ถามเรื่องการมีแฟนครับ
#1
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 10:08 AM
ถ้าเราแอบชอบผู้หญิงหลายคนแล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆแต่ยังไม่บอกรักใครจะผิดศีลหรือเปล่าครับ
ผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
#2
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 10:42 AM
กาเมสุ มิจฉาจาร มีองค์ ๔ คือ
๑. หญิงหรือชายเป็นคนที่ต้องห้าม
๒. มีจิตคิดจะเสพเมถุนธรรม
๓. ประกอบกิจในการเสพเมถุนธรรม
๔. การยังอวัยวะมรรคให้จดกัน
หญิงที่ต้องห้าม มี ๓ จำพวก คือ
๑. หญิงมีสามี
๒. หญิงที่อยู่ในความปกครองของบิดาหรือมารดาหรือญาติ
๓. หญิงที่ประเพณีหวงห้าม เช่น หญิงที่กฎหมายหวงห้าม หญิงนักบวช
ชายที่ต้องห้าม มี ๒ จำพวก คือ
๑. ชายที่ไม่ใช่สามีของตน
๒. ชายที่จารีตหวงห้าม เช่น ชายนักบวช
เหตุผล การบัญญัติสิกขาบทนี้ ก็เพื่อป้องกันความเสียหายทางสังคม เพื่อป้องกันความมักมากในกามารมณ์ และเพื่อป้องกันความประพฤติเลวทรามแบบสัตว์ดิรัจฉาน
สังคมทุกสังคมย่อมมีการเสียสละ เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่การเสียสละเรื่องการผิดผัวผิดเมียประเวณีนั้น ไม่มีใครเสียสละให้ได้ เพราะผัวใครเมียใครลูกใคร ใครๆ ก็หวง ไม่ประสงค์ให้ใครมาล่วงเกินโดยไม่เป็นธรรม เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมเสียสละเช่นนี้ หากมีการล่วงละเมิดกัน การรบราฆ่าฟันกันก็จะเกิดขึ้นเป็นกลียุค
เมื่อพิจารณาองค์แห่งศีลแล้วที่นี้ก็ดูเพื่อนของคุณว่าหญิงแต่ละคนเขาคบถึงขั้นไหน ถ้าถึงขั้น ยังอวัยวะมรรคให้จดกัน แล้วละก็ ขาดสบั้นครับ
แต่ถ้าแอบชอบในที่นี้ หมายถึง การแอบมองและชื่นชมแค่หวังที่จะอยากเป็นแฟน ก็ยังไม่ขาดครับ เพียงแค่ใจตกตําเท่านั้น หากหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนี้มากๆโอกาสเข้าถึงธรรมก็จะน้อยตามไปด้วยครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#3
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 10:49 AM
แล้วผมจะไปบอกเพื่อนครับ
#4
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 12:30 PM
#5
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 01:58 PM
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
ถ้าเรามีจิตคิดชอบ คนที่เป็นสามีภรรยากันโดยพฤตินัยแล้ว แต่ในทางนิตินัยหรือทางสังคมยังไม่มีใครรู้ และเราก็ไม่รู้ด้วย เราจะมีศีลตต่างพร้อยในระดับไหน
ศีลพร้อย
ศีลด่าง
และองค์แห่งศีลในข้อสามจะพิจารณาถึงระดับไหน?
ถ้าถึงเนื้อต้องตัวแล้ว เช่น hold (something) tightly against one's body หรือ press one's lips to another จะถือว่าองค์แห่งศีลในข้อ3 ขาด คือประกอบกิจในการเสพ โดยที่องค์ที่ 4 ยังไม่ขาด ใช่หรือไม่?
ถ้าพิจารณาองค์แห่งศีลในข้อ 4
ถ้ายังมีเสื้อผ้าสวมใส่ และประกอบกิจในข้อ3 ดังตัวอย่างข้างบน แต่อวัยวะในองค์แห่งศีลในข้อ 4 ถึงกัน(โดยที่ฝ่ายหนึ่งเจตนา แต่อีกฝ่ายไม่เจตนา) อย่างนี้องค์แห่งศีลในข้อ4 จะขาดไหม?
แล้วถ้าในกรณี
manual stimulation of the genital organs for sexual pleasure
1. by oneself
2. by another
ซึ่งแน่นอนว่ามีจิตคิดเสพ แต่จะผิดศีลในองค์แห่งศีลข้อไหนบ้าง? และจะมีความแตกต่างไหมระหว่างผู้กระทำ กับผู้ถูกกระทำ
ปล. มีเจตนาอยากวิเคราะห์ให้ละเอียดชัดเจน ถ้าพิจาณาเห็นแล้วว่าคำถามไม่สมควร กรุณาลบความเห็นด้วย จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#6
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 02:31 PM
ศีลพร้อย
ศีลด่าง
ถ้าไม่มีจิตคิดเสพเมถุน อาจจะอยู่ในแค่ระดับศีลพร้อยเท่านั้น เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการบ่มเพราะเชื้อกำหนัดยินดี และเป็นการฝึกให้ใจเรามีนิสัยเจ้าชู้ หากไม่ละเลิกเสียแต่เนินๆ เหมือนกับเราเพาะเมล็ดพืช ตอนนี้เราแค่หย่อนเมล็ดลงไปสักวันมันก็จะเติบโตขึ้นเป็นต้นสุดท้ายออกดอกออกผลเป็นความกำหนัดยินดีครับ
ถ้าถึงเนื้อต้องตัวแล้ว เช่น hold (something) tightly against one's body หรือ press one's lips to another จะถือว่าองค์แห่งศีลในข้อ3 ขาด คือประกอบกิจในการเสพ โดยที่องค์ที่ 4 ยังไม่ขาด ใช่หรือไม่
หลวงพ่อทัตตะท่านกล่าวไว้ในเรื่ององค์แห่งศีล หากมีจิตคิดกำหนัดยินดีที่จะเสพกามต่อหญิงหรือชายต้องห้าม แม้เพียงถูกเนื้อต้องตัวกันองค์แห่งศีลข้อ3ก็ขาดแล้วครับ
ถ้ายังมีเสื้อผ้าสวมใส่ และประกอบกิจในข้อ3 ดังตัวอย่างข้างบน แต่อวัยวะในองค์แห่งศีลในข้อ 4 ถึงกัน(โดยที่ฝ่ายหนึ่งเจตนา แต่อีกฝ่ายไม่เจตนา) อย่างนี้องค์แห่งศีลในข้อ4 จะขาดไหม?
อันนี้มียืนยันทั้งในพระไตรปิฎกและธรรมะของหลวงพ่อทัตตะเรื่ององค์แห่งศีล พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า แม้มีผ้าหรือสิ่งของกั้นหากอวัยวะจดอวัยวะเพศแล้วเมื่อใด ศีลข้อ3ขาดสะบั้นทันทีครับ (หาฟังข้อมูลได้จากCDธรรมะของหลวงพ่อทัตตชีโวเรื่อง องค์แห่งศีล ได้ครับ)
manual stimulation of the genital organs for sexual pleasure
1. of himself
2. of another
ซึ่งแน่นอนว่ามีจิตคิดเสพ แต่จะผิดศีลในองค์แห่งศีลข้อไหนบ้าง?
ก็มีจิตคิดจะเสพแล้วนี่ใช่ไหมครับ เพราะฉนั้น ที่แน่ๆข้อ1และข้อ2ขาดไปแล้วชัวร์ๆ แต่ข้ออื่นไม่แน่ เพราะผมตกอังกฤษคร้าบพี่น้อง T T
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#7
โพสต์เมื่อ 30 April 2008 - 05:36 PM
อีกครั้งค่ะ ว่าด้วยเรื่อง การผิดศีลข้อ 3
by koonpatt
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=8145
ความคิดเห็น #8 by นักเรียนอนุบาล num_r
ว่าด้วย อคมนิยวัตถุ คือวัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้องนั้น
ได้แก่หญิงหรือชายที่ไม่ควรเกี่ยวข้องเสพเมถุนด้วย มี ๒๐ ประเภท
แบบนี้ถือว่าผิดศีลข้อ 3 หรือไม่ค่ะ
by PS-Junior
http://www.dmc.tv/fo...p?showtopic=800
คิดยังไงกับคำว่ากิ๊ก
by The Last Warrior
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=5016
ส่วนกรณีที่สงสัย นั้น เข้าข่ายผิดทั้ง
ชายเป็นคนที่ต้องห้าม + มีจิตคิดจะเสพเมถุนธรรม + ประกอบกิจในการเสพเมถุนธรรม
และอีกหลายข้อตามหลักอคมนิยวัตถุ
หากว่า ยังประพฤติแบบนั้นอีก แม้อาจหลีกเลี่ยงองค์แห่งศีล ข้อ ๔ การยังอวัยวะมรรคให้จรดกัน ได้
แต่อย่างไรเสีย ก็เหมือนอยู่ริมเหว อยู่ดี
ซึ่งไม่รู้ว่าจะประคองตัว ทรงตัวไม่ให้ตกเหว ได้อีกนานแค่ไหน
มีข้อคิดเกี่ยวกับการรักษาศีล ให้พิจารณาดังนี้ครับว่า
ถ้าเราพิจารณาถึง เจตนา - วัตถุประสงค์ และ คุณประโยชน์ของการรักษาศีล แล้ว
จะพอเห็นได้บ้างว่า
ศีล มีเรื่องของเจตนา มาเกี่ยวข้องด้วย
เจตนาโดยรวม วัตถุประสงค์ และ คุณประโยชน์ ของการรักษาศีล คือ
เพื่อป้องกันตนเองไม่ไปทำความทุกข์ ความเดือดร้อนใจให้บุคคลอื่น
และมุ่งชำระกาย วาจา รวมถึงใจ ให้ สะอาด บริสุทธิ์ มากยิ่งขึ้น
องค์แห่งศีลแต่ละข้อ
ก็เพื่อเป็นจุดตรวจสอบ check points ว่า เรารักษาศีลได้สะอาด บริสุทธิ์ได้มากแค่ไหน
ศีลเราด่าง ทะลุ หรือ ขาด อย่างไร
รวมถึงเป็นการฝึกสติ อย่างเข้มงวดให้เราด้วย
ยิ่งสติสมบูรณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอุปการะ สมาธิให้สงบ นิ่งมั่นคงมากเท่านั้น
ศีล ที่บริสุทธิ์ ช่วยให้ การเจริญสมาธิ มีใจสงบ หยุด นิ่ง แน่น มั่นคงมากยิ่งขึ้น
เมื่อเรารักษาศีล ก็ไม่ควรลืมเจตนาและวัตถุประสงค์ของการรักษาศีล ด้วย
ในเรื่ององค์แห่งศีล เราก็ควรศึกษาให้เข้าใจ และรักษาให้เคร่งครัด
เพราะเป็นการฝึกสติ อย่างเข้มงวดให้เราด้วย
ยิ่งสติสมบูรณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอุปการะ สมาธิให้สงบ นิ่งมั่นคงมากเท่านั้น
อย่างที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อ ทตฺตชีโว สอนไว้ว่า
อะไรไม่ควรดู ก็อย่าไปดู / อะไรไม่ควรฟัง,ดม,ชิม,สัมผัส ก็อย่าไปฟัง,ดม,ชิม,สัมผัส
และอะไร ไม่ควรคิด ก็อย่าไปคิด ไปปรุงแต่ง
( เรื่องที่เป็นข้าศึกกุศลธรรม เรื่องที่ทำให้กิเลส อาสวะกำเริบ )
และอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ธมฺมชโย เคยกล่าวถึง
การสนทนาของคุณยาย อาจารย์ กับ พระมหา จบเปรียญธรรมชั้นสูง
เรื่อง ศีล เป็นอย่างไร ต้องรักษาศีลอย่างไร
เมื่อพระมหา ตอบคำถามยังไม่ชัดเจน (คงตอบแบบท่องจำจากตำรา )
คุณยาย อาจารย์ จึงเฉลยคำตอบแบบนักปฏิบัติ โดยความหมายว่า
จะรักษาศีล ได้ ก็ต้องเห็นศีล ซะก่อน ( คือ ต้องเห็นดวงศีล ภายใน ซะก่อน )
สรุป
การรักษาศีลที่ดีที่สุด ต้องรักษาศีล แบบเห็นดวงศีล ภายใน
แล้วรักษาดวงศีลนั้น ๆ ให้เห็นชัด ใส สว่าง มั่นคง ตลอดเวลา
จึงเป็นการรักษาศีล ที่สะอาด บริสุทธิ์ อย่างแท้จริงครับ
ปิดท้ายด้วยข้อคิด จาก
The Problem With Sex in Buddhism by Kusala Bhikshu
คัดมาบางตอน
The Buddha in everything he said about sex implies...
The activity of sex will never ultimately satisfy the desire for sex.
Now this is a real bummer if you think about it.
You can have sex a 1000 times, and want it a 1001.
You can be 90 years old... Blind and cripple... Still want to have sex, and not be physically able to.
You will never get rid of your sexual desire by having sex.
In fact, it seems the more sex you have, the more sex you want.
I think sex is a lot like hunger... And to be honest with you,
I'm so tired of being hungry.
The problem with sex according to Buddhism... Is not the activity of sex,
but the desire for sex.
The sexual desire of a human being will never be ultimately satisfied through sexual activity.
ขออนุโมทนาแหล่งที่มาของข้อมูล
www.urbandhamma.org
สาธุ ครับ
#8
โพสต์เมื่อ 02 May 2008 - 12:07 PM
#9
โพสต์เมื่อ 02 May 2008 - 03:38 PM
เอ่อ...รู้สึกเหมือนถูกพี่ๆ ท่านอาวุโส ณ ที่นี่ี่ เทศนา หรือ เขกกบาลเอา
คือ..ถ้าเป็นกะตัวเอง คงไม่กล้าพอ ที่จะเอาเรื่องของตัวเองมาถามตรงๆ แบบนี้ เพื่อน..ก็ไม่ได้ฝากมาถาม เพียงแต่เคยเห็นที่นึงเคยถกปัญหากันเรื่องนี้ และในความคิด คิดว่ายังไม่กระจ่าง
ขอยอมรับผิดแต่โดยดี...ที่ยังไม่ได้ไปฟัง CDธรรมะของหลวงพ่อทัตตชีโวเรื่อง องค์แห่งศีล แล้วก็มาโพสต์ถามต่อ ข้ออ้างก็ืคือ ติดภาระกิจทางโลกซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วน
ทราบอย่างยิ่งว่า...แค่คิด ก็ทำให้จิตหมกมุ่น แต่ทั้งนี้ก็อยากได้ความกระจ่าง เพื่อเป็นความรู้ หรืออาจถูกถาม
คือข้าน้อยคงมีปัญญาเท่าเม็ดทราย รู้สึกว่ายังไม่กระจ่างแจ้ง ในกรณีที่ 4 ที่ถาม ซึ่งในกรณีนี้ อย่างที่ทราบกันกรณีที่ 4 นี้ที่ผิดแน่ๆ ก็คือมีจิตคิดเสพ และลงมือกระทำ และกรณีนี้ท่านผู้ชาย คงจะเป็นมากกว่าท่านผู้หญิง(คือในโลกความเป็นจริงในชีวิตปัจจุบัน) คือ เมื่อมีจิตคิดจะเสพ ก็สามารถลงมือกระทำได้ด้วยตนเอง และคิดว่า..ก็ตัวเรานี้มิได้ไปล่วงเกินใครที่เป็นของหวงห้าม ก็คงไม่ผิดบาปมากมาย
หรืออาจมีใครสักคน ที่ยินดีทำให้
พอวิเคราะห์แบบนี้ก็เกิดคำถามว่าอวัยวะมรรคหมายรวมถึงอะไรบ้าง?
ถ้าเป็นมือของผู้ที่ยินดีทำให้ "มือ" นั้นจะถือเป็นอวัยวะมรรคหรือไม่?
ต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่า ไม่ได้มีจิตคิดหาทางเลีียง หรือหาช่องทาง เพื่อโกงศีล ทุกวันนี้ก็พยายามรักษาศีล8 ในวันพระ ล่าสุดก็พยายามรักษาศีล8 ทุกวัน เพื่อบรรเทาปัญหาชีวิตทางโลก เพื่อสร้างจิตใจที่แข็งแกร่ง
ปล. มีเจตนาอยากวิเคราะห์ให้ละเอียดชัดเจน ถ้าพิจาณาเห็นแล้วว่าคำถามไม่สมควร กรุณาลบความเห็นด้วย จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง และขออภัยที่ข้าน้อยรบกวน
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#10
โพสต์เมื่อ 02 May 2008 - 04:46 PM
ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อน ศีล5 เป็นข้อห้ามปฏิบัติจุดประสงค์เพื่อยกใจเราให้สูงขึ้นเป็นข้อห้ามใช้ฝึกใจหรือยกใจของตัวเองให้เทียบเคียงอริยบุคคล ไม่ตกตําเทียบเคียงสัตว์ดิรัจฉานนะครับ ซึ่งอันนี้ความหมายของคำว่าศีล ก็บ่งบอกอยู่แล้ว
ส่วนองค์แห่งศีลนั้น เป็นข้อย่อยที่เราจะใช้พิจารณาว่าศีลแต่ละข้อของเรานั้นสมบูรณ์หรือไม่เท่านั้นเองครับ
หากคิดว่าทำเช่นนี้ผิดศีลหรือไม่ แล้วแบบนี้ๆผิดศีลหรือเปล่า ถ้าเราทำอย่างนี้จะผิดองค์แห่งศีลหรือไม่แล้วล่ะก็ ไม่มีทางอธิบายได้จบแน่นอนจริงไหมครับ
แต่ถ้าหากเราพิจารณาถึงจุดมุ่งหมายของการรักษาศีล นั่นก็คือยกใจของตัวเองให้สูงขึ้นเทียบเท่าอริยบุคคล ไม่ตกตําเหมือนสัตว์ดิรัจฉานแล้วล่ะก็ เราจะได้ว่า แม้จะทำไม่ครบองค์แห่งศีล ถึงศีลไม่ขาด แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าจิตใจของเรานั้นตกตําลงระดับนึงแล้วจริงไหมครับ ดังนั้น ในความหมายของคุณ ณ 072 ผมคิดว่าคงเป็นการช่วยตัวเอง แม้จะไม่ครบองค์แห่งศีล ไม่ผิดศีล แต่ว่าการกระทำนั้นก็ดึงใจของเราให้ออกจากการเป็นอริยบุคคลแล้วจริงไหมครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#11
โพสต์เมื่อ 05 May 2008 - 01:41 PM
อิฉันรักพระ องค์ที่นั่งในท้องค้า ไม่ผิด