ความอดทน เป็นตบะอย่างยิ่ง
#1
โพสต์เมื่อ 09 December 2009 - 10:24 PM
ผมเองเข้าวัดมา 20 กว่าปีแล้ว และก็เคยบวชเป็นพระธรรมทายาทรุ่นที่ 16 ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่า
- มีใจก็ให้ทำใจหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ไม่ว่าใครจะมาว่าร้าย ว่ากระทบเรา ก็ให้ทำใจกลางๆ คิดเสียว่าเขาคนนี้ มีนิสัยเป็นเช่นนี้ แล้วก็ปล่อยวาง
- มีหูก็ให้เหมือนหูกระทะ คือได้ยินเสียง เขาด่าเขาว่า หรือเสียงที่ไม่น่าพึงพอใจ ก็ให้เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวาไป อย่าให้เข้าไปอยู่ในใจเรา
- มีตาก็ให้เหมือนตาไม้ คือเมื่อตาเห็นรูป จะสวยงาม หรือน่าเกลียด หรือไม่น่าพึงพอใจ ก็ให้ปล่อยวางเสีย ให้เห็นสักแต่ว่าเป็นเพียงธาตุ4
- ทำตัวให้เหมือนต้นอ้อ ต้นหญ้า คือรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน และทำตัวให้เรี่ยติดดินเหมือนต้นหญ้า พร้อมที่จะให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนเราได้
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า การเข้ามาอยู่ในหมู่คณะนั้น ต้องทำใจและเข้าใจธรรมชาติของคนว่า นิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกันครับ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนตนเอง ของแต่ละคน แต่ละตระกูลครับ แล้วเหลียวมองดูตัวเองว่าเราเหมือนเขาหรือเปล่า ถ้าเห็นว่าเขาดีกว่าเรา เราก็ควรจะจับดีเขามา แต่ถ้าเราดีกว่าเขา เราก็ควรยิ้มและให้อภัยเขาเสียเพราะ
การให้อภัยต่อหมู่คณะ หรือแม้แต่ศัตรูผู้ไม่หวังดีต่อเราด้วยความจริงใจได้ นั่นเป็นการชนะที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่กว่าการให้ทานใดๆครับ ซึ่งผมก็ฝึกได้เพียงประมาณ 70% - 80% เท่านั้นเอง เราจะฝึกได้ เราจะต้องมองเห็นเป้าหมายชีวิตของเราก่อน ว่าเราเข้าวัดด้วยจุดประสงค์อะไร การเข้ามาคลุกคลีกับหมู่คณะเพียงหนึ่งหรือสองปี คิดว่ายังน้อยไป ยังเหมือนทหารใหม่ครับ ยังออกรบไม่ได้
สำหรับผมเองไม่ค่อยมีนิสัยคลุกคลีกับหมู่คณะมากเท่าไร เพราะกลัวจะเจออุปสรรคต่อการกระทบกระทั่งอย่างที่บางท่านเคยพบเจอมานี่แหละครับ
ผมว่า กัลยาณมิตรหลายท่านแม้จะทำบุญกันเป็นแสนเป็นล้าน หรือหลายๆล้าน ก็ยังหาประโยชน์อันใหญ่หลวงไม่ได้ หากยังขาดการฝึกฝนด้านจิตใจควบคู่ไปด้วยกันครับ โดยเฉพาะ กัลยาณมิตรหญิง ซึ่งมักจะหนีไม่พ้นเรื่อง อิจฉา ริษยา นินทา กระแนะกระแหน ซึ่งล้วนเป็นโลกธรรมทั้งสิ้น ถ้าเรามุ่งจะบรรลุโพธิปักขิยธรรมแล้วละก็ ต้องฝึกอย่างที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ดังข้างบนให้ได้ครับ
ขอเป็นกำลังใจให้กับกัลยาณมิตรทุกท่านครับ
#2
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 12:09 AM
เช่น หากนั่งสมาธิอยู่กลางแจ้งแล้วเกิดฝนตก หน้าที่ของเราคือหลบ...ไม่ใช่ทน !!
การแก้ปัญหาด้วยการวางอุเบกขานั่งตากฝน จึงไม่ใช่ทางออกของชีวิต
เพราะเมื่อฝนตก เราอาจต้องเปียก แต่เราไม่จำเป็นต้องเปียก เพียงแค่เรา "ขยับ"
การนั่งทนตากฝนเปียกปอนไม่ขยับเขยื้อน จึงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่มีปัญญา
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าต้องหยุดทำหน้าที่
เพราะเมื่อฝนตก อุเบกขาภายในจะช่วยทำให้ใจไม่หงุดหงิด กับปัญหาความเปียกปอนที่กาย
จงยอมรับสภาพของปัญหาที่มันปรากฎ.......แต่อย่ายอมจำนน !!!
#3
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 01:44 AM
#4
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 06:41 AM
#5 *innerspot*
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 07:57 AM
เราจะเกิดมาทำไม ถ้าหากไม่ใช่ทำความทุกข์ของกันและกันให้ลดน้อยลง
#6
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 09:00 AM
#7
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 09:16 AM
เห็นผู้คนมากมาย พยายามพาตัวเองเข้าวัด ทำบุญมาก ปฏิบัติธรรมมาก แต่ก็ไม่พ้น ที่มาบ่นพร่ำ
คนนั้นเป็นเช่นนั้น คนนี้เป็นเช่นนี้ แต่ลืมมองตัวเอง แก้ไขตัวเอง..
การคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ย่อมไม่ทำให้จิตสงบ
หากเราจำเป็นต้องอยู่กับหมู่คณะ แล้วขาดความอดทน ขาดการให้อภัยในใจขึ้นเมื่อไร การเพ่งโทษ การกล่าวร้าย การนินทา ความไว้เนื้อเชื่อใจต่ำ ก็จะตามมา ตัวเองก็บุญหก ไม่เกิดประโยชน์ ไร้สาระแก่นสารของการมาแสวงบุญ จิตย่อมไม่สงบ.. ไม่พบทางออก
อย่าว่าแต่เข้าวัดมาปีสองปีเลยค่ะ ยี่สิบ สามสิบปี ก็เหมือนกัน หากไม่คิดแก้ไขตัวเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับทัพพีในหม้อแกงนั่นแล
จิตสดใส เมื่อใจสิ้นระแวง เหมือนดวงจันทร์ส่องแสง ในคืนวันเพ็ญ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#8
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 02:10 PM
#9
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 02:43 PM
หากเราชวนคนมาวัดได้แม้ปีละคนด้วยศรัทธาของเขาแล้ว เราจะได้บุญมหาศาลครับแล้ว เขาจะทำบุญด้วยด้วยศรัทธาของเขาเองแล้วเขาจะไม่ลืมเรา อย่าเอาการบริจาคนำหน้าให้เอาศีลาจารวัตรเป็นตัวนำ แล้วเขาจะตามเรามาเข้าวัดเป็นหางๆๆๆๆๆเลยแหละครับ
#10
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 03:13 PM
#11
โพสต์เมื่อ 10 December 2009 - 03:45 PM
โดนคุณ PTDL จับได้แล้ว
#13
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 05:08 AM
#14
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 08:45 AM
ผมเองก็เป็น แต่ถ้าเราไม่ไปเป็นหมู่คณะจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปได้อย่างไร คงได้แต่ไปโดยลำพังเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากระมัง... ฝึกความอดทนไว้นะดีแล้วครับ คิดเสียว่าเราโชคดีที่ได้คิดและคิดได้ก่อนคนอื่นเขา
การที่เขาทำบุญมากและคาดหวังว่าจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร เขาก็คงได้บุญจากทรัพย์ที่เขาบริจาค(ถ้าไม่มีเขาแล้ว เมื่อใดงานหลวงพ่อจะเสร็จ) ความเห็นผมคิดว่าน่าจะนำมาปรับปรุงกระบวนการหรือปรับปรุงตัวเรามากกว่า ทำอย่างไรจะต้อนรับส่งกลับอย่างประทับใจ ลดละเลิกความคิดอกุศลของเขาและเรา... ยกใจไปด้วยกัน
#15
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 12:55 PM
#16
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 01:10 PM
มาประคับประคองกันไว้ และอย่าลืมเป็นกัลยาณมิตรให้กับตัวเองด้วยเพราะถึงอย่างไร ๆ
ก็หนีไม่พ้น ตัวเราเอง นี่แหละ ใจของเรา วิธีคิดของเราจะให้คุณ ให้โทษ กับเรามากที่สุด
และเราเป็นเพียงต้นกล้าน้อย ๆ ต้องหาครูดี ๆ ไว้สอนเราค่ะ
หาได้ทีไหนล่ะ ที่นี่แหละ DMC คัดเลือกได้ตามใจชอบค่ะ
สำหรับหัวข้อนี้ ดูเหมือนว่าจะเน้นหนักไปที่ความอดทน และการกระทบกระทั่งกัน
การไม่เข้าใจกัน เรากำลังอดทนอะไร เขาไม่ดี หรือเราไม่ดี หรือทั้งเราทั้งเขาก็ไม่ดี แล้ว
เราจะเอาอะไรมาวัดว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด
ยอดครู บรมครู มหาปูชนียาจารย์ ของเราสอนไว้อย่างไรในเรื่องนี้ ศึกษาให้เข้าใจ
นำไปตรึก ฝึกฝนตัวเอง ได้จาก " คุณธรรม 7 ประการของคุณยาย" รับรองว่าดีจริงๆค่ะ
#17
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 02:41 PM
ในความเห็นส่วนตัวแล้ว คิดว่า การเข้าวัด..ก็เพื่อฝึกฝนตนเอง
ให้เป็น "คนดี" หนีอบาย ไปสวรรค์
โดยต้องทำสิ่ง 3 อย่างนี้ให้ครบคือ ทำทาน รักษาศีล
และเจริญสมาธิภาวนา อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
ส่วนระหว่างการ "ฝึกฝนตนเองให้เป็นคนดี" นั้น จะมี
สิ่งใดเกิดขึ้น ไม่ว่าการกระทบกระทั่งที่เกิดจาก อารมณ์
ความอยาก ความไม่เข้าใจกัน ฯลฯ นั่นก็ถือว่า คนไม่ว่าหญิง
หรือชายก็ยังเป็นปุถุชนอยู่ ย่อมมี รัก โลภ โกรธ หลงได้ตลอดเวลา
และเราจะถือว่า การเข้าวัดเป็นเวลานานแล้ว จะสามารถ
เป็นเครื่องบ่งบอกว่าเป็น "คนดี" ได้นั้น คงไม่ใช่ แต่น่าจะอยู่ที่
"ความใส และความบริสุทธิ์ของใจ" ที่เกิดจากการฝึกฝนตนเองมาต่างหาก
ไม่มีใครรู้ว่าเรา "มีความบริสุทธิ์...ใสของใจเพียงใด...เท่ากับตัวของเราเอง"
เพียงแต่เราต้องกล้ายอม รับความจริง อย่าหลอกตัวเอง และรีบแก้ไข
ฝึกตนเองก่อนนั่นแหละดี....
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#18
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 03:54 PM
การคลุกคลีกับหมู่คณะบางอย่างก็น่าจะเข้าข่ายแบบเจ้าของกระทู้ว่า
แต่อย่างไรเสียพวกเราก็อย่าห่างจากหมู่คณะนะครับ
#19
โพสต์เมื่อ 11 December 2009 - 04:01 PM
พวกเราเหล่ากัลยาณมิตรทั้งหลาย ต่างทำงานคลุกคลีกันด้วยหมู่คณะจำนวนมาก คงหลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้างไม่มากก็น้อยทั้งทางกิริยาท่าทาง คำพูด และความคิดเห็น ซึ่งมีทั้งที่น่าพึงพอใจและไม่น่าพึงพอใจ หากเราเข้าใจธรรมชาติของสิ่งที่เข้ามากระทบตามทวารทั้ง 6 ของเราคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และธรรมารมณ์ต่างๆ ทั้งที่น่าพึงพอใจและไม่น่าพึงพอใจก็ตาม หากเราใช้สติกรองอารมณ์ต่างๆเหล่านั้นไว้และทำการวิเคราะห์วิจัยธรรมเหล่านั้นได้ทัน ก่อนที่จะให้อารมณ์ต่างๆแล่นเข้าไปปรุงแต่งจิตใจของเรา ที่จะทำให้เรารู้สึกน้อยอกน้อยใจ รู้สึกเดือดดาน รู้สึกขัดเคืองใจได้ ผู้นั้นชื่อว่ามีปรกติอยู่ผู้เดียว หากแม้นเรารับอารมณ์ทั้งที่น่าพึงพอใจและไม่น่าพึงเหล่านั้น เข้ามาหมกมุ่นครุ่นคิดโดยไม่ใช้สติกลั่นกรองแล้วละก็ แม้เราอยู่ผู้เดียวก็ชื่อว่า คลุกคลีด้วยคนหมู่มาก โอกาสที่จะปล่อยวางอารมณ์ก็จะยากยิ่งขึ้นด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เธอจงมีปรกติอยู่ผู้เดียวเถิด อย่าได้คลุกคลีด้วยชนหมู่มากเลย เป็นฉะนี้แล
คนเราเกิดมาต่างธาตุต่างธรรม ไม่มีใครซ้ำธาตุซ้ำธรรมกันเลย ไฉนจะให้คนอื่นเขาทำความพึงพอใจแก่เราไปเสียทุกอย่าง คงเป็นไปไม่ได้ แม้ตัวเราเองบางครั้งก็ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเองเลย ถ้าเราเข้าใจ และเห็นอย่างนี้แล้ว ก็จงให้อภัยต่อกันและกัน และหันหน้าเข้าหากัน รักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง เราก็จะทำงานกันอย่างมีความสุขทั้งหมู่คณะ กระทั่งบรรลุเป้าประสงค์คือที่สุดแห่งธรรม
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้ร่วมกันบริจาคทานอันบริสุทธิ์
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้ร่วมกันรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ได้ร่วมกันภาวนาจนถึงแก่นธรรม
#20
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 05:32 AM
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เราทั้งหลายก็ต้องรักษาใจกันให้ใสๆ จะได้สว่าง และถึงความสุขที่แท้จริงกันนะคะ
#21
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 10:53 AM
#22
โพสต์เมื่อ 12 December 2009 - 10:27 PM
อย่ากังวลกับความผิดพลาด แต่จงพร้อมแก้ไขในสิ่งที่เคยทำผิดพลาด วันนี้ทำผิดพลาด ก็ไม่ได้หมายความว่า วันพรุ่งจะต้องทำผิดซ้ำไปเรื่อยๆ อย่างนั้น เพราะมนุษย์เราพัฒนาได้ครับ
เช่น บางท่านอาจชักชวนคนอื่นมาวัดโดยใช้การบริจาคนำหน้า ซึ่งแน่นอนย่อมได้ผลกับบางคน เพราะบางคนก็มีจริตชอบแบบนั้น แต่ย่อมไม่ได้ผลกับทุกๆ คน เพราะอีกหลายๆ คนก็ไม่ได้มีจริตอย่างนั้น ก็ไม่ชอบให้เน้นบริจาคนำหน้า ทีนี้พอใช้วิธีนี้กับคนนี้แล้วผิดพลาด เราก็แก้ไขวิธีการชักชวนใหม่กับคนนี้ในภายหลังได้ครับ เช่น ใช้ทานนำหน้าไม่ได้ผล ก็เอาศีลมั่ง สมาธินำหน้ามั่ง เดี๋ยวก็ได้ผลเอง
ที่สำคัญคือ จงศรัทธาในความเป็นมนุษย์ครับ มนุษย์ทุกคนมีคุณความดี มีผู้รู้ภายใน ขอเพียงได้จังหวะและเวลาที่เหมาะสม คุณความดีก็จะเปิดช่องออกมาได้เอง ดังนั้น จงพยายามชักชวนคนทำดีกันต่อไป เขาเอาดีได้แน่ ถ้าเราศรัทธาในตัวเขา
ยกตัวอย่าง ชายเจ็ดโบสถ์ ที่ผมตั้งกระทู้ไม่นานนี้เองก็ได้ หรือ ตัวอย่างอื่นๆ ก็เช่น พระเทวทัต แม้ทำผิดพลาดจนต้องลงอเวจี แต่พ้นมาได้เมื่อไหร่ท่านก็จะได้บรรลุธรรม
จงอย่าท้อว่า มนุษย์คนอื่นๆ มีนิสัยไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ การไปยุ่งเกี่ยวด้วย จะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี หากเราศรัทธาในความเป็นมนุษย์จริงๆ แล้วล่ะก็ เราจะก้าวข้ามพ้นความกลัวทุกประการ ด้วยความปรารถนาดีในมนุษย์ท่านนั้นๆ สักวันเราจะสามารถชักชวนเขาได้
ดังเช่น พระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นชายหนุ่มแบกมารดาข้ามมหาสมุทร แล้วคิดจะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ อย่าว่าแต่ความกลัวว่า มนุษย์ทั้งหลายมีนิสัยไม่ดีผสมอยู่ในนิสัยที่ดีเลย แม้แต่วิธีการที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างไร ชายหนุ่มโพธิสัตว์ชาตินั้น ยังไม่รู้วิธีเลย
แต่เพราะพระโพธิสัตว์เริ่มต้นด้วยศรัทธา มั่นใจว่า วิธีพ้นทุกข์มีอยู่ แล้วสามารถช่วยให้เพื่อนมนุษย์เข้าใจวิธีนั้นได้ ท่านก็ลองถูกลองผิดมาทุกชาติ จนในที่สุด ก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในทีสุด
สุดท้ายนี้ ไม่ว่า พวกเราจะรู้สึกทนทุกข์กับการคลุกคลีด้วยหมู่คณะเพียงใด ขอให้ตอกย้ำอีกครั้งว่า มนุษย์ทุกคนพัฒนาได้ จงศรัทธาในความเป็นมนุษย์ครับ
#23
โพสต์เมื่อ 13 December 2009 - 10:42 PM
ขันติ..ต้องคู่กับ...โสรัจจะ..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#24
โพสต์เมื่อ 16 December 2009 - 03:16 AM
#25
โพสต์เมื่อ 16 December 2009 - 12:01 PM
หรือ นำเรื่องราวของเด็กดี V-star ที่ทางวัดปั้นขึ้นมา ไปเล่าให้เขาฟัง หาข้อมูลใน DMC นี้ก็ได้ครับ เรื่องราวดีๆ ทั้งนั้นเลยนะครับ เขาจะได้รู้ขึ้นมาบ้างโดยยังไม่ต้องรีบไปชวนบริจาคอะไร
อดทน รอคอย หาจังหวะ สิ่งนี้จะพัฒนาเราขึ้นมาไงล่ะครับ
#26
โพสต์เมื่อ 16 December 2009 - 12:10 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#27
โพสต์เมื่อ 17 December 2009 - 01:09 AM