แท้จริงแล้ว การกินเจก็ไม่สามารถทำให้เกิดบุญกุศลแต่ประกาศใด เพียงแต่ การกินเจ เป็นการตัดกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น มาต่อชีวิตของเรา จากการนำเลือดเนื้อของเขา มาเป็นเลื้อดเนื้อของเรา
และสำหรับที่ว่า เหตุใด วัว ควาย ก็กินเจ (หญ้า ผัก) แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์นั้น ก็เนื่องจากว่า เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติ อาจจะมีสาเหตุมาจาก เหตุต้นผลกรรมในอดึตชาติของเขาทำให้ในชาตินี้ต้องเกิดมาบำเพ็ญทางด้านการเว้นกรรมจากการกินเลือดเนื้อเขา
นอกจากการกินเจแล้ว ผู้บำเพ็ญธรรม ยังควรที่จะสร้างบุญสร้างกุศล บำเพ็ญจิตใจให้ผ่องใส ถือศีล ภาวนา ควบคู่กันไปด้วย เมื่อทานเจแล้ว ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วย บุญกุศลที่ได้รับมาก็จะไม่รั่วไหลออกไปไหน เหมือนอย่างเช่น แก้วน้ำที่ไม่มีรอยรั่ว เมื่อเติมน้ำเข้าไป ไม่นานก็จักมีวันเต็ม ฉันใดก็ฉันนั้น.....
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: LongJun
สถิติเว็บบอร์ด
- กลุ่ม Members
- โพสต์ 4
- ดูโปรไฟล์ 5050
- อายุ 38 ปี
- วันเกิด มิถุนายน 7, 1986
-
Gender
ไม่เปิดเผย
ข้อมูลการติดต่อ
- MSN [email protected]
- Website URL http://neostarclub.boxchart.com
- Yahoo [email protected]
0
Neutral
เครื่องมือผู้ใช้งาน
เพื่อน
LongJun ยังไม่มีเพื่อนในตอนนี้
ผู้เยี่ยมชมล่าสุด
โพสต์ที่ฉันโพสต์
ในกระทู้: การกินเจถือว่าเป็นบุญใหญ่ใช่ไหมค่ะ สามารถปิดอบายได้ไหมค่ะ
23 October 2006 - 11:15 AM
ในกระทู้: การกินเจถือว่าเป็นบุญใหญ่ใช่ไหมค่ะ สามารถปิดอบายได้ไหมค่ะ
22 October 2006 - 01:48 PM
<pre>
ธรรมะก็คือธรรมชาติ ดังนั้นแล้วผู้ที่จะปฏิบัติธรรมะได้ ก็คือการปฏิบัติตนเพื่อให้เข้าสู่ธรรมชาติ เดินอย่างเป็นธรรมชาติ คิดอย่างเป็นธรรมชาติ กินอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนอย่างที่คุณ KoonPatt ได้บอกไว้ครับว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์กินพืชคล้าย ๆ กับสัตว์จำพวก วัว ควาย ม้าอยู่แล้ว สังเกตุข้อแตกต่าง ได้ระหว่างสัตว์กินพืช และสัตว์กินเนื้อ ได้จากข้อแตกต่างที่พอจะยกมาห้าประการ คือ
1. เล็บ สำหรับสัตว์กินเนื้อ จะมีเล็บที่แหลมคมใช้ในการตะปบหรือฉีกกระชากเหยื่อ เช่น เสือ สิงโต เป็นต้น แต่สำหรับสัตว์กินพืช เช่น วิว ควาย นั้น จะมีเล็บที่ตัด ไม่แหลมคม เช่นเดียวกับมนุษย์เราที่สังเกตุว่า ถ้าเราไม่ตัดให้แหลมคมเองแล้ว มนุษย์เราจะมีเล็บที่ตัด เหมือนกับสัตว์ประเภทกินพืช เพื่อใช้ในการเด็ดหรือหยิบอาหาร
2. ฟัน สำหรับสัตว์ทีกินเนื้อนั้น จะมีเขี้ยวยาวและแหลมคม เพื่อใช้ฆ่าทำลายหรือฉีกกัดมีฟันกรามที่แข็งแรง แต่สำหรับสัตว์กินพืชนั้น จะมีฟันตัด ส่วนคนเรานั้น มีฟันตัดเหมือนสัตว์กินพืชและเป็นฟันตัดที่ไม่ยื่นยาวและไม่แหลมคม
3. ผิวหนัง สัตว์กินเนื้อ นั้น จะมีขนปกคลุมรทั่วตัว และระบายเหงื่อทางลิ้น ส่วนสัตว์กินพืชนั้น จะมีต่อมเหงื่อและรูขุมขนช่วยในการระบายความร้อนออกทางผิวหนัง เช่นเดียวกันกับคนเรา
4. การมองเห็น สัตว์กินเนื้อนั้น ส่วนมากแล้วจะออกหากินในเวลากลางคืน มองเห็นได้ชัด ส่วนในเวลากลางวันจะนอนหลับพักผ่อน แต่สำหรับสัตว์กินพืชและมนุษย์เรานั้น จะหากินในเวลากลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนนั้นจะมองเห็นไม่ชัด และนอนหลับพักผ่อน
5. ลำไส้ สำหรับสัตว์กินเนื้อ จะมีลำไส้ยาวกว่ากระดูกสันหลังเพียงแค่ 3 เท่า แต่สัตว์กินพืชและคนเรา จะมีลำใส้ยาวถึง 10 - 12 เท่าของกระดูกสันหลัง เนื่องจากว่า สัตว์กินเนื้อนั้น ต้องใช้ระยะเวลาเร็วในการขับถ่าย เพราะเนื้อสัตว์จะมีการเน่าสลายอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เราซื้อเนื้อมา แล้วไม่ได้เอาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เย็น ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน ก็จะเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว เช่นนี้ สัตว์ประเภทกินเนื้อ จึงมีลำไส้ที่สัตว์เพื่อให้การขับถ่ายทำได้อย่างรวดเร็ว
ฯลฯ
แท้จริงแล้ว การกินเจก็ไม่สามารถทำให้เกิดบุญกุศลแต่ประกาศใด เพียงแต่ การกินเจ เป็นการตัดกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น มาต่อชีวิตของเรา จากการนำเลือดเนื้อของเขา มาเป็นเลื้อดเนื้อของเรา
และสำหรับที่ว่า เหตุใด วัว ควาย ก็กินเจ (หญ้า ผัก) แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์นั้น ก็เนื่องจากว่า เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติ อาจจะมีสาเหตุมาจาก เหตุต้นผลกรรมในอดึตชาติของเขาทำให้ในชาตินี้ต้องเกิดมาบำเพ็ญทางด้านการเว้นกรรมจากการกินเลือดเนื้อเขา
นอกจากการกินเจแล้ว ผู้บำเพ็ญธรรม ยังควรที่จะสร้างบุญสร้างกุศล บำเพ็ญจิตใจให้ผ่องใส ถือศีล ภาวนา ควบคู่กันไปด้วย เมื่อทานเจแล้ว ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วย บุญกุศลที่ได้รับมาก็จะไม่รั่วไหลออกไปไหน เหมือนอย่างเช่น แก้วน้ำที่ไม่มีรอยรั่ว เมื่อเติมน้ำเข้าไป ไม่นานก็จักมีวันเต็ม ฉันใดก็ฉันนั้น.....
เสียงร้องขอชีวิตจิตหวาดหวั่น............เสียงห้ำหั่นเข่นฆ่าน่าสยอง
เสียงซวบซาบคมดาบเชื่อดเลือดไหนนอง............เสียงกรีดร้องสะท้านจิตสะกิดใจ
เสียงสัพเพสัตตาพาให้คิด..........................ว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าสิ่งไหน
อเวราอย่ามีเวรอย่าเป็นภัย..............................ชีวิตใครใครก็หวงอย่าล่วงเกิน
ท่องสัพเพสัตตามาแต่ไหน.........................ยังเข้าใจในเนื้อหาแค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้างกินบ้างอย่างเพลิดเพลิน......................ยังใช้เงินซื้อชีวิตอนิจจา
สัตว์เกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้...................เป็นเป็ดไก่กุ้งปูเป็นหมูหมา
ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา.............................มิใช่ฟ้าประทานไว้ให้คนกิน
มีปัญญาแต่ไฉนจึงไม่คิด...........................มองชีวิตกลับเห็นเป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้องก่อนตายใครได้ยิน........................น้ำตารินเมื่อถูกเชือดเลือดกระเซ็น
พุดว่าเขาเกิดมาเป็นอาหาร........................เขาลนลานหนีตายมีใครเห็น
พูดไม่ได้สู่ไม่ได้เถียงไม่เป็น............................ช่างเลือดเย็นเข่นฆ่าไม่ปราณี
มีพืชผักมากมายนับไม่หมด........................ทุกกลิ่นรสสดใสหลายหลากสี
ธรรมชาติจัดวางไว้อย่างดิบดี..........................สัตว์วิ่งหนี่พืชเต็มใจให้กินมัน
เพราะเรากินเขาจึงฆ่าเอามาขาย.................เราสบายแต่สัตว์โลกต้องโศกศัลย์
ท่องสัพเพสัตตามาทุกวัน...............................เมตตากันโปรดอย่าฆ่าและอย่ากิน
ธรรมะก็คือธรรมชาติ ดังนั้นแล้วผู้ที่จะปฏิบัติธรรมะได้ ก็คือการปฏิบัติตนเพื่อให้เข้าสู่ธรรมชาติ เดินอย่างเป็นธรรมชาติ คิดอย่างเป็นธรรมชาติ กินอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนอย่างที่คุณ KoonPatt ได้บอกไว้ครับว่า แท้จริงแล้วมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์กินพืชคล้าย ๆ กับสัตว์จำพวก วัว ควาย ม้าอยู่แล้ว สังเกตุข้อแตกต่าง ได้ระหว่างสัตว์กินพืช และสัตว์กินเนื้อ ได้จากข้อแตกต่างที่พอจะยกมาห้าประการ คือ
1. เล็บ สำหรับสัตว์กินเนื้อ จะมีเล็บที่แหลมคมใช้ในการตะปบหรือฉีกกระชากเหยื่อ เช่น เสือ สิงโต เป็นต้น แต่สำหรับสัตว์กินพืช เช่น วิว ควาย นั้น จะมีเล็บที่ตัด ไม่แหลมคม เช่นเดียวกับมนุษย์เราที่สังเกตุว่า ถ้าเราไม่ตัดให้แหลมคมเองแล้ว มนุษย์เราจะมีเล็บที่ตัด เหมือนกับสัตว์ประเภทกินพืช เพื่อใช้ในการเด็ดหรือหยิบอาหาร
2. ฟัน สำหรับสัตว์ทีกินเนื้อนั้น จะมีเขี้ยวยาวและแหลมคม เพื่อใช้ฆ่าทำลายหรือฉีกกัดมีฟันกรามที่แข็งแรง แต่สำหรับสัตว์กินพืชนั้น จะมีฟันตัด ส่วนคนเรานั้น มีฟันตัดเหมือนสัตว์กินพืชและเป็นฟันตัดที่ไม่ยื่นยาวและไม่แหลมคม
3. ผิวหนัง สัตว์กินเนื้อ นั้น จะมีขนปกคลุมรทั่วตัว และระบายเหงื่อทางลิ้น ส่วนสัตว์กินพืชนั้น จะมีต่อมเหงื่อและรูขุมขนช่วยในการระบายความร้อนออกทางผิวหนัง เช่นเดียวกันกับคนเรา
4. การมองเห็น สัตว์กินเนื้อนั้น ส่วนมากแล้วจะออกหากินในเวลากลางคืน มองเห็นได้ชัด ส่วนในเวลากลางวันจะนอนหลับพักผ่อน แต่สำหรับสัตว์กินพืชและมนุษย์เรานั้น จะหากินในเวลากลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนนั้นจะมองเห็นไม่ชัด และนอนหลับพักผ่อน
5. ลำไส้ สำหรับสัตว์กินเนื้อ จะมีลำไส้ยาวกว่ากระดูกสันหลังเพียงแค่ 3 เท่า แต่สัตว์กินพืชและคนเรา จะมีลำใส้ยาวถึง 10 - 12 เท่าของกระดูกสันหลัง เนื่องจากว่า สัตว์กินเนื้อนั้น ต้องใช้ระยะเวลาเร็วในการขับถ่าย เพราะเนื้อสัตว์จะมีการเน่าสลายอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เราซื้อเนื้อมา แล้วไม่ได้เอาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เย็น ทิ้งไว้ประมาณ 1 วัน ก็จะเริ่มมีกลิ่นเหม็นเน่าแล้ว เช่นนี้ สัตว์ประเภทกินเนื้อ จึงมีลำไส้ที่สัตว์เพื่อให้การขับถ่ายทำได้อย่างรวดเร็ว
ฯลฯ
แท้จริงแล้ว การกินเจก็ไม่สามารถทำให้เกิดบุญกุศลแต่ประกาศใด เพียงแต่ การกินเจ เป็นการตัดกรรมที่จะเกิดขึ้นจากการเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น มาต่อชีวิตของเรา จากการนำเลือดเนื้อของเขา มาเป็นเลื้อดเนื้อของเรา
และสำหรับที่ว่า เหตุใด วัว ควาย ก็กินเจ (หญ้า ผัก) แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นสวรรค์นั้น ก็เนื่องจากว่า เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติ อาจจะมีสาเหตุมาจาก เหตุต้นผลกรรมในอดึตชาติของเขาทำให้ในชาตินี้ต้องเกิดมาบำเพ็ญทางด้านการเว้นกรรมจากการกินเลือดเนื้อเขา
นอกจากการกินเจแล้ว ผู้บำเพ็ญธรรม ยังควรที่จะสร้างบุญสร้างกุศล บำเพ็ญจิตใจให้ผ่องใส ถือศีล ภาวนา ควบคู่กันไปด้วย เมื่อทานเจแล้ว ถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วย บุญกุศลที่ได้รับมาก็จะไม่รั่วไหลออกไปไหน เหมือนอย่างเช่น แก้วน้ำที่ไม่มีรอยรั่ว เมื่อเติมน้ำเข้าไป ไม่นานก็จักมีวันเต็ม ฉันใดก็ฉันนั้น.....
เสียงร้องขอชีวิตจิตหวาดหวั่น............เสียงห้ำหั่นเข่นฆ่าน่าสยอง
เสียงซวบซาบคมดาบเชื่อดเลือดไหนนอง............เสียงกรีดร้องสะท้านจิตสะกิดใจ
เสียงสัพเพสัตตาพาให้คิด..........................ว่าชีวิตนี้มีค่ากว่าสิ่งไหน
อเวราอย่ามีเวรอย่าเป็นภัย..............................ชีวิตใครใครก็หวงอย่าล่วงเกิน
ท่องสัพเพสัตตามาแต่ไหน.........................ยังเข้าใจในเนื้อหาแค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้างกินบ้างอย่างเพลิดเพลิน......................ยังใช้เงินซื้อชีวิตอนิจจา
สัตว์เกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้...................เป็นเป็ดไก่กุ้งปูเป็นหมูหมา
ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา.............................มิใช่ฟ้าประทานไว้ให้คนกิน
มีปัญญาแต่ไฉนจึงไม่คิด...........................มองชีวิตกลับเห็นเป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้องก่อนตายใครได้ยิน........................น้ำตารินเมื่อถูกเชือดเลือดกระเซ็น
พุดว่าเขาเกิดมาเป็นอาหาร........................เขาลนลานหนีตายมีใครเห็น
พูดไม่ได้สู่ไม่ได้เถียงไม่เป็น............................ช่างเลือดเย็นเข่นฆ่าไม่ปราณี
มีพืชผักมากมายนับไม่หมด........................ทุกกลิ่นรสสดใสหลายหลากสี
ธรรมชาติจัดวางไว้อย่างดิบดี..........................สัตว์วิ่งหนี่พืชเต็มใจให้กินมัน
เพราะเรากินเขาจึงฆ่าเอามาขาย.................เราสบายแต่สัตว์โลกต้องโศกศัลย์
ท่องสัพเพสัตตามาทุกวัน...............................เมตตากันโปรดอย่าฆ่าและอย่ากิน
ในกระทู้: การทำลายใยแมงมุมที่บ้านถือว่าทำลายรังสัตว์หรือไม่? บาปไหม?
22 October 2006 - 12:58 PM
ผมก็ยังว่าผิดอยู่ดีแหละครับ เขาก็มีบ้านของเขาเราก็มีบ้านของเรา การทำความสะอาดบ้านของเรา แต่ต้องไปทำลายบ้านของเขา สมมุติว่าถ้าหากมีคนข้างบ้านต้องการที่จะทำความสะอาดบ้านของเขา แต่ปรากฏว่ามีส่วนหนึ่งของบ้านของเรา ยื่นไปอยู่ในบ้านของเขา เขาก็เลยทุบบ้านของเราในส่วนที่ยื่นเข้าไปทิ้งเสีย อย่างนี้ เราในฐานะเจ้าของบ้านจะรู้สึกอย่างไรครับ ..... นอกจากนี้ บางทีเรากำลังกวาดไปกวาดมาอยู่ดี ๆ ไม้กวาดของเรา ไปปัดเอาตัวแมงมุมเข้า ตัวแมงมุมตาย อย่างนี้คิดว่าไงครับ เผื่อบางทีเขามีไข่ ไข่ตายหมด อย่างนี้คิดว่าไงครับ
เรามีความรู้สึก เขาก็มีความรู้สึก เราโกรธ เราโมโห เวลามีคนมาทำร้ายเรา เวลามีคนมาทำอะไรต่อมิอะไรกับเรา เขาก็เช่นกัน แม้เป็งเพียงสัตว์ตัวเล็กแต่ก็มีความรู้สึกเช่นกันครับ
เรามีความรู้สึก เขาก็มีความรู้สึก เราโกรธ เราโมโห เวลามีคนมาทำร้ายเรา เวลามีคนมาทำอะไรต่อมิอะไรกับเรา เขาก็เช่นกัน แม้เป็งเพียงสัตว์ตัวเล็กแต่ก็มีความรู้สึกเช่นกันครับ
ในกระทู้: การทำลายใยแมงมุมที่บ้านถือว่าทำลายรังสัตว์หรือไม่? บาปไหม?
22 October 2006 - 11:48 AM
ผมว่ามีแหละครับ อย่างน้อยก็ไปทำลายที่อยู่อาศัยของเขา ให้เขาต้องไร้ไปซึ่งที่อยู่อาศัยอ่ะครับ
- ธรรมะสร้างกำลังใจ ทำให้คุณเป็นสุขใจได้ตลอดเวลา
- → ดูโปรไฟล์: โพสต์: LongJun
- Privacy Policy
- เงื่อนไข ข้อตกลง และกฏระเบียบของเว็บไซต์ DMC ·