แม้อาจได้แค่ชั่วคราว แต่อย่างน้อยก็สามารถช่วยให้นักรบกล้าทั้งหลายได้มีเวลาพักผ่อนกายใจได้อย่างแท้จริง
เพื่อฟื่นฟูพละกำลังให้กลับคืนมาเข็มแข็งอีกครั้งพร้อมที่จะทำการรบพุ่งกับกองทัพมารได้อย่างเต็มที่เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง
ซึ่งสุดท้ายในวันหนี่งกองทัพธรรมอันเกรียงไกรนี้จะถึงชัยชนะในสมรภูมิแห่งชีวิตนี้ได้อย่างเด็ดขาด (ในขั้นสุดท้ายของข้อที่ ๙)
พระสูตรนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็น ‘จอมทัพ’ แห่งกองทัพธรรม ได้ทรงตรัสไว้ใน ‘นิวาปสูตร’
เราลองมาศึกษาดูครับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรบของแต่ละท่านให้ถึงขีดสุด
ขอให้ท่านเป็น ‘นักรบชั้นเยี่ยม’ อยู่ในแนวหน้า รบเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับ ‘พระเถรานุเถระชั้นยอด’ทั้งหลายด้วยกันทุกท่านนะครับ
ภิกษุทั้งหลาย ที่ซึ่งมารและบริวารของมารไปไม่ถึง เป็นอย่างไร
(๑) คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว
บรรลุปฐมฌาน ที่มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขอันเกิดจากวิเวกอยูู่่
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด คือ ทำลายดวงตาของมารเสียอย่างไม่มีร่องรอย
ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น[1]’
(๒) อีกประการหนึ่ง เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป
ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(๓) อีกประการหนึ่ง เพราะปีติจางคลายไป
ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย
บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ‘ผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข’
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(๔) อีกประการหนึ่ง เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว
ภิกษุบรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด คือ ทำลายดวงตาของมารเสียอย่างไม่มีร่องรอย
ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(๕) อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่กำหนดนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง
ภิกษุบรรลุอากาสานัญจายตนฌานอยู่ โดยกำหนดว่า ‘อากาศหาที่สุดมิได้’
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด คือ ทำลายดวงตาของมารเสียอย่างไม่มีร่องรอย
ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(๖) อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุบรรลุวิญญาณัญจายตนฌานอยู่ โดยกำหนดว่า ‘วิญญาณหาที่สุดมิได้’
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(๗) อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุบรรลุอากิญจัญญายตนฌานอยู่ โดยกำหนดว่า ‘ไม่มีอะไร’
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(๘) อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ฯลฯ ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น’
(๙) ภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง
ภิกษุบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ก็เพราะเห็นด้วยปัญญา เธอย่อมมีอาสวะสิ้นไป
เราเรียกภิกษุนี้ว่า ‘ได้ทำมารให้ตาบอด คือ ทำลายดวงตาของมารเสียอย่างไม่มีร่องรอย
ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น และข้ามพ้นตัณหา อันเป็นเครื่องข้องอยู่ในโลกได้แล้ว”
พระผู้มีพระภาคตรัสภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดี ต่างชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล.
[1] ทำมารให้ตาบอด หมายถึงภิกษุนั้นมิได้ทำลายนัยน์ตาของมาร แต่จิตของภิกษุผู้เข้าถึงฌานที่เป็นบาทของวิปัสสนา อาศัยอารมณ์นี้เป็นไป (เกิดดับ)เหตุนั้น มารจึงไม่สามารถมองเห็น
ทำลายดวงตาของมารเสียอย่างไม่มีร่องรอย หมายถึงทำลายโดยที่นัยน์ตาของมารไม่มีทาง หมดหนทาง ไม่มีที่พึ่ง ปราศจากอารมณ์โดยปริยายนี้
ถึงการที่มารใจบาปมองไม่เห็น หมายถึงโดยปริยายนั่นเอง มารจึงไม่สามารถมองเห็นร่างคือญาณของภิกษุผู้เข้าฌาน ซึ่งเป็นบาทของวิปัสสนานั้นด้วยมังสจักษุของตนได้ (ม.มู.อ. ๒/๒๗๑/๗๑)
--------------------
เพียรพยายามฝึกฝนตนให้เต็มที่นะครับ
แล้วอย่าลืมรวบรวมทหารกล้ากลับดุสิตบุรีไปให้ได้มากที่สุดด้วยนะครับ
เราลงมาในมนุษยโลกเพื่อการนี้ละครับ