ทำบุญแล้ว ทำไมชีวิตตกต่ำ
#1
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 11:13 AM
#2
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 12:26 PM
ตรงนี้อยากจะเรียนว่า ทำดีก็จริง แต่ทำถูกดี ถึงดี และพอดีหรือเปล่าครับ
ยกตัวอย่าง ทำดี คือ เห็นผ้าแฟนสกปรกเลยเอามาซักให้ นั่นคือ ทำดี
แต่ถ้าทำไม่ถูกดี คือ ผ้าส่วนใหญ่สกปรกที่คอ และที่แขนเป็นหลัก แต่เราไปซักสเปะสะปะเลย ไปซักที่ตัวเสื้อเป็นหลัก ผลก็คือ ผ้าไม่สะอาด แฟนต่อว่า เราก็เลยบอก ทำดีแล้วไม่ได้ดี ความจริงแล้ว เราทำถูกดีหรือเปล่า
ต่อมา คือ ทำถูกดีแล้วแหละ แต่ทำได้ถึงดีหรือเปล่า
ยกตัวอย่างเดิม คือ ซักผ้า สมมุติรู้แล้วว่า ผ้าสกปรกที่คอกับแขน ก็เลยไปซักที่คอกับแขน แต่ซักแค่ 2-3 ทีเลิก ถามว่า ผ้าสะอาดไหม ผ้าก็ยังสะอาดไม่พอ เลยถูกแฟนต่อว่าอยู่ดี ดังนั้น นอกจากถูกจุดของความดีแล้ว ยังต้องถึงจุดของความดีด้วยจึงจะได้ดี
เอ้าต่อมา คือ นอกจากถูกดี ถึงดีแล้ว ก็ต้องพอดีด้วยนะครับ อย่าให้เกินดี
เช่นซักผ้า เขาให้ขยี้ 10 ครั้ง ดันไปขยี้เลย 50 ครั้ง ผลก็คือ ผ้าขาดอีกเช่นกัน กลายเป็นทำดีไม่ได้ดีเหมือนเดิม
สรุปคือ ทำบุญ ก็ต้องทำให้ถูกดี ถึงดี และพอดี ด้วยครับ จึงจะได้บุญเต็มที่ เอ้าทีนี้มาว่ากันทีละปัญหาเลย
ชีวิตมีปัญหา เพราะยังทำบุญไม่ถูกจุดของการทำชีวิตที่ดี แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
ก็ให้ทำบุญ คือ ฆราวาสธรรม 4 ประการ (การทำบุญ ไม่ใช่แค่การบริจาคเงิน แต่คือการปฏิบัติธรรม สำหรับในเรื่องชีวิต ให้ปฏิบัติฆราวาสธรรม)
ได้แก่ สัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ
สัจจะ คือ จริงใจ สรุปง่ายๆ พูดอย่างไร ทำให้ได้อย่างนั้น ทำอย่างไร พูดให้ได้อย่างนั้น ผลดีคือ จะทำให้เรากลายเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ คำพูดเราคือประกาศิต เช่น เจ้านายไหว้วานงานมา ถามว่า จะเสร็จเมื่อไหร่ เราบอกเจ้านายเลย พรุ่งนี้เช้าเสร็จ แล้วไปทำให้ได้ตามนั้น ผลก็คือ พรุ่งนี้เช้างานเสร็จจริงๆ อย่างนี้เจ้านายก็เริ่มไว้ใจแล้วล่ะครับ แค่ถ้าพูดอย่าง ไปทำอีกอย่าง อย่างนี้รับรองมีปัญหาชีวิตแน่ครับ แม้จะบริจาคเงินทุกวันก็ตาม
ทมะ คือ ความข่มใจ เจ้านายมอบงานสำคัญมา แต่บอลโลกคืนนี้ คู่ชิงชนะเลิศด้วย เลยไม่ทำงานแต่ไปนอนเอาแรง ดูบอลโลกดึกๆดื่นๆ อย่างนี้ ไม่รู้จักข่มใจ อะไรควรอะไรไม่ควร ชีวิตก็มีปัญหาสิครับ
ขันติ คือ ความอดทน หนักเอาเบาสู้ อดทนทำไป เดี๋ยวก็แก้ปัญหาชีวิตได้ครับ
และจาคะ คือ ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน อย่างนี้หากชีวิตมีปัญหาเรื่องญาติไม่รัก ปัญหานั้นจะค่อยๆ ถูกแก้ไขครับ เพราะญาติๆ จะรักเรา เป็นต้น
#3
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 12:38 PM
อุ อา กะ สะ นี่คือ คาถาหัวใจเศรษฐีเลยครับ เพราะเวลาทำบุญบ้าน พระท่านจะเจิมคาถานี้ให้ หมายถึงว่า
อุ คือ ให้หมั่นขยันหาทรัพย์
อา คือ ให้หมั่นเก็บรักษาทรัพย์ไว้
กะ คือ ให้หมั่นคบคนดีเป็นมิตร หรือ สร้างเครือข่ายคนดี เช่น ชวนคนรอบข้างไปบวชพระแสนรูป อุบาสิกา 1 ล้านคน
สะ คือ เลี้ยงชีวิตตามสมควร สมัยนี้ นิยมใช้คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง
หากคุณทำได้เช่นนี้จะไม่มีปัญหาเรื่องเงินครับ อบายมุข เช่น เหล้าบุหรี่ ถ้าติดอยู่ให้เลิกเสีย เป็นต้น
ต่อมา เรื่องการงาน คุณก็ต้องทำบุญ คือ ปฏิบัติธรรมข้อ อิทธิบาท 4 คือ ธรรมะแห่งความสำเร็จครับ
1. ฉันทะ รักพอใจที่จะทำงานนั้นๆ
2. วิริยะ พากเพียรที่จะทำงานนั้นๆ
3. จิตตะ มีจิตใจจดจ่อในงานนั้น มุ่งสมาธิในเรื่องงานนั้น
4. วิมังสา คือ ใคร่ครวญด้วยสติปัญญา หาวิธีการที่จะทำงานนั้นให้สำเร็จ หากทำทางตรงไม่ได้ก็รู้จักพลิกแพลง เป็นต้น
หากคุณทำได้เช่นนี้ ก็จะหมดปัญหาเรื่องงานครับ งานผ่านมากี่งานๆ สำเร็จหมดทุกงานเชียว ดูตัวอย่าง คนที่คิดประดิษฐ์เครื่องบินสิครับ เริ่มต้นคนเรายังบินไม่ได้ แต่พี่น้องคู่หนึ่ง มีฉันทะ คิดว่าคนต้องบินได้ และอยากให้คนบินได้มากๆ จากนั้นก็ลงมือสร้างเครื่องบิน ล้มเหลวไปก็ไม่ท้อ มีวิริยะ ล้มกี่ครั้งก็ทดลองใหม่ จิตใจมีจิตตะ จดจ่อกับเครื่องบินๆ และมีวิมังสา เอาข้อผิดพลาดมาเป็นบทเรียน ปรับปรุงแก้ไขเครื่องบินไปเรื่อยๆ ในที่สุด คนเราก็บินได้
สุดท้ายเรื่องครอบครัว ก็ให้คุณทำบุญ คือ ปฏิบัติธรรมข้อ สังคหวัตถุ 4 คือ ธรรมะแห่งความมีเสน่ห์ ใครเห็นใครก็รัก ครับ
ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา ครับ
ทาน คือ การให้ แบ่งปัน ไปเยี่ยมญาติมิตร ก็รู้จักมีของติดไม้ติดมือไปฝาก ไม่ใช่ไปมือเปล่า
ปิยวาจา คือ พูดจาดีๆ ต่อญาติมิตร
อัตถจริยา คือ ร่วมด้วยช่วยกัน เวลาญาติมิตรขอเรี่ยวขอแรงก็โดดเข้าไปช่วย ไม่ใช่โดดถอยออกมาห่างๆ เป็นต้น
สมานัตตา คือ ดีต่อญาติมิตรเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ ต่อหน้ารัก ลับหลังนินทาญาติมิตร เป็นต้น
หากทำได้เช่นนี้ ปัญหาเรื่องครอบครัวก็จะคลี่คลายครับ
#4
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 12:55 PM
ตั้งคำถามผิดหรือเปล่าครับ
ชีวิตตกต่ำ มีปัญหาการเงิน การงาน ครอบครัว
ก็มีสาเหตุเฉพาะด้านของมัน
การที่คุณมาสรุปและตั้งคำถาม เหมือนกับว่า
สาเหตุที่ชีวิตของคุณตกต่ำ มีปัญหาการเงิน การงาน ครอบครัว
เพราะการทำบุญ ( ทานกุศล ฯล )
มันจะถูกหรือครับ ???
ลองหาสาเหตุอื่น หรือตั้งคำถามในมุมมมองอื่นบ้างดีกว่าไหมครับ
เช่น
? สาเหตุที่มีปัญหาเรื่อง การเงิน ของคุณ คือ อะไร ?
มีการใช้จ่ายอย่างไร เกินรายรับหรือเปล่า
จ่ายเพื่อ want มากกว่า need หรือเปล่า
คุณประพฤติตามหลัก อุ อา กะ สะ หรือเปล่า
คบคนพาล หรือเพื่อน ที่ชวนไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข ๖ หรือเปล่า
หรือคุณใช้ชีวิต รายจ่ายเกี่ยวข้องกับอบายมุข ๖ ซะเองหรือเปล่า ฯล
? สาเหตุที่มีปัญหาเรื่องการงานของคุณ คือ อะไร ?
มีปัญหาด้านมนุษยสัมพันธ์และการสื่อสาร หรือขัดแย้งกับเพื่อนร่วมงานและ เจ้านาย หรือเปล่า
มีอิทธิบาท ๔ มากพอในการทำงาน หรือเปล่า
ทำงาน ถูกดี ถึงดี พอดี ไม่เด่นจนเป็นภัย หรือเปล่า
ประพฤติตามหลัก สังคหวัตถุ ๔ มากพอหรือยัง
? สาเหตุที่ครอบครัวมีปัญหา คือ อะไร ?
คุณประพฤติตามหลัก ฆราวาสธรรม ๔ ดีหรือยัง
คุณวางตัวกับบุคคลในทิศ ๖ ดีหรือยัง
สังคหวัตถุ ๔ ด้วย
ดูแลมารดา บิดา สงเคราะห์ญาติ ได้ดีไหม
ที่ยกตัวอย่างโดยย่อมานี้ เพื่อให้คุณมองอีกมุมครับว่า
สาเหตุของการที่ชีวิตใคร ตกต่ำ มีแต้ปัญหารอบด้าน
มันมาจากสาเหตุการทำบุญ ทำความดี จริงหรือไม่
หรือว่ามาจากสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย
จะได้แก้ปัญหาได้ถูกจุด ครับ
#5
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 02:22 PM
น่าคลิก share ทั้งสองความเห็นมากๆๆๆๆ
P1010031.JPG 57.85K 11 ดาวน์โหลด
#6
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 02:23 PM
ทำบุญแล้ว ทำไมชีวิตตกต่ำ มีแต่ปัญหา ทั้งชีวิต การเงิน การงาน ครอบครัว
และกลับกันไม่ทำบุญชีวิตก็ตกต่ำและสูงส่งได้เช่นกัน เพราะเบื้องหลังคนเราเกิดมานับภพชาติไม่ถ้วน
ทำทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี อยู่ที่กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมให้ช่องก่อน บางทีทำผิดกฎหมายทั้งชีวิตแต่ไม่เคย
เจอจับหรือลงโทษเลย เพราะกุศลกรรมยังแรงให้ช่องอยู่จึงยังไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ชีวิตหลังความตายหนีไม่พ้น
ต้องโดนลงโทษในสิ่งที่ทำไป พอเกิดภพชาติใหม่เป็นคนดี แต่..ๆ..ๆ ชีวิตกลับตกต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ปัญหาต่างๆ
ประดังเข้ามามากมาย ทั้งที่ไม่เคยไปสร้างปัญหากับใคร แสดงว่าเศษอกุศลกรรมที่ทำไว้กำลังให้ผล
จึงไม่ต้องไปโทษใครเพราะทำอะไรย่อมได้อย่างนั้น ในกรณีที่เป็นแบบนี้แสดงว่าบุญในตัวที่เคยทำมาเริ่มหย่อน
ตามไม่ทันอกุศลกรรมที่เคยทำไว้ เพราะฉนั้นควรหมั่น ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาให้มากยิ่งๆขึ้นกว่าเดิม
หนักจะได้เป็นเบา ส่วนเบาจะได้หายแบบที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ และให้คุณพิจารณาสิ่งที่คุณหัดฝันบอกและทุกท่านในที่นี้อธิบาย
มาควบคู่กันครับคุณจะได้ทำความเข้าใจทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทีนี้คำถามแบบนี้ของคุณ ทำบุญแล้ว ทำไมชีวิตตกต่ำ มีแต่ปัญหา ทั้ง
ชีวิต การเงิน การงาน ครอบครัวก็จะหมดไปครับ
#7
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 04:37 PM
#8
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 05:24 PM
มีแต่จะดีขึ้น
จะดีแค่ไหน ก็อยู่ที่ว่า
ทำบุญจริงแค่ไหน
ต้องบริสุทธิ์ทั้ง กาย วาจา ใจ ด้วย
และต้องทำบุญด้วยใจที่รักบุญจริงๆ
บุญจึงจะส่งผลได้ ไม่มาก ก็ ต้องมีบ้าง
ทันที
คือ .. ความสุขใจ
ทำบุญแล้ว มันสุขใจ ที่ได้ทำ
พอสุขใจแล้ว อะไรๆมันก็มีทางออก แก้ได้หมด
แล้วทุกอย่างก็ดีขึ้น
นี่คืออานุภาพของบุญ แบบเริ่มต้น
เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ไม่จริง
ถ้าอยู่ในบุญจริงๆ จะพบอานุภาพ ภายใน 3 วัน 7 วัน
จริงตัวเดียว
สาธุ สาธุ สาธุ
เริ่มต้นใหม่นะ เริ่มเมื่อไหร่ ก็ได้บุญเมื่อนั้นจ้ะ ........
#9
โพสต์เมื่อ 13 July 2010 - 11:17 PM
#10
โพสต์เมื่อ 14 July 2010 - 03:44 AM
จขกท ต้องคิดใหม่นะครับว่า
ถ้าไม่ได้ทำบุญเพิ่มแล้วจะลำบากมากกว่านี้แค่ไหน?
เพราะนีขนาดทำแล้ว วิบากกรรมเก่ายังตามมาเล่นงานกันได้อยู่เลย
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#11
โพสต์เมื่อ 14 July 2010 - 08:07 AM
เห็นด้วยกับ anchalee072 ทำบุญแล้วเห็นผลทันตา คือ ใจสบาย แม้เล็กน้อย
อนุโมทนาคับ
------------------
บุญไม่ช่วยแล้วจะเลิกทำบุญ ถ้าเลิกทำบุญแล้วจะทำอะไร
#12
โพสต์เมื่อ 14 July 2010 - 05:12 PM
....แถมยังไปเคยขัดขวางการสร้างบุญของคนอื่นอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
....กรรมเก่าซิกลับแน่นหนา.....ผลถึงเป็นอย่างที่กล่าว
....บุญใหม่ก็พึ่งจะทำไม่กี่ปี....ความปลื้มก็ยังไม่ถึงระดับ...
....ความปลื้มต้องถึงระดับทำให้ผิวเป็นสีชมพูทั้งวันที่ทำบุญเลยครับ...ถึงบุญส่งผลเร็ว
....คุณยายบอกว่าบุญที่ทำในชาตินี้..ส่งผลได้ในชาตินี้แน่นอน 10% ครับ
....แต่ถ้ามีบุญเก่าหนาแน่น..ทำบุญใหม่แบบปลื้มสุดๆ..ยังไงก็หนีความกรรมรวยไปไม่พ้นครับ
....ถ้าไม่ปลื้มถึงระดับอาจต้องรอนานหน่อยครับ..อาจถึงตอนแก่ๆ..ละครับ
....ถึงตอนนั้นจะมีแรงใช้บุญรวยหรือเปล่าก็ไม่รู้
....ผม..พูดปอบใจตัวเองนะ..ครับ ไม่มีอะไรหรอก
#13
โพสต์เมื่อ 14 July 2010 - 09:01 PM
แปลกไหมครับ นักสร้างบารมีทั้งหลายครับ พวกเราจะไม่ค่อยได้ยินคำถามที่ว่า
"ทำไมเราทำบาป แล้ว บาปไม่ส่งผลหละ อยากให้บาปส่งผลจังเลย"
ทุกท่านจะคิดแบบผมคือ ก็เพราะบาปทำให้เราเป็นทุกข์ ในทุกๆสิ่ง เราจึงไม่อยากให้มันเกิด
และทุกครั้งที่เราทำบาปแล้วบาปไม่ส่งผลโดยทันทีเนื่องจากบุญยังอุ้มไว้อยู่ ทำให้บาปไม่ได้ช่อง
ในทางกลับกัน
นักสร้างบารมีทั้งหลาย มักได้ยิน คำถามที่ จขกท. ถาม บ่อยคือ
"ทำบุญแล้ว ทำไมชีวิตตกต่ำ มีแต่ปัญหา ทั้งชีวิต การเงิน การงาน ครอบครัว อยากให้บุญส่งผลจังเลย"
และทำครั้งที่เจออุปสรรคของชีวิตมักโทษบุญ ว่าทำไมไม่ช่วยฉันเลย ฉันทำบุญตั้งมากมาย แล้วคิดต่อไปอิกว่าบุญคงไม่มีจริงหรอกมั้ง
คำตอบคืออะไรรู้ไหมครับ ก้อบาปยังอุ้มไว้อยู่(บาปยังมีกำลังมากกว่าบุญ) ทำให้บุญยังไม่ได้ช่อง และอิกความรู้นึงคือ
ทุกครั้งที่ทำบุญ บุญนั้นจะทำงานเลย เช่น ตัดรอนให้เบาบางลง(ถ้าหากบุญยังไม่มีกำลังมากพอไปส่งผลตัดหน้าบาป) เป็นต้น
บุญนั้นทำงานทุกอนุวินาที ให้ เจ้าของบุญ แต่...... ขึ้นอยู่กำลังขอบุญว่ามีมากพอไหม ใจของเจ้าขอบุญนึกถึงบุญไหม บุญใหญ่พอไหมเป็นต้น
ครับ
ทำบุญไปเถอะครับ จขกท. สักวันเมื่อเข้าถึงพระธรรมกาย จะรู้ว่าบุญทำงานอย่างไร บาปทำงานอย่างไร ครับ
แต่ขอยืนยัน นอนยัน ตีลังกายัน ม้วนหน้ายัน ม้วนหลังยัน ได้เลยว่า
บุญทำงานทุกอนุวินาทีครับ ไม่ว่าจะเป็นการตัดรอนวิบากกรรมฝ่ายบาป เป็นต้น
#14
โพสต์เมื่อ 15 July 2010 - 02:46 AM
#15
โพสต์เมื่อ 15 July 2010 - 11:58 AM
....ใช่หรือเปล่าเอย....แต่ผมก็ไม่ทราบความจริงนะครับ.....หากคิดผิดต้องขอประทานโทษด้วยครับ
....(ผมอาจใช้ความรู้สึกมากไปนิดนะครับ)
....เพราะรู้สึกว่าคุณยังมีความขัดแย้งในความคิดครับ คือ "ไม่มั่นใจในเรื่องบุญแต่ก็คาดหวังเรื่องบุญอยู่"
....คาดว่าคงไปทำบุญที่วัดแถวบ้าน...ที่ไม่มีกิจกรรมการปฏิบัติธรรมจริงจัง..
....หากยังไม่เคยมาวัดพระธรรมกาย...อยากชวนคุณ Cheterkk มาปฏิบัติธรรมในวันอาทิตย์กันครับ
#16
โพสต์เมื่อ 15 July 2010 - 04:19 PM
DMC.TV นี้สุดยอดจริงๆ :-)
#17
โพสต์เมื่อ 21 July 2010 - 03:08 PM
#18
โพสต์เมื่อ 29 July 2010 - 08:25 PM
ต้องเข้าใจเรื่องการให้ผลของกรรมดีกรรมชั่วด้วยนะัครับ มีจังหวะและลักษณะการให้ผลของมันอยู่ ซึ่งเราเลือกไม่ได้
บุญนะครับ ไม่ใช่เงิน ที่ว่าเราได้มาแล้วไปแลกของที่เราต้องการได้เลย บุญไม่ใช่อย่างนั้น
#19 *sky noi*
โพสต์เมื่อ 30 July 2010 - 01:43 PM
#20 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 28 January 2011 - 12:39 PM
2. ทำบุญและทำทานให้พอเหมาะพอควรแก่ฐานะ คือ ถ้าเรามีน้อยก็ทำแต่น้อย มีมากก็ไม่ใช่ทุ่มจนหมดตัว และเลือกทำในสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะสม เช่น การตักบาตรในตอนเช้า ถ้าว่างเสาร์อาทิตย์ก็ทำเฉพาะวันหยุดก็ได้ ไถ่ชีวิตโคกระบือ ทำบุญประทายข้าวเปลือกให้วัดที่ยากไร้ และ ที่มองข้ามไม่ได้....การใช้แรงกายนั้นก็นับว่าเป็นการให้ทานเช่นกัน เช่น ไปช่วยสร้างโรงเรียน ช่วยสอนหนังสือให้เด็กยากไร้ หรืออาจจะรบริจาคร่างกายให้แก่ ร.พ. เมื่อล่วงลับไปแล้ว เป็นต้น
3. หาเวลาสวดมนต์ทำสมาธิทุกวัน วันละนิดละหน่อย ทำที่บ้านก็ได้ แต่ต้องทำด้วยความตั้งใจ
4. ฝึกพิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยปัญญา และจะค่อยๆแก้ไขปัญหาชีวิตได้
ทุกอย่างต้องอาศัยเวลา พยายามเข้านะคะ