คนที่เคยประพฤติผิดในกามผิดศีลข้อ 3 แก้ไขอย่างไร?
#1
โพสต์เมื่อ 14 December 2007 - 09:49 AM
#2
โพสต์เมื่อ 14 December 2007 - 10:14 AM
#3
โพสต์เมื่อ 14 December 2007 - 10:27 AM
ทำได้อย่างเดียวคือ ทำบุญให้มากขึ้น และถ้าบวชได้สามารถเข้าถึงธรรมกายได้ ผลกรรมจากบาปก็จะตามไม่ทัน
หยุดสงสัย และ ตั้งใจปฏิบัติ
#4
โพสต์เมื่อ 14 December 2007 - 10:38 AM
เป็นกำลังใจให้กับผู้รักษาศีลและปฏิบัติธรรมทุกท่านคะ
#5
โพสต์เมื่อ 14 December 2007 - 11:17 AM
#6
โพสต์เมื่อ 14 December 2007 - 11:37 AM
๑. ในกรณีที่เป็นหญิง
๑.๑ หญิงแท้ ขอให้ไปขอขมาฝ่ายชายที่ตนได้ไปประพฤติผิดทางเพศกับเขาเสีย และจะต้องมีความตั้งใจมั่นให้ดีอีกด้วยว่า เราจะไม่ประพฤติตนเช่นนี้อีก แล้วต้องเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยการรักษาศีลให้ดี นับตั้งแต่ศีล ๕ และศีล ๘ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีล ๘ ถ้าหากสามารถรักษาได้อย่างตลอดรอดฝั่งไปจนกระทั่งสิ้นอายุขัย และได้ประพฤติปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา อย่างเข้มข้นทับทวีจนกระทั่งได้บรรลุธรรมภายใน ก็มีโอกาสมากนะครับ ที่จะทำให้วิบากกรรมนี้เบาบางลง และพ้นจากวิบากกรรมนี้ไปได้ในที่สุด
๑.๒ ในกรณีที่ไม่ใช่หญิงแท้ กรณีนี้เป็นกรณีที่วิบากกรรมกาเมสุมิจฉาจารยังแรงอยู่ ขอให้ตั้งใจหักดิบและไม่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับกลุ่มบุคคลที่ยังคงมีความพอใจยินดีในการมีพฤติกรรมรักร่วมเพศอยู่โดยเด็ดขาด นอกจากนี้ ขอให้พยายามตั้งใจรักษาศีล ๘ ให้ได้ไปจนตลอดชีวิต และหมั่นประพฤติปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้เข้มข้นทับทวีจนกระทั่งได้บรรลุธรรมภายใน ก็จะทำให้วิบากกรรมนี้เบาบางลง และพ้นจากวิบากกรรมนี้ไปได้ในที่สุด
๒. ในกรณีที่เป็นชาย
๒.๑ ชายแท้ ขอให้ไปขอขมาฝ่ายหญิงที่ตนได้ไปประพฤติผิดทางเพศกับเธอเสีย และจะต้องมีความตั้งใจมั่นให้ดีอีกด้วยว่า เราจะไม่ประพฤติตนเช่นนี้อีก แล้วต้องเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ นอกจากนี้ยังต้องหมั่นประพฤติปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา อย่างเข้มข้นทับทวีจนกระทั่งได้บรรลุธรรมภายใน ที่สำคัญถ้าเป็นไปได้ขอให้คุณหาโอกาสใช้ชีวิตในเพศสมณะด้วยนะครับ เพราะในกรณีนี้เราเป็นเพศที่บริสุทธิ์ สามารถที่จะออกบรรพชาและอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้ นอกจากนี้ เมื่อบวชแล้วก็ขอให้มีความตั้งใจในการบำเพ็ญสมณธรรมอย่างบากบั่น มุ่งมั่น และตั้งใจในการบวชให้ดี เพราะการสร้างบารมีด้วยเพศของสมณะ ด้วยกำลังรองรับแห่งศีลที่มากกว่าเพศคฤหัสถ์นั้น การบำเพ็ญบารมีสร้างบุญสร้างกุศลใดๆ ก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์มากกว่า แม้ว่าจะทำในปริมาณของไทยธรรมที่น้อยกว่า ยิ่งถ้าหากได้บรรลุธรรมภายในด้วยเพศภาวะนี้อีกด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะพ้นจากวิบากกรรมนี้ได้มากกว่าในกรณีที่ไม่ใช่ชายจริงหญิงแท้อีกด้วยครับ
๒.๒ ในกรณีที่ไม่ใช่ชายแท้ กรณีนี้เป็นกรณีที่วิบากกรรมกาเมสุมิจฉาจารยังแรงอยู่และไม่สามารถที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้อย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร ขอให้คุณตั้งใจหักดิบและไม่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับกลุ่มบุคคลที่ยังคงมีความพอใจยินดีในการมีพฤติกรรมรักร่วมเพศอยู่โดยเด็ดขาด ส่วนเรื่องของการรักษาศีลนั้น ขอแนะนำว่า ให้พยายามตั้งใจรักษาศีล ๘ ให้ได้ไปจนตลอดชีวิต และหมั่นประพฤติปฏิบัติบุญกิริยาวัตถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ให้เข้มข้นทับทวีจนกระทั่งได้บรรลุธรรมภายใน ก็จะทำให้วิบากกรรมนี้เบาบางลง และพ้นจากวิบากกรรมนี้ไปได้ในที่สุด
เหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องไม่ลืมทำการบ้านทั้งสิบข้อ และต้องหมั่นโอวาท สั่งสอน ตักเตือนตนเองอยู่เนืองๆ ว่า เราไม่อาจพ้นจากกฎแห่งกรรมได้ แต่เรายังมีทางเลือก แล้วเราก็จะพบกับทางออกด้วยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ
๑. อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด
๒. บาปอกุศลทุกชนิดไม่คิด พูด และทำเพิ่มขึ้นอีกโดยเด็ดขาด
๓. บุญกุศลทุกชนิดทำเพิ่มให้มากขึ้นเข้มข้นทับทวี (ทาน ศีล ภาวนา)
๔. หมั่นตรึกระลึกนึกถึงบุญกุศลที่เราได้กระทำไว้อยู่เสมอ
๕. หมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
๖. ตั้งจิตอธิษฐานวางผังโครงการชีวิตของเราให้ดีและแน่นหนา:
=> http://www.dmc.tv/fo...p?showtopic=934
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#7
โพสต์เมื่อ 14 December 2007 - 12:12 PM
#8
โพสต์เมื่อ 15 December 2007 - 09:25 AM
#9
โพสต์เมื่อ 15 December 2007 - 10:55 AM
#10
โพสต์เมื่อ 15 December 2007 - 11:00 AM
บาปใหม่ทุกชนิด งดทำเพิ่มเด็ดขาด
บุญทุกบุญ ทำให้เข้มข้นทับทวี
หมั่นนึกถึงบุญ ที่ทำมาอยู่เสมอ
ตั้งใจปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงพระธรรมกาย
นี่คือ สูตรสำเร็จ ใช้แก้ได้ทุกวิบากกรรมครับ
#11
โพสต์เมื่อ 16 December 2007 - 08:46 AM
เอาใจช่วย นะคะ
บุญ รักษา ^0^
#12
โพสต์เมื่อ 02 April 2008 - 12:38 PM
#13
โพสต์เมื่อ 02 April 2008 - 04:00 PM
อย่างที่ นักเรียนอนุบาล ถนัด@สืบสานพุทธ กล่าวไว้ดีแล้วครับว่า
เพราะวิบากกรรมฝ่ายบาป จะบรรเทาเบาบางเจือจางลงได้ ก็ด้วย การเสวยวิบากกรรมนั้นก่อน
ทั้งในอบายภูมิ และในภพมนุษย์ นี้เป็นหลักครับ
ส่วนคำแนะนำที่ว่า
๒. บาปอกุศลทุกชนิดไม่คิด พูด และทำเพิ่มขึ้นอีกโดยเด็ดขาด
๓. บุญกุศลทุกชนิดทำเพิ่มให้มากขึ้นเข้มข้นทับทวี (ทาน ศีล ภาวนา)
๔. หมั่นตรึกระลึกนึกถึงบุญกุศลที่เราได้กระทำไว้อยู่เสมอ
๕. หมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
๖. ตั้งจิตอธิษฐานวางผังโครงการชีวิตของเราให้ดีและแน่นหนา:
นั้นเป็นเรื่องของการ ทำปัจจุบันให้เกิดกุศลกรรมใหม่มากที่สุด
เป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่งครับ
เพราะการงดเว้นการทำบาปในปัจจุบัน +อาศัยบุญในปัจจุบัน มาช่วยคุ้มครองตนเองได้ มากบ้างน้อยบ้างก็ยังดี
และเมื่อใจ ในปัจจุบันอยู่ในบุญเสมอ วิบากบาปในอดีต ก็ยากที่จะได้ช่องส่งผล
หรือ ส่งผลได้แต่เสียหายน้อย
อุปมาเหมือน ขับรถยนต์ไปเกิดอุบัติเหตุ แต่มีอุปกรณ์(บุญ ) ช่วยบรรเทาอันตรายร้ายแรงไว้
เช่น เข็มขัดและถุงลมนิรภัย เป็นต้นครับ
ดังคำกล่าวที่ว่า
ที่หนักก็เบา ที่เบาก็หาย แม้ตายก็ไปดี ไปสุคติภูมิ
ด้วยการงดเว้นการทำบาปในปัจจุบัน +อาศัยบุญจากกุศลกรรมในปัจจุบัน ครับ
ส่วนว่าวิธีล้างบาป พิธีตัดกรรม นั้น
เป็นความรู้ที่ยังไม่สมบูรณ์ จึงเข้าใจ เชื่อ และทำสืบ ๆ กันมา
แต่ก็ได้ผลทางจิตวิทยา พอสมควร
และถ้ามีการแก้เคล็ดด้วยการสั่งสมบุญกุศล
ก็ถือว่า เป็นการแนะนำให้สร้างกุศลกรรมใหม่ ที่จะส่งผลดี ในอนาคตครับ
อีกเรื่องที่เชื่อและเข้าใจกันว่า
การทำกุศล แล้วอุทิศบุญ เพื่อขออโหสิกรรม ต่อคู่กรณี ที่เราเบียดเบียนทำร้ายเขาไว้
สามารถช่วยบรรเทาความหนักของวิบากกรรมให้เบาลงได้ แม้ไม่ทั้งหมดก็ตาม
ผมก็คิดว่า เป็นไปได้มากครับ
ดีที่สุด คือ ขอขมา ขออโหสิกรรม ต่อหน้า
ในขณะที่ทั้งคู่ ยังมีชีวิต มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ รู้สึกตัว
ไม่ใช่ อีกฝ่ายนอนป่วยพะงาบ ๆ กำลังมีทุกขเวทนาแรงกล้า
แล้วไปขอขมา ขออโหสิกรรม ตอนนั้น
หรือเราขอขมา แต่เขายังเคืองแค้น ผูกพยาบาทอยู่
แบบนี้ผมว่า ได้ผลไม่เต็มที่ครับ แต่ก็ยังดี ในแง่จิตใจเราเอง สำนึกผิด ไม่ผูกเวรเขา ขอขมาเขา ครับ
ส่วนคู่กรณีที่ตายไปแล้ว หรือ เราจำไม่ได้ คนเราเกิดมามากชาติ
แต่ถ้าเขาจำได้ เช่น กายละเอียด กายทิพย์
เขารู้ว่าเรา ขออโหสิกรรม และทำกุศลแล้วแผ่บุญ อุทิศบุญ ให้เขา
ถ้าเขายินดีให้อโหสิกรรม ยินดีในบุญที่ได้รับ
แบบนี้ผมว่า ก็สมควรที่จะชะลอ / บรรเทาวิบากบาปเก่าของเรา ที่รอส่งผลได้ครับ