ย้อนรอยหมู่คณะตอนที่ 19
#1
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 08:26 AM
http://www.dmc.tv/fo...showtopic=23163
พี่มนต์ชัยได้เล่ามาถึงตอนที่เสด็จขึ้นไปโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล่ายาวมาก ใช้เวลาร่วมชั่วโมงทีเดียว ความจริงแล้ว พุทธมารดาของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านละโลกแล้ว ก็ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนสววรค์ชั้นดุสิต ซึ่งหากพระพุทธเจ้าจะไปโปรดทำไมไม่ไปโปรดชั้นดุสิต ไปดาวดึงส์ทำไม หลายคนอาจสงสัย
ปัญหานี้ ผู้รู้ท่านก็แก้ว่า เป็นเพราะ พระพุทธองค์ต้องการให้เทพบุตรพุทธมารดามีความขวนขวายในการฟังธรรม อีกทั้งหากเทศน์ที่ดาวดึงส์ เหล่าทวยเทพก็จะได้ฟังธรรมกันเป็นอันมาก หากไปที่ชั้นดุสิตโดยตรง เทวดาชั้นต่ำกว่าก็จะขึ้นไปฟังธรรมไม่ได้
เมื่อพระพุทธเจ้าท่านเสด็จไปถึงชั้นดาวดึงส์ พระอินทร์ก็ได้มาต้อนรับ นิมนต์ให้พระพุทธองค์นั่งบนบังลังก์ของตน จากนั้น เหล่าทวยเทพก็มากันจนเต็มเทวสภา รวมถึงพุทธมารดาด้วย พระพุทธองค์แสดงธรรมโปรด เหล่าทวยเทพได้บรรลุธรรมกันแทบหมดสวรรค์ทีเดียว
ส่วนที่โลกมนุษย์ มหาชนเห็นพระพุทธเจ้าท่านเสด็จไปแล้ว ก็พากันไปสอบถามพระโมคคัลลานะว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปไหน พระโมคคัลลานะท่านทราบ แต่ก็ให้มหาชนไปสอบถาม พระอนุรุทธะ ผู้เป็นเลิศด้านตาทิพย์ จึงบอกมหาชนว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดเทวดาที่ดาวดึงส์ อีก 3 เดือนหลังออกพรรษาจึงจะเสด็จกลับ
มหาชนจึงตัดสินใจว่า จะรอคอยพระพุทธเจ้าเสด็จกลับอยู่ที่นี่ จะไม่ไปไหน พระโมคคัลลานะจึงแสดงธรรมให้มหาชนฟังทุกวัน และท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็นำข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงมหาชนทุกวันเช่นกัน มหาชนได้รอคอยจนใกล้จะครบ 3 เดือน ก็เข้าไปถามพระโมคคัลลานะว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จกลับเมื่อไหร่
พระโมคคัลลานะ จึงแสดงปาฏิหาริย์ดำดินโดยอธิษฐานให้มหาชนให้เห็นท่านโดยตลอดด้วย แล้วดำไปโผล่ที่เขาสิเนรุ ดำดินพุ่งขึ้นไปจนถึงยอดเขา ซึ่งก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (สุดยอดไปสวรรค์ แบบระบบดำดิน ทุกทีไปสวรรค์มักจะเป็นระบบเหาะขึ้นฟ้า) แล้วไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะเสด็จกลับเมื่อไหร่ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า จะเสด็จกลับในวันมหาปวารนา(หลังออกพรรษา) ที่เมืองสังกัสสะที่พระสารีบุตรจำพรรษาอยู่ มหาชนที่ต้องการพบพระพุทธองค์ให้ไปรอที่สังกัสสะนครเถิด
ครั้นถึงวันกำหนด ท้าวสักกะเทวราชได้เนรมิตบันไดแก้ว ทอง เงิน ทอดลงจากสวรรค์ถึงโลกมนุษย์ โดยพวกเทวดาเดินลงบันไดทอง พวกพรหมเดินลงบันไดเงิน ส่วนบันไดแก้วให้พระพุทธเจ้าเสด็จลงมา โดยมีคณะท้าวสักกะ คอยกางร่มฉัตรกั้นอุปถากดูแล (ท่านใดอยากเห็นภาพ ให้ลองไปหาสื่อ DMC เรื่อง ปาฏิหาริย์เปิดโลก นะครับ)
จากนั้นพระพุทธเจ้า ก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์อีกครั้ง มหาชนตื่นตาตื่นใจกันเป็นอันมาก ต่อด้วยทรงแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลก โดยแลดูขึ้นไปข้างบน โลกมนุษย์กับเทวดาก็แลเห็นกันหมดไปถึงพรหมโลกทีเดียว แล้วก็แลดูข้างล่าง โลกมนุษย์ เทวดา และสัตว์นรกก็แลเห็นกันไปตลอดจนถึงอเวจีมหานรกเช่นกัน ทัณฑ์ทรมาณทุกอย่างหยุดชั่วคราวในเวลานั้น
พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสิแผ่ไพศาลไปทั่ว บรรดาสรรพสัตว์ในเวลานั้นที่ยังไม่บรรลุธรรม ไม่เว้นแม้แต่ยุง เหลือบ ริ้น ไร เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นแล้ว ที่ไม่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นไม่มีเลย (รวมทั้งพญานาคที่มาพ่นบั้งไฟ ก็ได้เห็นเหตุการณ์วิจิตรอลังการนั้นด้วยครับ ขนาดผมไม่ได้เห็น แค่มาได้ยินภายหลังยังอยากเป็นเลย)
ครั้นแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จลงมาที่พื้นมนุษย์ โดยมีพระสารีบุตรต้อนรับ พระพุทธองค์ทรงตรัสถามคำถามในวิสัยที่ปุถุชนตอบได้ บรรดาปุถุชนก็ตอบคำถาม ครั้นแล้วทรงถามคำถามในวิสัยของพระโสดาบัน ปรากฏว่า ปุถุชน ตอบไม่ได้เลย แต่พระโสดาบันตอบได้ ต่อมาทรงถามคำถามในวิสัยของพระสกิทาคามี คราวนี้พระโสดาบันตอบไม่ได้ แต่พระสกิทาคามี ตอบได้
ต่อมาทรงถามคำถามในวิสัยของพระอนาคามี ปรากฏว่า พระอนาคามี เท่านั้นจึงจะตอบได้ ต่อมาทรงถามคำถามในวิสัยของพระอรหันต์ คราวนี้พระอนาคามีก็ตอบไม่ได้ มีแต่พระอรหันต์จึงจะตอบได้ ตอบมาทรงถามคำถามในวิสัยของพระมหาสาวก(ผู้เลิศด้านต่างๆ) ปรากฏว่า พระอรหันต์สาวกธรรมดาก็ตอบไม่ได้ แต่พระมหาสาวกตอบได้
ต่อมาทรงถามคำถามในวิสัยของพระอัครสาวกเบื้องซ้าย คือ พระโมคคัลลานะ ปรากฏว่า พระมหาสาวกทั้งหลาย ตอบไม่ได้เลย แต่พระโมคคัลลานะ ตอบได้ ครั้นทรงถามปัญหาในวิสัยของพระอัครสาวกเบื้องขวา คือ พระสารีบุตร ปรากฏว่า พระโมคคัลลานะก็ตอบไม่ได้ แล้วพระสารีบุตรก็ตอบคำถามออกมา ครั้นทรงถามคำถามที่อยู่ในพุทธวิสัย (พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้)
คราวนี้ พระสารีบุตรก็ตอบไม่ได้ แล้วก็ทรงประทานนัย คือ บอกใบ้ให้ ปรากฏว่า พระสารีบุตร แทงตลอดด้วยปัญญา สามารถแก้ปัญหาเฉพาะพุทธวิสัยนั้นได้ พระพุทธองค์ทรงยกย่องปัญญาของพระสารีบุตรท่ามกลางมหาชนอีกครั้ง ว่าท่านมีปัญญาหาผู้ใดเสมอเหมือน มีปัญญาเทียบเท่าพระพุทธองค์เลยทีเดียว
เรื่องราวพุทธานุภาพแสนวิจิตรพิสดารสุดอลังการที่เล่าโดยพี่มนต์ชัย (ปัจจุบันคือพระมนต์ชัย) ก็จบลง ในใจของธรรมโฆษก์ทุกคนมีหลากหลายความรู้สึกยากจะบรรยาย แต่ทุกคนล้วนมีใจเดียวกันดวงหนึ่งเกิดขึ้นคือ เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้าขึ้นมาอย่างมากๆๆๆ ทีเดียว ผมเองในช่วงนั้น ก็เลยตั้งความปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าอย่างจริงจัง ณ บัดนั้น จนกระทั่งภายหลัง ได้รู้เรื่องราวของ...ที่สุดแห่งธรรม
(เรื่องราวนั้น จะเป็นอย่างไร ติดตามใหม่ตอนต่อๆไปนะครับ)
#2
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 03:32 PM
อยากเป็น"มือปราบมาร"..ต้องเป็นพระพุทธเจ้าก่อนรีป่าวน๊ะ...!!???
โลกสดสวยด้วยพลังวัยสดใส มาบวชกันชีวิตจะรุ่งเรือง
#3
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 04:20 PM
อ่านแล้วบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสจริงๆ
ขอบคุณอีกครั้งที่นำเรื่องราวดีๆมาให้ได้อ่านกัน(ปกติเป็นคนไม่ค่อยอ่านอะไรยาวๆ เนื่องจากสายตาไม่ค่อยดี เพ่งนานๆปวดสายตา แต่เรื่องราวย้อนรอยหมู่คณะ ของคุณหัดฝัน พลาดไม่ได้จะคอยติดตามตอนต่อไปค่ะ)
#4
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 09:06 PM
#5
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 09:13 PM
อ้อ สำหรับคุณ usr34109 ถ้าอยากเป็นมือปราบมาร ก็ต้องสร้างบารมีให้มากๆ น่ะครับ ส่วนจะอยากเป็นพระพุทธเจ้าก่อนหรือไม่ ก็ไม่จำเป็นครับ
แต่ส่วนใหญ่ เมื่อบารมีมากขนาดนั้น หากไม่ได้สร้างมากับหมู่คณะมาแต่ทีแรกๆ ก็มักจะอยากเป็นพระพุทธเจ้าก่อนกันทั้งนั้น
แหละครับ
#6
โพสต์เมื่อ 16 May 2010 - 11:04 PM
แล้วต้องมากกว่าหรือน้อยกว่าสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าล่ะ...ปุจฉา??
โลกสดสวยด้วยพลังวัยสดใส มาบวชกันชีวิตจะรุ่งเรือง
#7
โพสต์เมื่อ 17 May 2010 - 01:22 AM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#8
โพสต์เมื่อ 17 May 2010 - 07:30 AM
ต้องมากกว่าหรือน้อยกว่าสร้างบารมีเป็นพระพุทธเจ้าล่ะ...ปุจฉา??QOUTE
น่าจะมากกว่าครับ
สาธุ คุณหัดฝันครับ
#9
โพสต์เมื่อ 17 May 2010 - 10:30 AM
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)