มีเรื่องกลุ้มใจครับ
#1
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 11:04 AM
1. การที่คนเราตั้งใจทำในสิ่งๆหนึ่งแล้วไม่มีใครคิดสนับสนุน หรือไม่เห็นสิ่งที่เราทำ เป็นเหตุต้องทำให้ถูกตำหนิติเตียนว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องอยู่ตลอด เป็นเพราะกรรมใดในอดีตหรือครับ
2. การที่เราตั้งใจทำดีแต่ดูเหมือนไม่มีใครเห็นคุณค่า แต่เมื่อเราทำไม่ดีกลับโดนดุด่าว่ากล่าวเป็นเพราะกรรมใดในอดีตหรือครับ
3. การที่คนเราถูกกล่าวเปรียบเทียบความประพฤติกับผู้อื่นอยู่เสมอจนทำให้เรามีจิตเศร้าหมองเกิดความน้อยอกน้อยใจ เป็นเพราะทำกรรมใดหรือครับ
4. การที่คนเราตั้งใจทำดีมาหลายปีเจ้านายกลับไม่สนใจ แต่กลับสู้ผู้ที่ทำดีได้ไม่นานเจ้านายยังเห็นคุณค่า เป็นเพราะประกอบเหตุใดมาในอดีตหรือครับ
ช่วงนี้ผมเจอปัญหาแบบนี้อยู่บ่อยๆทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมองจึงอยากรู้เหตุที่ทำให้เกิดผลน่ะครับ จะได้ไม่ประกอบเหตุนั้นอีกในชาตินี้ ขอบพระคุณพี่ๆกัลยาณมิตรทุกท่านล่วงหน้านะครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#2
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 11:49 AM
ผมก็เจอเหมือน ๆ กับคุณ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ
1. ทำใจ (ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย) สรุปคือนั่งสมาธิให้เยอะ ๆ (คำว่าเยอะ ๆ ไม่ใช่หมายความว่าเก็บจำนวนชั่วโมงนะครับ นั่งเยอะ ๆ หมายความว่า นั่งชนิดใจเบา สบาย โล่งโปร่ง จนใสให้เยอะ ๆ ) ทุกอย่างก็จะดีเอง
2. หมั่นตรวจตราดูว่าเราทำดี ถูกดี และถึงดีหรือยัง หากทำดี ถูกดี ถึงดี เราก็ไม่ต้องน้อยใจอะไร เราจะรู้ว่าสิ่งที่เราทำดีลงไปจะช่วยเราได้หรือไม่ก็ตอนที่เราลำบาก หากเราลำบากยังมีคนคอยให้กำลังใจ ช่วยเหลือ แสดงว่าเราทำดีแล้ว
3. เราต้องพยายามทำทาน รักษาศีล และภาวนาไว้เยอะ ๆ อธิษฐานให้นั่งเป็นเบา เบาเป็นหาย
4. ฝึกไม่พยายามจับผิด ไม่ถือตัวว่าเก่งกว่าคนอื่น (หากจะว่ากล่าวใครต้องสำรวจก่อนว่าเราจะเตือนเขาเพราะเขาผิดพลาดจริงหรือเพราะเราอคติ หากเขาผิดพลาดจริงและเราอยากให้เขาทำถูกจริง ก็ต้องพิจารณาอีกว่า หากเราไปเตือนเหมาะสมไหม เพราะเราประสบกรรมอยู่(ตามที่ถามมา) ต้องหาคนที่พูดดีกว่าเราไปพูดแทน (จะดีที่สุด)
5. พยายามคิดใหม่ทำใหม่ ว่าสิ่งที่เราเจอจะเป็นบททดสอบให้เราอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ และสู้ต่อไป ไม่หนีด้วย
6. หากคิดว่าจะลองเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ก็ลองดู และเริ่มปรับตัวใหม่ (ก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่งครับ)
สู้ต่อไปเด่อค่ะเด่อ
#3
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 12:20 PM
#4
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 01:41 PM
...ด้วยความเคารพ...
...ปล่อยให้่เวลามันพาไป...
...สำหรับฉัน เธอคือ สิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่ชีวิตนี้จะมีได้...
#5
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 02:59 PM
ท่านตอบทำนองนี้ค่ะว่า อาจเป็นได้ทั้งจากกรรมปัจจุบันและกรรมเก่าค่ะ
โดยกรรมปัจจุบันคือ ก่อนหน้านี้หรือปัจจุบันก็ตาม อาจจะมีบุคลิกหรือพฤติกรรม ที่ทำให้ผู้อื่นขาดความเชื่อถือหรือเห็นว่าเราเป็นคนเหลวไหล เช่น ไม่รับผิดชอบ ไม่รักษาคำพูด ชอบติเตียน/จับผิดคนอื่น ฯลฯ หากพฤติกรรมปัจจุบันไม่มีจุดอ่อนเหล่านี้ ก็อาจเป็นเพราะกรรมเก่า
โดยที่กรรมเก่า ก็อาจมาจากวิบากกรรมชอบจับผิดคนอื่น ขัดขวางผู้อื่นในการทำความดี อิจฉาในเวลาที่คนอื่นได้รับความสำเร็จหรือได้รับการยกย่อง เป็นต้น ทำให้เวลาตนเองทำอะไรก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ มีแต่คนคอยขัดขวาง/จับผิด และต้องเป็นรองคนอื่น
วิธีแก้สำหรับเหตุปัจจุบันก็คือ ต้องปรับปรุงตัวให้เป็นที่น่าเชื่อถือ เช่น เป็นคนรักษาคำพูด รับผิดชอบงานให้สำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายหรือที่รับปากไว้ ฯลฯ อดทนพิสูจน์จนกระทั่งทุกคนยอมรับในภาพพจน์ใหม่ (ต้องอดทนนะคะ เพราะแม้กระทั่งทางโลก หากสินค้ามีภาพพจน์ไม่ดี ผู้ขายยังต้องอดทนใช้เวลาอยู่นานในการที่จะเปลี่ยนภาพพจน์ใหม่ในใจผู้บริโภค)
วิธีแก้สำหรับเหตุในอดีตก็คือ หมั่นสั่งสมบุญ โดยเฉพาะบุญจากการนั่งสมาธิ แล้วแผ่เมตตาให้ผู้ที่ไม่มีความเข้าใจ อธิษฐานให้เขาเกิดความเข้าใจในตัวเรา พร้อมกับหมั่นสั่งสมบุญจากการแสดงมุทิตากับผู้อื่น หมั่นจับดีผู้อื่น ใครทำดีอะไรได้ผลสำเร็จอะไรก็แสดงความชื่นชมยินดีกับเขายกย่องเขา และหมั่นให้ความสนับสนุนช่วยเหลือผู้อื่นให้ประสบความสำเร็จในการทำการงาน/สิ่งที่เป็นกุศล และใช้หลักสังคหวัตถุ 4 คือ ทาน ปิยวาจา อรรถจริยา สมานัตตา ประกอบ
ขอเอาใจช่วยให้คุณเคยเข้าวัด มีกำลังใจที่เข้มแข็ง สามารถผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านี้ไปได้โดยเร็ว อย่างถูกต้องตามหลักวิชชานะคะ
#6
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 03:17 PM
#7
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 03:54 PM
#8
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 04:34 PM
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#9
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 07:03 PM
แต่..!!!! จะพบปัญหาหนักกว่าที่กล่าวมา อีกเป็นต้น..
ชีวิตทางโลก คับแคบอย่างนี้แหละ ..ผมก็ตั้งเป้าเหมือนกัน ออกบวชชัวร์..แต่ตอนไหน แล้วแต่กำลังบุญ..
แต่มีหลวงพี่ที่วัดพระธรรมกาย ท่านบอกว่า
"ใจถึงหรือเปล่า" เท่านั้นแหละ ครับ
ท้ายนี้ ขอให้ ท่านเจ้าของกระทู้
หมดทุกข์ หมดโศก นะครับ..
ผมมีสรรสาระ มาฝาก เผื่อว่า
จะได้หาย กลุ้ม จากปัญหา
ที่กล่าวมาในข้างต้นได้ นะครับ
ความดีต้องทำเอง
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" นี้เป็นกฎความจริงธรรมดาที่จะเป็นอย่างอื่นไปไม่
มีผู้คิดอย่างคนพาลว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป คนที่พูดอย่างนี้ เพราะเขาทำความดีไม่เป็น ไม่เข้าใจว่าการทำความดีนั้นจะต้องทำให้ ถูกดี ถึงดี และ พอดี
ถูกดี ก็คือ
ทำดีให้ถูกกาลเทศะให้ถูกจังหวะ และพอเหมาะพอสม
ถึงดี ก็คือ
ทำดียังไม่ทันถึงดี ก็เบื่อหน่ายเกียจคร้านเลิกทำดีเสียแล้ว
พอดี ก็คือ
บางคนทำดีเกินพอดี ล้ำหน้าเพื่อนฝูงเอาเด่นเอาดังเพียงคนเดียว อย่างนี้จะดีได้อย่างไร
การทำความดีนั้น นอกจากจะต้องรู้กาลเทศะ และโอกาสที่เหมาะสมแล้ว ยังจะต้องดูความเกี่ยวข้องกับบุคคลกับกลุ่มคนกับสังคมด้วย การวางตัวดีตามความเหมาะสมต้องไม่มีลักษณะอันใดส่อให้เห็นว่า ออกจะประเจิดประเจ้อมากไป เสนอหน้ามากไปหน่อย เรื่องของการทำความดี ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าเกินๆ เลยๆ ไปก็ไม่ดี เพราะในสังคมคนธรรมดา มีคนบางพวกพร้อมที่จะทำลาย พร้อมที่จะคอยจับผิดอยู่ อย่างคำที่ท่านว่า
"อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย
ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน"
เรื่องกฎของกรรมตามที่กล่าวมาแล้วว่า
"ใครทำกรรมอันใดไว้
จะดีหรือชั่วก็ตาม
จะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น"
เพราะอะไร ก็เพราะว่าทำความดีมันจะดูดดีเข้ามา
ทำความชั่วมันก็จะดูดชั่วเข้ามาเช่นกัน เรียกว่า ดีดูดดี ชั่วดูดชั่ว
เราทำแต่ความดีมีความซื่อสัตย์สุจริตขยันขันแข็งในการทำงาน
ไปทำงานที่ไหน บริษัทห้างร้านไหนก็ยินดีรับเข้าทำงานทั้งนั้น
นี่คือ ดีดูดดี ดูดทั้งงาน ดูดทั้งเงิน ดูดเจ้านายผู้บังคับบัญชาให้มารักใคร่เอ็นดู
อันเป็นผลของการทำความดีนั่นเอง
ในทางตรงกันข้าม คนที่สร้างความชั่วไว้มากๆ
ก็เป็นแรงดึงดูดเหมือนกัน
แต่มันดูดเอาสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาให้มาทำลายตน
เช่น ดูดเอาความเกลียดชัง ดูดเอาโทษทัณฑ์
ดูดเอาคุกตะราง เป็นต้น บางคนที่ร้ายมากๆ
สามารถดูดเอาตำรวจทั้งโรงพักให้วิ่งตามไปจับ
ไปทำลาย ก็มี นี่คือ ชั่วดูดชั่ว ซึ่งเป็นผลของการทำความชั่ว
ดังนั้น เราทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดก็ตาม
จะเชื่อเถิดว่า ถ้าได้กระทำความชั่วแล้ว
จะไม่ได้รับผลชั่วที่เป็นบาปเป็นทุกข์นั้นเป็นไปไม่ได้
จะต้องได้รับแน่ๆ เร็วหรือช้าเท่านั้น
ถึงแม้ชาตินี้ผลกรรมชั่วยังไม่ให้ผลก็จะต้องได้รับในชาติต่อๆ
ไปอย่างแน่นอน
ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มทำความดี
ถ้าได้ประพฤติปฏิบัติโดยสม่ำเสมอจนเป็นปกตินิสัยแล้ว
นั่นก็คือเราได้พัฒนาจิตของเราให้สูงขึ้น
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ และจะเป็นคนดีได้ตลอดไปด้วย
คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#10
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 07:28 PM
#11
โพสต์เมื่อ 18 April 2008 - 10:08 PM
ท้อใจ.. นั่งสมาธิ
อย่าไปใส่ใจกับมันมากเลย
การยอมรับ นับถือ การยกย่อง สรรเสริญทางโลก
มันไม่ยั่งยืน
มีเกิด มีดับ..
เหมือนกัน ทุกสรรพสิ่ง..
ที่สำคัญคือ..
นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของการมาเกิด..
จำไว้อย่างเดียวว่า..
เราจะเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกเยอะ..
ถ้าไม่รีบสั่งสมบุญบารมีให้มากเข้าไว้..
ดังนั้น อย่าไปสนใจมันมาก..
ถามว่าถ้าวันนี้มีคนดูแคลนเรา..
เราก็ยังสั่งสมบุญบารมีได้ ยังนั่งสมาธิได้ มิใช่หรือ.. ?
คุณค่าความเป็นคนของเรา ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อย..
แล้วถ้าวันนี้มีคนชมเรา..
อย่างมาก.. จิตใจก็แช่มชื่นเพียงชั่ววูบ.. ชั่วคราว..
แต่เราก็ยังเป็นเราคนเดิมมิใช่หรือ.. ?
นั่งสมาธิดีกว่าจ้า..
สู้ๆ
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..
#12
โพสต์เมื่อ 19 April 2008 - 10:37 PM
#13
โพสต์เมื่อ 20 April 2008 - 09:47 AM
ขออนุญาตแวะเข้ามาให้กำลังใจ คุณเคยเข้าวัดหน่อยนะคะ. อดทน หนักแน่นไว้นะคะ ไม่เอาน่ะอย่าคิดมาก(ตามเพลง)
ทำใจให้สบายๆยิ้มหวานๆไว้ค่ะ. เพราะบางสิ่งก็ไม่ควรจำ ถ้ามันทำให้ใจเจ็บ. แต่อย่างน้อยก็มีกัลยาณมิตรตรงนี้อีก
หนึ่งคนที่จะช่วยเป็นกำลังใจให้คุณเคยเข้าวัดค่ะ. เข้มแข็งไว้นะคะ.
#14
โพสต์เมื่อ 20 April 2008 - 10:28 PM
#15
โพสต์เมื่อ 21 April 2008 - 12:19 AM
ขอแค่เป็นกำลังใจให้ สู้ๆ ต่อไปค่ะ สักวันต้องมีวันที่เป็นของเรา อดทนรอต่อไปค่ะ
ปลูกมะม่วง หมั่นดูแล รดน้ำ พรวนดิน แม้อากาศจะแห้งแล้ง ดินแตกระแหง แต่ถ้ายิ่งหมั่นดูแลเอาใจใส่่ รดน้ำ พรวนดิน สม่ำเสมอ ไม่นานเกินรอต้องได้ทานผลมะม่วงแน่ๆ ค่ะ
แต่ถ้าปกติเค้าปลูกกัน 5 ปีได้ทานผล เราอดทนปลูกดูแลอย่างดี 10 ปี ยังไม่ได้ทาน ก็อย่าปลูกต่อไปเลยค่ะ ย้ายไปปลูกที่อื่นแทนดีกว่า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังต้องเลือกโปรดสัตว์ ฉันใดก็ฉันนั้น
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป