เคยศึกษาอยู่เหมือนกัน บทความที่ยกมานั้น ก็ยังไม่ทราบว่า เป็นอรรถกาธิบายในระดับไหน ระดับอรรถกถาพระไตรปิฎก ฎีกา ปกรณ์วิเสส หรือัตตโนมติ หรือเป็นเป็นเพียงบทความที่ประพันธ์ขึ้นโดยครูบาอาจารย์ยุคใหม่กันแน่
หากจะกล่าวถึงการปล่อยวางบุญ ก็อาจจะหมายถึง การปล่อยวางจากการปรุงแต่งทั้ง 3
ได้แก่ อภิสังขาร 3 คือ
ปุญญาภิสังขาร การปรุงแต่งด้วยบุญ
อปุญญาภิสังขาร การปรุงแต่งที่ไม่ใช่บุญ
อเนญชาภิสังขาร การปรุงแต่งที่ไม่หวั่นไหว เช่นปรุงแต่งด้วยกำลังของฌาณสมาบัติ
ซึ่งสังขารทั้งสามอย่างนี้ ถึงที่สุดแล้วก็จำต้องละวาง ปล่อยวางทั้งหมด จึงจะเข้าถึงพระนิพพาน
แต่การปล่อยวางบุญเป็นคุณธรรมเบื้องสูง และมิใช่เป็นการปฏิเสธบุญ เราต้องบำเพ็ญบารมีให้บุญบารมีเต็มก่อน แล้วจึงจะสามารถมีกำลังหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน
เสมือนขั้นบันได ที่เราต้องอาศัยเหยียบเพื่อเดินขึ้นไปสู่ชั้นดาดฟ้านั้นเอง พอถึงชั้นดาดฟ้าแล้วก็ละจากบันได้ขั้นสูงสุด ขึ้นไปยืนอยู่บนดาดฟ้า ครับ
ยังมีพระพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า " พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงอธรรมเล่า"
แต่ขอย้ำนะครับ ว่านี่เป็นธรรมะเบื้องสูงครับ ระดับปรมัตถ์ ไม่ควรใช้ปัญญาปุถุชนคิดเอาง่ายๆ ต้องสิกขาให้ดีๆ และต้องปฏิบัติด้วยครับ
[๑๒๘] อภิสังขาร ๓
(สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม — volitional formation; formation; activity)
๑. ปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร — formation of merit; meritorious formation)
๒. อปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย — formation of demerit; demeritorious formation)
๓. อาเนญชาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน — formation of the imperturbable; imperturbability-producing volition)
อภิสังขาร ๓ นี้ เป็นความหมายของสังขารในหลักปฏิจจสมุปบาท ท่านแสดงไว้อีกนัยหนึ่งเพิ่มจากนัยว่าสังขาร ๓ ดู (๑๑๙) สังขาร ๓
Ps.II.206; Vbh.135. ขุ.ปฏิ.๓๑/๒๘๐/๑๘๑; อภิ.วิ.๓๕/๒๕๗/๑๘๑. พระสุตตันตปิฎก เล่ม 4 มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อลคัททูปมสูตร ข้อ 280 หน้า 187
[๒๘๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้เดินทางไกล .....
..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรม มีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการยึดถือ ฉันนั้นแล เธอทั้งหลายรู้ถึงธรรมมีอุปมาด้วยแพที่เราแสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลาย พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงอธรรมเล่า.
ภาษาบาลีว่า
[๒๘๐] ภควา เอตทโวจ เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ปุริโส อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน .....
..... เอวเมว โข ภิกฺขเว กุลฺลูปโม มยา ธมฺโม เทสิโต นิตฺถรณตฺถาย โน คหณตฺถาย กุลฺลูปมํ
โว ภิกฺขเว ธมฺมํ เทสิตํ อาชานนฺเตหิ ธมฺมาปิ โว ปหาตพฺพา ปเคว อธมฺมา ฯอันนี้เป็นธรรมะเบื้องสูง เราจะถึงขั้นนั้นได้ เปรียบเสมือนคนข้ามฟากฟั่ง ต้องอาศัยแพข้ามฟากก่อน เมื่อถึงฝั่งแล้วจึงค่อยละไป
มิใช่ละแพไปตามอารมณ์แบบปุถุชน นอกจากจะข้ามฟั่งไม่ได้แล้ว จำต้องจมน้ำตายด้วย