มิตรแท้มิตรเทียม ดูกันที่ตรงไหน ขอความรู้ค่า
#1
โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 10:05 AM
อยากจะรู้จริงๆ ค่ะ เพราะรู้สึกว่า เพื่อนที่จริงใจนั้น หายากเหมือนกัน
แบบไหนถึงเรียกว่ามิตรแท้ เพื่อนที่คุยกันได้ทุกเรื่อง เรียกว่ามิตรแท้หรือไม่ ? ยังคงสงสัยอยู่นะค่ะ
หรือคำว่า "มิตรแท้" ไม่มีจริงอยู่ในโลกนี้ ?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมิตรแท้หรือไม่ หลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย ท่านมีพระธรรมกายเป็นมิตรแท้อย่างเดียวหรอคะ?
แล้วสำหรับ ปุถุชน คนมีกิเลสหนา จะหามิตรแท้ได้ไหมคะ
การเลือกคบมิตร มีวิธีแบบไหนบ้าง แล้วเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ควรเว้นระยะมากน้อยขนาดไหน และจะทำอย่างไร ให้มิตรภาพที่ดี เกิดขึ้นอย่างถาวร สืบไปนานเท่านาน แล้วบางที คนก็ไม่ดีพร้อม 100% ควรจะทำอย่างไร ไม่ให้เขาโกรธ
1. ขอทฤษฎี
2. และอยากจะขอประสบการณ์ตรงจากผู้ที่มีมิตรคบกันอย่างยั่งยืนด้วยค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#2
โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 12:37 PM
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=2185
ส่วนผมจะขอขยายความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมิตรแท้หรือไม่ คำตอบคือ มีครับ
เป็นมิตรแท้ข้ามภพข้ามชาติกันทีเดียวล่ะครับ
ครั้งหนึ่ง พระอานนท์ท่านเคยนั่งคิดอยู่คนเดียวว่า การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น
เป็นเพราะตัวเอง หรือ เป็นเพราะเพื่อน หรือเป็นเพราะตัวเองครึ่งหนึ่ง เพื่อนอีกครึ่งหนึ่งกันแน่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาเห็นเข้าจึงตรัสถาม เมื่อทราบความแล้ว พระพุทธองค์จึงทรงเฉลยว่า
"อานนท์ กัลยาณมิตร เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์(ความสำเร็จในชีวิต)"
แล้วก็ยกตัวอย่างพระองค์เอง ในพุทธธันดรก่อน เกิดเป็นชายหนุ่มชื่อ โชติปาละ ได้พบพระกัสสัปสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ไม่มีศรัทธา ด้วยคิดว่า การตรัสรู้ธรรม เป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่ใช่ใครจะมาทำกันได้ง่ายๆ
จนกระทั่ง มิตรแท้ของพระองค์ คือ ฆฏิการะ ได้มาชวนโชติปาละ ไปฟังธรรม แต่ชวนเท่าไหร่ๆ โชติปาละก็ไม่สนใจ
ด้วยไม่เชื่อว่า จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฆฏิการะชวนไม่สำเร็จ เลยดึงมวยผมให้ไปฟังธรรม ซึ่งถือเป็นการเสียมารยาทอย่างยิ่ง
โชติปาละ งง มากว่า เพื่อนที่เป็นคนดีขนาดนี้ ยอมเสียมารยาท เพื่อจะนำตนไปฟังธรรมให้ได้
แสดงว่า การไปฟังธรรม ต้องมีอะไรดีๆ แน่นอน จึงตกลงยอมไปฟังธรรม
ครั้นเมื่อโชติปาละได้ไปฟังธรรม ก็บังเกิดจิตศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น ตัดสินใจสละสมบัติออกบวช
พระกัสสัปปสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพยากรณ์ว่า โชติปาละผู้นี้ ได้อนาคต จะเป็นตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า โคดม
ฆฏิการะได้ฟังว่า เพื่อนจะสำเร็จสูงสุดในชีวิตในอนาคต ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ท่านเองก็บรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีแล้ว
จึงได้กล่าวขึ้นว่า ถ้าอย่างนั้น ตนจะยังไม่ขอเข้าพระนิพพาน แต่จะขออยู่รอจนเห็นพระฆฏิการะเพื่อนรักตรัสรู้เป็น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
และในวันบวชของโชติปาละในพุทธันดรหน้า ตนจะนำผ้าไตรมาถวาย
หลังจากนั้น ฆะฏิการะ ก็ไปเกิดในชั้นพรหมสุทธาวาส รอคอยที่จะได้พบ โชติปาละ เพื่อนรักอีก
ส่วนโชติปาละ ก็เวียนว่ายตายเกิดสร้างบารมีเรื่อยๆไป จนได้มาเกิดเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ
และในวันที่เจ้าชายออกบวช พรหม ฆะฏิการะ ก็ได้นำผ้าไตร มาถวายให้เจ้าชายสิทธัตถะ
และได้อยู่เฝ้าดูจนเจ้าชายสิทธัตถะ ได้บรรลุธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีเดียว
#3
โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 01:31 PM
ขอเสริมนิดค่ะ
มิตรแท้ คือผู้ชี้ทางสว่างไปสู่สวรรค์ พระนิพพาน และเป็นผู้ช่วยประคับคองเราไปในเส้นทางที่ดีงาม
ตรงข้าม มิตรเทียม ดูเผินๆเหมือนเป็นมิตร คือ ทำให้เรามีความสุข แต่ปลายทางสุดท้ายของการคบ นำไปสู่ความทุกข์
มิตรแท้ที่ดี ไม่ค่อยสร้างการทะเลาะหรือแม้แต่ขัดแย้งกับเพื่อนหรอก มีแต่จะอะลุ้มอะล่วย ปรองดอง ปรับผ่อนบรรยากาศให้ดี เพื่อรักษาใจเพื่อน ประการหนึ่ง เหตุผลอีกประการหนึ่งคือผู้ที่เป็นบัณฑิตจะไม่นิยมทำให้ใจตนหรือใจใครเศร้าหมอง หากความคิดเห็นไม่ตรงกันก็จะพูดจาชี้แจงกันดีๆหรือไม่ก็นิ่งๆไว้ เว้นแต่มีเหตุไปสู่ความเสื่อมก็อาจออกโรงอย่างเสียงดังหรือแรงๆ แต่ก็เป็นไปเพื่อความปลอดภัยของเพื่อน กรณีนี้ต้องมองที่เจตนาและเป้าหมายของการกระทำของมิตรแท้ ซึ่งคนที่ฉลาดในการคิดและมีสติตลอดเวลาย่อมเข้าใจเหตุผลได้
มิตรเทียมดูภายนอก อาจเอาใจเรา ทำให้เราประทับใจ แต่ลึกๆก็เชื่อว่าเราทุกคนก็คงรู้สึกได้ เพียงแต่อาจมีความลังเลสงสัยในใจ เมื่อสงสัย ก็ต้องนำธรรมะเข้าจับ คือ เรื่องทิศ6
คนเราต้องดูให้ละเอียด อาจดูนานหน่อย แต่เมื่อความจริงปรากฏ เราก็ควรยึดธรรมะเป็นที่พึ่ง ไม่ควรยึดอารมณ์ความชอบใจของตนเป็นใหญ่ในการตัดสินใจ เพราะจะทำให้พลาดพลั้งได้
คบกับมิตรแท้ เราควรใช้การอภัยเนืองๆ
แต่กับมิตรเทียม เราต้องใช้ความจำอยู่ตลอดเวลา จำว่าเขาเป็นอย่างไร และควรทำอย่างไรกับเขา
อีกประการ เพื่อนที่เจตนาดี แต่ไม่ได้เป็นผู้รู้ ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรทำ ก็อาจพาไปสู่ความเสื่อมได้ เช่น คนในสังคมปัจจุบันที่ชวนกันไปดื่มเหล้า หลายคนเป็นคนที่สังคมยกย่องว่าเป็นคนดี (แต่ศีลธรรมพร่อง) อยากให้เพื่อนหายเครียด แต่ไม่รู้ว่าจะพาไปนรก เป็นต้น ก็ต้องระวังรักษาให้ห่างไว้ คือ อาจจำเป็นต้องเกี่ยวข้องร่วมงานด้วย แต่การไปไหนมาไหน-ไปเที่ยวด้วยกัน การปรับทุกข์กัน หรือการพักห้องเดียวกันโดยไม่จำเป็น หรือเป็นอาจิณ กับคนเหล่านี้ ก็ไม่ควรทำ ดังมงคลชีวิตข้อ1 ไม่คบคนพาล
#4
โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 04:04 PM
คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม
น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม
#5 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 05:57 PM
.....ความเป็นมิตรแท้ในทางพระพุทธศาสนาท่านก็ให้ข้อสังเกตไว้เหมือนกันครับ สำหรับท่าน
ที่มีเพื่อนฝูงบริวารมากมาย ลองเทียบเคียงคุณสมบัติดังต่อไปนี้ดูนะครับ ว่าเพื่อนฝูงบริวารของ
ท่านเข้าข่ายคุณลักษณะมิตรแท้หรือเปล่า อย่างแรกคือ มิตรมีอุปการะครับ อุปนิสัยของเพื่อน
คนนี้ เมื่อเพื่อนมีภัยเขาจะเป็นที่พึ่งแก่เรา แม้เราเอ่ยปากขอทรัพย์เพียงเล็กน้อย เขาก็สามารถ
ให้เกินกว่านั้นได้
.....อีกประเภทคือ มิตรร่วมทุกข์ร่วมสุข เคยไหมครับที่เราจะไว้วางใจใครสักคน บอกกล่าว
ความลับแก่เขา และในขณะเดียวกันแม้ความลับของเพื่อนเราก็ปิดไว้อย่างดี ไม่ละทิ้งยามที่
เพื่อนมีภัย เพื่อนแท้ประเภทนี้แม้ชีวิตก็สละให้กันได้เชียวครับ ส่วนอีกประเภทหนึ่งนั้นจะเข้า
ลักษณะแนะประโยชน์ ชี้ทางสวรรค์ปิดนรกให้เพื่อน ตักเตือนเพื่อนให้อยู่ในความดี และห้าม
เพื่อนจากสิ่งที่ชั่วร้าย สำหรับประเภทสุดท้ายเรียกว่า มิตรมีความรักใคร่ คือไม่ว่าเพื่อนจะตกต่ำ
หรือตกที่นั่งลำบากจะไม่ซ้ำเติมเพื่อน และคอยห้ามปรามคนที่กล่าวโทษเพื่อนด้วย และถ้าหาก
เพื่อนได้ดีเจริญรุ่งเรื่องก็พลอยยินดีไปกับเพื่อนด้วย
.....ในชีวิตเราแม้มีผู้คนที่ผ่านมามากมาย หลายๆท่านเราเรียกเขาว่าเพื่อนแท้ บางท่านเราให้
ความรู้สึกเขาได้แค่เพื่อนที่เคยรู้จักเท่านั้น หากท่านจะลองเทียบเคียงประเภทของเพื่อนแท้
หรือมิตรแท้สี่ประเภทดูบ้างว่า เพื่อนเราเข้าข่ายมิตรแท้ประเภทใด แต่ถ้าหากเพื่อนที่เรา
ไว้วางใจเขาเป็นได้ทั้งสี่ประเภทคุณกำลังมีสมบัติอันล้ำค่ายิ่งกว่าเพชรนิลจินดาทีเดียวครับ
.....โปรดรักษาเขาไว้ให้ดีนะครับ หากมีอะไรไม่เข้าใจกันก็รีบปรับเข้าหากันเสีย ผมขอสนับสนุน
ข้อความที่ว่า “มิตรแท้ที่ดีและพิเศษก็เหมือนดาวบนฟ้า ใช่ว่าจะเจอได้บ่อยๆ นะครับท่าน”
จีระ ศุภวัฒน์
ตัดบางส่วนมาจาก : http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=8346
#6
โพสต์เมื่อ 13 October 2009 - 07:39 PM
แย่งกันตอบใหญ่เรย..
กระจ่างแจ้ง ดีค่ะ
ที่สงสัยเพราะว่าเพื่อนรักซี้ปึ๊กที่เรียนด้วยกันสมัยมัธยม 2 คน เคยเป็นสามเกลอ ไปไหนไปกัน เคย "ผูกเสี่ยว" (เด็กบ้านนอก) พ่อแม่เพื่อน เป็นพ่อแม่เรา พ่อแม่เราก็เป็นพ่อแม่เพื่อน เป็นเพื่อนรักร่วมสาบานกัน ชอบไปวัดด้วยกัน วัดไหน ใครว่าดี พากันไปหาหลวงพ่อประจำวัดนั้น ปิดเทอม ก็พากันไปรักษาศีลที่วัด นอนที่วัด ชวนกันทำบุญตักบาตรเป็นประจำสม่ำเสมอ
แต่ปัจจุบันนั้น ต่างคนต่างก็โต เข้ามาทำงานเมืองหลวง แยกกันใช้ชีวิต ก็ได้มีโอกาสชวนเขาทำบุญ เขาก็บอกว่า ทำแถวบ้านอยู่เป็นประจำอยู่แล้วบ้าง วัดพระธรรมกายไกลบ้าง จนเริ่มห่างเหินกันไป ด้วยหน้าที่การงาน อีกทั้งทุกวันนี้ เหมือนคุยกันคนละภาษา เราคุยแต่เรื่องทำบุญ เขาก็คุยกันแต่เรื่องครอบครัวบ้าง อะไรแบบนั้นไป ทั้งๆ ที่ เราก็เคยร่วมสาบานกันเอาไว้ทั้งสามคนว่า จะรักและคิดถึงกัน ไปไหนไปกันเหมือนเดิมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แต่เขาก็ยังไม่ลืมวันเกิดน่ะค่ะ ก็เลยนึกสงสัยขึ้นมา เท่านั้นเองน่ะค่ะ แล้วจะทำอย่างไร กับเพื่อนรักดี ในเมื่อเราชวนเขามาสร้างพระไม่ได้ ทำกฐินก็คงไม่ได้อีก (ตามเคย) หรือว่าให้ปล่อยไปก่อนดีคะ
รบกวนพี่หัดฝันอีกครั้งค่ะ ^^
ขอบคุณล่วงหน้าค่า
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#7
โพสต์เมื่อ 14 October 2009 - 12:57 AM
#8
โพสต์เมื่อ 14 October 2009 - 01:30 AM
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#9
โพสต์เมื่อ 14 October 2009 - 11:39 AM
โดยทั่วไป นอกจากเรื่องความจริงใจแล้ว จังหวะ เวลา โอกาส และสถานการณ์ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของใครอีกหลายๆ คนได้นะครับ หากจังหวะ เวลา โอกาส และสถานการณ์ไม่อำนวย บางทีสิ่งที่วาดหวังไว้ก็อาจจะยังไม่เป็นผลน่ะครับ ซึ่งบางทีกว่าจะให้ได้ผล อาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต หรืออาจต้องข้ามภพข้ามชาติกันทีเดียวสำหรับบางคนน่ะครับ
เหมือนอย่างคุณเปเล่ (อ้อ ต้องเรียกท่านว่า หลวงพี่เปเล่) ชาติในอดีต เคยเกิดเป็นผู้นำบุญชักชวนคนมาร่วมบุญไปทั่ว แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่หลวงพี่ผูกพันมาก คือ เหล่าบริวารของหลวงพี่เอง ที่เกะกะเกเร ชวนมาทำบุญก็มาบ้างนิดหน่อย แล้วก็กลับไปเกเรเกตุงเหมือนเดิม หลวงพี่(ชาติในอดีต) จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้สามารถโปรดบริวารเหล่านั้นได้ ในชาติใดชาติหนึ่งในอนาคต
และแล้ว ผู้นำบุญ(หลวงพี่)ท่านนั้นก็กลับดุสิตบุรี แต่บริวารเนื่องจากเกกะเกเร จึงไปเกิดตามยถากรรม ชาติต่อๆมายิ่งทำบาป เลยพลัดไปอบาย จากนั้นก็เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นสัตว์กินเนื้อ เป็นอยู่นาน จนพุทธันดรนี้ มาเกิดเป็นเชื้อสายเผ่ามนุษย์กินคน ที่ดินแดนทุรกันดาร
แต่ด้วยบุญและแรงอธิษฐานของหลวงพี่ ทำให้หลวงพี่ได้มีโอกาสไปทำงานช่วงสั้นๆ ที่นั่น แล้วก็ได้มีโอกาสเจอเหล่าบริวารเก่าที่เคยผูกพันกลุ่มนั้นจนได้ หลวงพี่จึงตั้งใจโปรด ด้วยการชักชวนบริวารเก่านั่งสมาธิ จนบริวารมีประสบการณ์ภายใน ในที่สุดหลวงพี่ก็ทำได้สำเร็จ แม้จะต้องใช้เวลาถึง 1 พุทธันดร
และด้วยความผูกพัน(พี่หัดฝันว่า นี่ีแหละครับ เรียกว่า มิตรแท้) ที่มีต่อบริวาร หลวงพี่ถึงขนาดขอหลวงพ่อ เดินทางไปอยู่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนั้น เพื่อใช้ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่เป็นกัลยาณมิตรให้บริวารอย่างยั่งยืน
หลวงพี่ยอมทิ้งชีวิตวิศวกร มาบวชเป็นพระ ครั้นเมื่อบวช ยอมทิ้งความเป็นอยู่ที่สุขสบาย(ในระดับหนึ่ง)จากการเป็นพระในประเทศไทย เพื่อไปใช้ชีวิตอย่างลำบากทุรกันดารในดินแดนอดีตมนุษย์กินคน เพียงลำพังองค์เดียว โดยมีจุดหมายเพียงแค่ต้องการโปรดเหล่าอดีตบริวารที่เคยผูกพัน
พี่ว่า คนเช่นท่านนี่แหละครับ มิตรแท้ของเหล่าบริวาร จริงๆ
#10 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 14 October 2009 - 01:49 PM
พี่ฟ้ายังฟ้าอยู่จะอธิษฐานตามไปโปรดมั้ยคะ