดนี้ ถ้าโตขึ้นจะไม่พูดถึงสมบัติยิ่งกว่านี้หรือ " จึงลวงหลานไปในป่า แล้วฆ่าทิ้งเสีย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเล่าบุพกรรมนี้ให้แก่พระเจ้าปเสนทิโกศลทราบ แล้วตรัสว่า " มหาบพิตร ด้วยผลแห่งกรรมที่เศรษฐีได้ถวายบิณฑบาตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ทำให้ได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๗ ครั้ง และผลที่เป็นเศษกรรมทำให้เข้าถึงความเป็นเศรษฐี ๗ ครั้ง
ผลกรรมที่ถวายทานแล้วร้อนใจ เสียดายในภายหลัง ( กระแสกิเลสบังคับใจให้คิดตระหนี่ถี่เหนียว ) ทำให้จิตใจของเศรษฐีนั้นไม่น้อมไปเพื่อบริโภคอาหาร เพื่อใช้เครื่องนุ่งห่ม เพื่อใช้ยานพาหนะ เพื่อความสุขสบายอย่างเต็มที่ ( คือไม่สามารถใช้สมบัติที่ตนมีอยู่ได้อย่างเต็มที่ และความสุขที่จะได้จากสมบัตินั้นก็ไม่เต็มบริบูรณ์ )
ด้วยกรรมที่เศรษฐีนั้นฆ่าหลานชายจึงเข้าถึงอบายภูมิเป็นเวลานาน ผลที่เป็นเศษกรรมทำให้ถูกยึดสมบัติเข้าพระคลังหลวง ดูก่อนมหาบพิตร ด้วยว่าบุญเก่าของเศรษฐีหมดแล้ว และบุญใหม่ก็ไม่ได้สั่งสมไว้ดังนั้นในวันนี้เศรษฐีนั้นจึงยังอยู่ในมหาโรรุวนรก "
พระศาสดาตรัสว่า " มหาบพิตร บุคคลผู้มีปัญญาทรามได้โภคะแล้ว ย่อมไม่แสวงหาพระนิพพาน อนึ่ง ตัณหาเกิดขึ้นเพราะอาศัยโภคะทั้งหลาย ย่อมฆ่าคนเหล่านั้นตลอดกาลนาน "
.......ฉะนั้นบุญที่ได้ถวายทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ มีองค์แห่งผู้รับครบทั้ง ๓ ประการแล้ว
ถ้าผู้ให้รักษาเจตนา ๓ ได้ครบด้วย จะเกิดผลบุญอย่างจะนับจะประมาณไม่ได้ และบุญส่งต่อไปให้มีความสุข
ต่อเนื่องตลอดไป ดังเรื่องที่เล่านี้ เศรษฐีได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นเนื้อนาบุญที่เลิศ ที่บริสุทธิ์ แต่ไม่รักษา
เจตนาให้บริบูรณ์ โดยเฉพาะเจตนาระยะสุดท้าย คือ เกิดความร้อนใจ เสียดายทรัพย์ ไม่สามารถตัดความตระหนี่
ขาดจากใจ บุญจึงหกหล่นไป ส่งผลไม่บริบูรณ์ ไม่เต็มที่ และบุญที่จะส่งต่อเกื้อกูลให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไปก็ไม่มี
ทั้งยังมีใจที่โลภ ริษยา จึงเป็นเหตุให้ฆ่าหลานชาย และต้องตกนรกไปในที่สุด
.......บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุผล ๒ อย่าง คือ
ความตระหนี่ ๑
ความประมาท ๑
บัณฑิตผู้รู้แจ้งเมื่อต้องการบุญ พึงให้ทานแท้
คนผู้ตระหนี่กลัวความยากจน จึงไม่ให้อะไรๆแก่ผู้ใดเลย ความกลัวยากจนนั่นแหละจะเป็นภัยแก่ผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัวความอดอยาก ข้าว น้ำ ความกลัวนั่นแหละจะกลับมาถูกต้องคนพาล ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงครอบงำมลทิน กำจัดความตระหนี่เสียแล้ว พึงให้ทานเถิด
เพราะบุญย่อมเป็นที่พึงของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า
....( ๔๒ / ๔๒๕ พิลารโกสิชาดก )
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#8
โพสต์เมื่อ 16 November 2008 - 06:18 PM
#9
โพสต์เมื่อ 16 November 2008 - 07:15 PM
นักเรียนอนุบาล koonpatt
สำหรับข้อมูลที่แบ่งปัน
#10
โพสต์เมื่อ 16 November 2008 - 09:07 PM
สรุปได้ว่า เขาตกนรกเพราะ " ฆ่าหลาน "
ไม่ใช่ตกนรกเพราะ " เสียดายที่ทำบุญ "
ดังนั้น คำพูดที่ว่า " ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก " จึงเป็นคำพูดที่ " ไม่ถูกต้องและผิดจากเนื้อหาสาระความเป็นจริงอย่างที่สุดและบาปอย่างมหันต์ด้วย " ที่เอาพระอรหันต์มาเล่นคำสัมผัสคล้องจองอย่างผิดๆ ผิดอย่างยิ่งยวดอย่างถึงแก่นของสาระ
อย่าสักแต่ว่า " กลอนพาไปด้วยความคึกคะนองใจและปาก อย่างผิดๆ "
แม้ได้ยินจากคนอื่นมา ก็ไม่ควรพูดต่อๆกันไป"โดยไม่เป็นประโยชน์"
ลองคิดถึงอนาคตดูว่า มันจะกลายเป็นคำพูดติดปากคนทั่วไป เหมือน " ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป "
แล้วคนทั่วๆไปก็จะ " เชื่ออย่างยิ่ง " ในคำพูดติดปากทั้งหลาย
นานวันไป คนก็จะคุ้นเคยกับ " ทุภาษิต "
และเพราะ " ความคุ้นเคยเป็นญาติอย่างยิ่ง "
" ทุภาษิต " ก็จะกลายเป็น " สุภาษิต "
จะยกตัวอย่าง " ทุภาษิตทั้งหลาย " เช่น
" แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร "
" ช่วยไม่ได้ มือใครยาวสาวได้สาวเอาซิวะ "
" ไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินลงโทษ "
" ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ "
" ดื่มเหล้าเพื่อเข้าสังคม ไม่เป็นไร "
ฯลฯ
เห็นและรู้สึกกันหรือยังว่า " ทุภาษิต " กำลังจะกลายเป็น " สุภาษิตในชีวิตประจำวันของคนทั่วๆไป "
ก็เพราะ " ทุภาษิต " เหล่านี้(มีทุกชาติทุกภาษา) " โลกถึงพัง "
ดังนั้น ทุกท่าน เมื่อเห็นความคิดหรือคำพูดที่ " ชั่วร้าย " แม้เพียงเล็กน้อย
ก็ต้อง " ฉุกคิด " แล้วช่วยกัน กำจัดมัน, ห้ามมัน, ทำลายมัน
จะปล่อยตามยถากรรม,หยวนๆ,มาๆฮู,ม่ายเปนไร,เลยตามเลย,ไม่ได้เด็ดขาด
เพราะหายนะใหญ่ๆก็เกิดจากการรวมตัวกันของความชั่วเล็กๆจำนวนมาก(เหมือนไวรัส)
ดังนั้น เม็ดเลือดขาวๆ(ชุดอุบาสกอุบาสิกา)ทั้งหลาย ต้องรู้รักสามัคคีคือพลัง (อันนี้ก็กลอนพาไป แต่พาไปดี ok?)
#11
โพสต์เมื่อ 17 November 2008 - 12:30 PM
#12
โพสต์เมื่อ 17 November 2008 - 03:51 PM
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=18671
#13
โพสต์เมื่อ 17 November 2008 - 04:46 PM
เพราะตามที่เคยได้ยินคือ ทำบุญกับโจรได้ขึ้นสวรรค์ อย่างเดียว ซึ่งอันนี้จริงแท้แน่ว่า สนับสนุนการทำดีได้ดี เพียงแต่ได้ดีมากหรือน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็เทศน์ไว้ชัดเจนว่า ให้ทานกับสัตว์เดรัจฉานก็ได้บุญ ให้ทานกับคนทุศีลก็ได้บุญ (ซึ่งคนทุึศีลก็คือ พวกโจร เป็นต้นนั่นเอง) แต่ก็เป็นบุญมากน้อยลดหลั่นกันไป
แต่ตรงทำบุญกับพระอรหันต์ลงนรก ตามที่มีอยู่ใน Link ที่ผมหามาเองนี้ ยอมรับว่าผมก็พึ่งได้อ่านเหมือนกัน เดี๋ยวผมต้องลองไปค้นท่อนนี้ในพระไตรปิฎกก่อนนะครับ ตอนนี้ยังไม่ยืนยัน
นี่มีกัลยาณมิตร ช่วยชี้แนะ มันก็ดีอย่างนี้เอง ขอบคุณคือ คุณ DJ อีกครั้งครับ
#14
โพสต์เมื่อ 17 November 2008 - 06:40 PM
จากที่ได้ดูน้องหัดฝันใน dmc , นอกจากเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ยังเป็นรุ่นพี่(หลายปี)วิดยาจุฬาด้วย
สาธุรวบยอดกับคุณหัดฝันที่ตอบหลายๆกระทู้อย่างดีเยี่ยม
ส่วนเรื่องกระทู้นี้ บอกได้เลยว่า เขาอาศัยสัมผัสกลอนทำเรื่องเสีย
นิสัยคนไทย ขอแค่สัมผัสไพเราะ ก็จะพูดติดปากสนุกสนาน โดยไม่สนว่าเป็นเท็จและโทษมหันต์ ขอแค่มันส์ปากenjoyอย่างเดียว มีตัวอย่างมากมาย ขี้เกียจพิมพ์
แต่ประโยคชื่อกระทู้นี้ อันตรายสุดๆเลย ถ้าติดปากเป็น word of mouth เมื่อไรละก็
" ชาวบ้านจะไม่ใส่บาตร แล้วพระพุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร "
พี่จึงต้องอธิบายอย่างเต็มที่ ด้วยความหวังดีต่อทุกคน ไม่มีอคติต่อใครเวลาตอบกระทู้ เอาสาระcontentเป็นหลัก
เพื่อพระพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่เอาใจใครและไม่กัดใครครับ
พี่ต่างหากที่ต้องขอบใจน้องหัดฝันที่กลับมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที เพราะดูๆจากน้องๆสมาชิกหลายๆคนที่มาตอบ , ยังไม่ get the right concept , ยังเข้าใจประเด็นผิดพลาด , ซึ่งผมเป็นห่วงมาก ยังปล่อยวางไม่ได้ เพราะเป็นประเด็นที่จ่อคอหอยพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
ได้อ่าน link ของหัดฝันแล้ว, เนื้อเรื่องตอนท้ายทะแม่งๆ, ผมคิดว่าคงไม่ได้มาจากพระไตรปิฎกโดยตรง, น่าจะเป็นสำนวนใหม่ที่นักเขียนหลังๆประพันธ์ขึ้นโดยอาศัยโครงเดิมแล้วต่อเติม, ความผิดพลาดคลาดเคลื่อนย่อมมีได้แน่นอน
#15
โพสต์เมื่อ 17 November 2008 - 07:18 PM
เห็นด้วยกับ น้า DJ
ทั้ง เรื่องการที่คนตกนรก ไม่ใช่เพราะทำกุศลกับพระอรหันต์
และเรื่องหายนะของการใช้ถ้อยคำที่ทำให้ความหมายบิดเบี้ยว ในทางเสียหาย ต่อคุณของพระรัตนตรัย
ครับ
ส่วนทัศนะเรื่อง สโลแกน ที่สร้างค่านิยมผิดๆ บิดเบี้ยว กระทั่งก่อความเสียหายในสังคม น่าสนใจดีครับ
#16
โพสต์เมื่อ 17 November 2008 - 07:47 PM
ได้กำลังใจแล้วค่อยอยากอธิบายต่อ เผื่อให้คนอื่นๆได้อ่านด้วย
เรื่องจิตวิทยามวลชนนั้น ไม่มีอะไรที่บังเอิญ ทุกอย่างล้วนวางแผนกันหลายๆสิบปี จัดตั้งทั้งนั้น
พูดแล้วยาว โดยสรุปคือ ต้องฉลาดทั้งในอุบายแห่งความเสื่อมและความเจริญ
มองโลกทุกแง่ ไม่ใช่แง่ดีอย่างเดียว
ตอนนั่งสมาธิ ต้อง innocence , แต่ตอนไม่ได้นั่งสมาธิ ต้อง make sense.
#17
โพสต์เมื่อ 20 November 2008 - 07:48 PM
เพราะเจตนาของกระทู้คือต้องการถามว่ามีไหม
ไม่ได้เล่นคำอะไรทั้งใน
อยากให้เปิดใจให้กว้างด้วยนะครับ
#18
โพสต์เมื่อ 20 November 2008 - 09:46 PM
เพราะที่มาของถ้อยคำนั้น มีมานานแล้ว
คุณ ณนนท์ ไม่ได้บัญญัติ เอง และไม่มีเจตนาในทางอกุศลต่อภาพรวมของพระพุทธศาสนา
ผมเข้าใจว่า การที่ คุณ DJ กล่าวไว้ นั้น
เพราะ การขยาย เผยแผ่ ถ้อยคำ ที่ว่า
ทำบุญกับพระอรหันต์ตกนรก
เป็นความความเข้าใจที่ผิดพลาด คลาดเคลื่อน จับประเด็นกฎแห่งกรรมไม่ถูกต้อง
หรือเข้าใจผิด ใ้นการส่งผลของทานกุศล
เมื่อ มีคนเข้าใจผิดตาม การพูดตาม ๆ กันต่อ ๆ ไป
กระทั่งอาจทำให้คนจำนวนมาก
มีค่านิยม ทัศนะคติที่สับสนในการการทำความดี
ก็จะเป็นเหตุให้คนจำนวนมาก ที่เข้าใจผิด จับประเด็นกฎแห่งกรรมผิด
และ้การส่งผลของทานกุศล แบบผิ ด ๆ
โดยฉพาะเมื่อทำทานกุศลกับภิกษุและหมู่สงฆ์
อาจก่ออกุศลกรรมบทอื่น ๆ ตามมาได้
เหมือน วลี ถ้อยคำ สโลแกนอื่น ๆ ที่มีคนพูดกันบ่อย ๆ มีมานาน
เช่น ทำดีได้ดี มีที่ไหน ทำชั่วได้มีมีถมไป
ด้วยวลีดังตัวอย่างที่ยกมานี้
ทำให้เมื่อคนมีโอกาสและสถานการณ์ สมควรทำความดี
กลับไม่กล้าทำความดี
แต่เมื่อมีโอกาสและสถาการณ์ให้ทำชั่ว จึงไม่กลัวกา่รทำชั่ว
แล้วก็ทำความชั่วกันมากมาย
คุณ ณนนท์ คงพอทราบมาบ้างนะครับ
ดังนั้น คุณ ณนนท์ คลายความกังวลใจเถิดครับ
#19
โพสต์เมื่อ 28 November 2008 - 12:00 AM
ขอโทษที่มาตอบช้า เพิ่งว่างมาดูของเก่าๆครับ.
ต้องขอขอบใจดีดีอีกครั้ง อีกหลายๆครั้ง คุณดีกับน้ามาก ตอบได้ดีกว่าน้าตอบเองซะอีก ขอบใจหลายๆเด้อ.