เมื่อวานผมเองได้ไปงานสลายร่าง ขุนพลกล้า กองทัพธรรม พระมหาโชติญาณ สุวีโร มานะครับก่อนกลับ ได้มีของที่ระลึก เป็นหนังสือขนาดพอเหมาะมือ ชื่อว่า ความตาย...ส่วนหนึ่งของชีวิต ผมจึงขอหยิบยกส่วนหนึ่งของหนังสือดังกล่าวมาให้ทุกคนได้อ่านกันนะครับ
ความตาย...ส่วนหนึ่งของชีวิต โดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ว่าความตายเปนเรื่องปกติธรรมดาของทุกคนในโลกไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน ทุกคนล้วนตายกันหมด ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความตายมีการมาพร้อมกับการเกิด แต่เป็นความตายที่ไม่ชัดเจน เพราะมีการเกิดตายอย่างต่อเนื่อง เช่น เซลล์หนึ่งตายไป ก็มีเซลล์ใหม่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และตายไปเป็นอย่างนี้อย่างต่อเนื่อง แต่เราจะไม่เห็นความตายอย่างชัดเจน ต่อเมื่อเราตายจริงๆเท่านั้น ฉะนั้น ผู้รู้จึงเห็นเรื่องของความตายนั้นเป็นปกติธรรมดา แค่การเปลี่ยนจากกายหนึ่งไปสู่อีกกายหนึ่งเท่าเอง
อีกทั้ง พระพุทธองค์ทรงสอนให้รู้ความตาย คือ ความทุกข์ ความทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เช่น คนรัก ของรัก สัตว์ที่รัก ทรัพย์สินเงินทอง หรืออะไรที่เป็นที่รัก เพราะฉะนั้นตรงนี้จึงเป็นความทุกข์กับคนที่เขารักเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเห็นว่า ความตายไม่ควรจะมีในโลกนี้ ท่านจึงค้นพบว่า ถ้าไม่อยากตาย ต้องไม่เกิด และท่านก็ค้นพบวิธีการที่ไม่ต้อง "มาเกิด" อีก เพื่อจะได้ไม่ต้อง "มาตาย" อีก
ชาวพุทธแท้ที่ได้ศึกษาเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตดังกล่าวนั้น ก็จะไม่กลัวตาย เพราะรู้ว่ากลัวก็ตาย ไม่กลัวก็ต้องตาย ดังนั้นจะหันมาสนใจในการ "เตรียมตัวตาย" มากกว่า ว่าทำอย่างไรตายแล้วจึงไปดี
ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวตาย ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก โดยการขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป หรืออย่างน้อยก็ละชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ ถ้าหากใครได้เตรียมตัวตาย ปฏิบัติธรรมะ จนกระทั่งใจผ่องใส เขาก็จะมีความรู้สึกที่อยู่เเหนือ "ความกลัวตาย" หรือ "ความไม่กลัวตาย" คือจะมีความสุขอยู่ ณ จุดตรงนั้น ตรงที่มีความบริสุทธิ์แล้วก็ไม่เกิดความรู้สึกที่กลัว หรือไม่กลัวตายเลย ยิ่งผู้ที่ได้สมาธิขั้นสูง จนกระทั่งเข้าถึงองค์พระใสๆ ถอดกายได้ ก็จะยิ่งอยู่เหนือความรู้สึกว่ากลัวตาย หรือไม่กลัวตายเพราะเขาสามารถที่จะตายพร้อมกับความตายได้ หรือตายก่อนตายได้
เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม
ชาวพุทธ คาดหวังว่าตายแล้วจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก คือไปพระนิพพาน เช่นเดียวกับพระสัมมาสัพุทธเจ้า หรืออย่างน้อยก็จะปิดอบายแล้วก็ไปสวรรค์ แต่สวรรค์ในที่นี้ ไม่ใช่นิรันดร เป็นเพียงที่พักกลางทาง เมื่อถึงเวลาก็จะลงมาสร้างบุญกุศล มาทำความเพียร ขจัดกิเลสอสสวะให้หมดสิ้นไป ในตอนที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และไม่ต้องมาเกิดอีก และเมื่อสามารถประหารกิเลสได้หมดแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดก็หมดสิ้นไป เมื่อไม่กลับมาเกิดอีก เราก็ไม่ต้องกลับมาตายอีกเช่นกัน.
********************************************************************
ความตาย...ส่วนหนึ่งของชีวิต
เริ่มโดย usr18940, Jun 02 2008 12:26 PM
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 02 June 2008 - 12:26 PM
#2
โพสต์เมื่อ 02 June 2008 - 01:58 PM
สาธุคะ ^/\^
#3
โพสต์เมื่อ 02 June 2008 - 03:57 PM
อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ......สาธุ
#4
โพสต์เมื่อ 02 June 2008 - 09:59 PM
Sathu Krub
#5
โพสต์เมื่อ 03 June 2008 - 03:21 AM
อนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ
#6
โพสต์เมื่อ 03 June 2008 - 08:28 AM
เป็นบทความที่ดีครับ แม้รู้ทั้งรู้ แต่ก็ต้องตอกย้ำซ้ำเดิมลงไปให้แน่น ๆ ยิ่งได้อ่านในวันพระด้วย คูณสอง ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ
#7
โพสต์เมื่อ 03 June 2008 - 10:40 AM
อนุโมทนาบุญ สาธุครับ
#8
โพสต์เมื่อ 03 June 2008 - 12:12 PM
อนุโมทนาบุญด้วยค่า สาธุ
#9
โพสต์เมื่อ 03 June 2008 - 01:21 PM
มาร่วมปลงธรรมสังเวชด้วยคนครับผม
คำร้อง : Richard S. Esposito January
ทำนอง/เรียบเรียง : ธนัช สุวรรณบุบผา
ขับร้อง : พฤฒิกา แจ้งรัตนะตระกูล
Death is part of life, and so the seasons turn.
Death is part of life, forever this lesson we must learn.
Separation and sadness is for a season, and the pain will soon be gone,
we can replace the deepest sadness with a new hope to carry on.
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันเป็นบทเรียนที่เราจำต้องเรียนรู้อยู่ตลอด
หากแต่ห้วงเวลาแห่งความพลัดพราก ความเศร้าโศก และความเจ็บปวด จะจางคลายไปในไม่ช้านี้
เราสามารถแทนที่ความเศร้าอันแสนสุดซึ้งนี้ ด้วยความหวังครั้งใหม่ที่จะก้าวต่อไป
(*) We can rise above our grief by quietly reaching within,
and find a Centered Peace and a new life will begin.
เราสามารถอยู่เหนือความโศกเศร้า โดยการเข้าถึง ‘ภายใน’ อันสงบ
และเราจะได้พบกับ ‘ความสุขสงบในศูนย์กลางกาย’ แล้วชีวิตใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น
Death is part of life, and so the seasons turn,
How much more suffering must we know, before we can act on what we learn.
Death is part of life (ซ้ำ *)
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน
ยังมีความทุกข์อีกมากมายที่เราต้องตระหนักรู้ ก่อนที่เราจะสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาปฏิบัติได้
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
As one family with one heart and mind, whose goal is simple and true,
let us ease all pain, and create happiness,
and an inner peace that is true, that is true
Death is part of life.
เหมือนกับครอบครัวหนึ่งที่มีหัวใจดวงเดียวกัน ซึ่งมีเป้าหมายคือความจริงอันเรียบง่าย
เรามาคลายความเศร้าโศกกันเถิด แล้วสรรสร้างแต่ความสุข
สันติภาพภายในที่เป็นความจริง นั่นคือสัจธรรม
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
Death is part of life, and so the seasons turn,
the deepest peace, unity and love from disasters, we can learn.
Death is part of life.
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน
สันติสุขอันสุดซึ้ง กับความรักและความสามัคคี อันเกิดจากภัยพิบัติ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
On the wings of the morning there comes a new day,
a chance to begin and start a new way.
ยามที่อ้อมอกแห่งอรุณรุ่งได้นำพาวันใหม่มาเยือน
นั่นคือโอกาสแห่งการเริ่มต้นก้าวไปในหนทางใหม่.
*ขอโอกาสอันเชิญพุทธพจน์มากระตุ้นเตือนเพื่อนกัลยาณมิตรครับ*
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺป โก ชฺา มรณ สุเว
น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา
บุคคลควรทำความเพียรตั้งแต่วันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่า ความตายจักมีในวันพรุ่งนี้
เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนามากนั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
อ้างอิงจาก-พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๕๓๔ หน้าที่ ๓๕๑.
Part of Life
ส่วนหนึ่งของชีวิต
ส่วนหนึ่งของชีวิต
คำร้อง : Richard S. Esposito January
ทำนอง/เรียบเรียง : ธนัช สุวรรณบุบผา
ขับร้อง : พฤฒิกา แจ้งรัตนะตระกูล
Death is part of life, and so the seasons turn.
Death is part of life, forever this lesson we must learn.
Separation and sadness is for a season, and the pain will soon be gone,
we can replace the deepest sadness with a new hope to carry on.
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มันเป็นบทเรียนที่เราจำต้องเรียนรู้อยู่ตลอด
หากแต่ห้วงเวลาแห่งความพลัดพราก ความเศร้าโศก และความเจ็บปวด จะจางคลายไปในไม่ช้านี้
เราสามารถแทนที่ความเศร้าอันแสนสุดซึ้งนี้ ด้วยความหวังครั้งใหม่ที่จะก้าวต่อไป
(*) We can rise above our grief by quietly reaching within,
and find a Centered Peace and a new life will begin.
เราสามารถอยู่เหนือความโศกเศร้า โดยการเข้าถึง ‘ภายใน’ อันสงบ
และเราจะได้พบกับ ‘ความสุขสงบในศูนย์กลางกาย’ แล้วชีวิตใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น
Death is part of life, and so the seasons turn,
How much more suffering must we know, before we can act on what we learn.
Death is part of life (ซ้ำ *)
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน
ยังมีความทุกข์อีกมากมายที่เราต้องตระหนักรู้ ก่อนที่เราจะสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาปฏิบัติได้
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
As one family with one heart and mind, whose goal is simple and true,
let us ease all pain, and create happiness,
and an inner peace that is true, that is true
Death is part of life.
เหมือนกับครอบครัวหนึ่งที่มีหัวใจดวงเดียวกัน ซึ่งมีเป้าหมายคือความจริงอันเรียบง่าย
เรามาคลายความเศร้าโศกกันเถิด แล้วสรรสร้างแต่ความสุข
สันติภาพภายในที่เป็นความจริง นั่นคือสัจธรรม
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
Death is part of life, and so the seasons turn,
the deepest peace, unity and love from disasters, we can learn.
Death is part of life.
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เหมือนฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน
สันติสุขอันสุดซึ้ง กับความรักและความสามัคคี อันเกิดจากภัยพิบัติ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า
ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
On the wings of the morning there comes a new day,
a chance to begin and start a new way.
ยามที่อ้อมอกแห่งอรุณรุ่งได้นำพาวันใหม่มาเยือน
นั่นคือโอกาสแห่งการเริ่มต้นก้าวไปในหนทางใหม่.
*ขอโอกาสอันเชิญพุทธพจน์มากระตุ้นเตือนเพื่อนกัลยาณมิตรครับ*
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺป โก ชฺา มรณ สุเว
น หิ โน สงฺครนฺเตน มหาเสเนน มจฺจุนา
บุคคลควรทำความเพียรตั้งแต่วันนี้ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่า ความตายจักมีในวันพรุ่งนี้
เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนามากนั้น ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย
อ้างอิงจาก-พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๕๓๔ หน้าที่ ๓๕๑.
ไฟล์แนบ
#10
โพสต์เมื่อ 03 June 2008 - 05:16 PM
คิดถึง "ความตาย" แล้ว ยังอดหนาวๆร้อนๆไม่ได้ เพราะตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงพระธรรมกายภายใน ชีวิตยังนับว่าไม่ปลอดภัย ฉะนั้น เราๆท่านๆทั้งหลายต้องตั้งใจในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆขึ้นไป เพื่อความปลอดภัยในชีวิต (รำพึงเพื่อเตือนตนเองและสะกิดเตือนผู้อื่นนิดๆ)
#11
โพสต์เมื่อ 03 June 2008 - 10:05 PM
ชีวิตเป็นของน้อยนิด เหมือนน้ำค้างยามเช้าที่พร้อมจะเหือดหายไปในเวลาไม่นาน
ต้องรีบทำความเพียร ให้ได้บรรลุธรรม ก่อนที่จะหมดเวลาชีวิต
ชีวิตของคนที่ยืนยาวร้อยปี หากไร้เสียซึ่งความเพียร ไร้การสร้างบุญบารมี ไม่อาจนับได้ว่ามีค่า
แต่คนที่มีเวลาชีวิตเพียงวันเดียว แต่หากได้ทุ่มเททำความดี สร้างบารมีอย่างเต็มที่แล้ว ชีวิตเช่นนี้น่าสรรเสริญ(และคุ้มค่า)ยิ่งกว่า
หากชีวิตใครมีเวลามากกว่า 1 วัน ที่มีโอกาสของชีวิตเป็นเดือน เป็นปี เป็นสิบๆปี
หากปล่อยเวลาทิ้งสูญเปล่า ให้วันเวลาผ่านไปอย่างไม่ได้ใช้เวลาสร้างบารมีให้เต็มที่ ก็น่าเสียดาย
ต้องรีบทำความเพียร ให้ได้บรรลุธรรม ก่อนที่จะหมดเวลาชีวิต
ชีวิตของคนที่ยืนยาวร้อยปี หากไร้เสียซึ่งความเพียร ไร้การสร้างบุญบารมี ไม่อาจนับได้ว่ามีค่า
แต่คนที่มีเวลาชีวิตเพียงวันเดียว แต่หากได้ทุ่มเททำความดี สร้างบารมีอย่างเต็มที่แล้ว ชีวิตเช่นนี้น่าสรรเสริญ(และคุ้มค่า)ยิ่งกว่า
หากชีวิตใครมีเวลามากกว่า 1 วัน ที่มีโอกาสของชีวิตเป็นเดือน เป็นปี เป็นสิบๆปี
หากปล่อยเวลาทิ้งสูญเปล่า ให้วันเวลาผ่านไปอย่างไม่ได้ใช้เวลาสร้างบารมีให้เต็มที่ ก็น่าเสียดาย
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ
#12
โพสต์เมื่อ 04 June 2008 - 02:59 PM
คุณพ่อผมเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 18 พ.ค.51 นี้เอง ตรงกับวันเกิดท่านพอดี ตายแบบปุบปับครับ ยังคุยกันดีๆ บอกเวียนหัวอยากไปหาหมอ ไปถึงโรงพยาบาลก็อาเจียนหนัก พอนอนบนเตียงในห้องฉุกเฉินปุ๊บก็หายใจยาว 1 เฮือก ตาช้อนขึ้น หน้าดำ เท้าเกรง แล้วก็จากไปแบบ ผมช็อก แม่ช็อก ชาวบ้านทุกคนก็ช็อก หมอบอกกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ท่านเข้าวัดต่อเนื่องตลอด 15 ปีสุดท้ายนี้ ทำทุกๆบุญที่เป็นดำริของหลวงพ่อ ผมก็ภวนาและบอกให้ท่านไปดุสิตบุรีให้ได้ ไปพักที่นั่นก่อน โดยสร้างพระประจำตัวภายในส่งบุญให้ท่านทันที และหล่อหลวงปู่ด้วยทองคำ ทุกวันนี้ทำใจได้ แต่อดคิดถึงท่านไม่ได้ในบางเวลา น้ำตามัยไหลออกมาเอง เพราะเรารักกันมาก ทำได้แค่นั้งธรรมมะแล้วอุทิศบุญกุศลให้ท่านครับ...