วิจัยพบการแผ่เมตตาทำให้สุขภาพดี มีความสุข
*******************
เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซทส์- สำหรับคนที่กำลังแสวงหาหนทางในการรักษาสุขภาพของตนให้ดีขึ้น นายแพทย์อีริค แลนเดอร์ นายแพทย์#####แห่งกองทัพอเมริกันและเป็นนักชีววิทยาด้านโมเลกุลผู้นำโครงการศึกษายีนส์มนุษย์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี แทนที่จะแนะนำผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาที เขากลับแนะนำให้รู้จักปลีกเวลาสัก 1 ชั่วโมง ในหลายๆ ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ เพื่อทำสมาธิ แผ่เมตตา เนื่องจากนายแพทย์ท่านนี้ เชื่อว่าการแผ่เมตตาจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกายทำให้สุขภาพดี
แลนเดอร์ได้กล่าวไว้กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและในหมู่นักวิชาการชาวพุทธที่มาประชุมกันที่สถาบันเอ็มไอที (สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซทส์)ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า ไม่น่าเชื่อว่าต่อไปนี้อีก 20 ปี นายแพทย์#####อเมริกันจะแนะนำให้กำลังกายทางจิตวันละ 60 นาที จำนวน 5 ครั้งต่อสัปดาห์
คำทำนายของหมอแลนเดอร์นี้ เป็นตัวชี้กระแสหลักความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่เริ่มหลงใหลสนใจในศาสตร์ของศาสนาพุทธเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่าง นักประสาทวิทยาได้แสดงให้เห็นภาพสแกนสมองของพระที่สามารถยกระดับกิจกรรมของสมองซีกซ้ายด้านหน้า ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทางบวก แสดงออกมาในแผนภูมิ ซึ่งใช้เทคนิคที่รู้จักในด้านการทำสมาธิแผ่เมตตา และได้พบว่าในสภาวะสมาธิที่ระดับต่างๆ กัน พระรูปเดียวกันสามารถทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เช่น พระสามารถอดกลั้นต่อสิ่งเร้าต่างๆ โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงที่ดังเฉียบพลันราวเสียงปืน
พอล เอคแมน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับศาสตร์ของอารมณ์ อธิบายระดับการควบคุมได้เช่นนี้ถือว่าเป็น ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
อเลน วอลเลซ อดีตพระและประธานสถาบันการศึกษาเรื่องความมีสติในซานตา บาร์บารา เชื่อว่า การปฏิบัติของชาวพุทธมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงอารมณ์และความสมดุลของการรับรู้ ทั้งยังมีพลังอำนาจไม่เพียงแต่รักษาความซึมเศร้าและความเจ็บป่วยทางจิตเท่านั้น
วอลเลซกล่าวว่า ทำไมถึงไม่นำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในระบบโรงเรียน ผู้คนจะได้เรียนดีขึ้น และมีประโยชน์ต่อสารพัดวิชาชีพ เพราะจะทำให้เขามีความสุขมากขึ้น มีความสมดุลและมีสมาธิมากขึ้น อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้พบปัญหาที่เด่นชัดอย่างหนึ่งในที่ประชุมคือ พระที่สภาพจิตที่มั่นคงเหล่านั้นจะต้องผ่านการฝึกความสามารถทางจิตอย่างหนักตลอดช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต
ดาเนียล กิลเบิร์ต ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าจะต้องใช้เวลาฝึกถึง 15 ปี จึงคิดว่าไม่น่าจะช่วยคนส่วนใหญ่ได้
และได้ผู้มีความเห็นคัดค้านว่า อารมณ์บางอย่างซึ่งถือว่าเป็นในทางลบเช่น ความโกรธหรือความกลัว ก็น่าจะยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
ในตอนท้ายได้มีการยกตัวอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์คิง ( ผู้นำปลดแอกชนผิวดำในประเทศสหรัฐอเมริกา) เป็นคนขี้ฉุนเฉียว แต่เราก็ได้สิ่งดีๆ มากมาย จากอารมณ์โกรธของเขา
ข้อมูลจาก http://www.thestar.c...rticleId=238488
แปลโดย สุวรรณา เศวตสุนทร
เรียบเรียงโดย บ้านสายรุ้ง
*******************
เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซทส์- สำหรับคนที่กำลังแสวงหาหนทางในการรักษาสุขภาพของตนให้ดีขึ้น นายแพทย์อีริค แลนเดอร์ นายแพทย์#####แห่งกองทัพอเมริกันและเป็นนักชีววิทยาด้านโมเลกุลผู้นำโครงการศึกษายีนส์มนุษย์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี แทนที่จะแนะนำผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาที เขากลับแนะนำให้รู้จักปลีกเวลาสัก 1 ชั่วโมง ในหลายๆ ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ เพื่อทำสมาธิ แผ่เมตตา เนื่องจากนายแพทย์ท่านนี้ เชื่อว่าการแผ่เมตตาจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในร่างกายทำให้สุขภาพดี
แลนเดอร์ได้กล่าวไว้กับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและในหมู่นักวิชาการชาวพุทธที่มาประชุมกันที่สถาบันเอ็มไอที (สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซทส์)ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ว่า ไม่น่าเชื่อว่าต่อไปนี้อีก 20 ปี นายแพทย์#####อเมริกันจะแนะนำให้กำลังกายทางจิตวันละ 60 นาที จำนวน 5 ครั้งต่อสัปดาห์
คำทำนายของหมอแลนเดอร์นี้ เป็นตัวชี้กระแสหลักความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ที่เริ่มหลงใหลสนใจในศาสตร์ของศาสนาพุทธเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ยกตัวอย่าง นักประสาทวิทยาได้แสดงให้เห็นภาพสแกนสมองของพระที่สามารถยกระดับกิจกรรมของสมองซีกซ้ายด้านหน้า ซึ่งเป็นส่วนของสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทางบวก แสดงออกมาในแผนภูมิ ซึ่งใช้เทคนิคที่รู้จักในด้านการทำสมาธิแผ่เมตตา และได้พบว่าในสภาวะสมาธิที่ระดับต่างๆ กัน พระรูปเดียวกันสามารถทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เช่น พระสามารถอดกลั้นต่อสิ่งเร้าต่างๆ โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงที่ดังเฉียบพลันราวเสียงปืน
พอล เอคแมน ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับศาสตร์ของอารมณ์ อธิบายระดับการควบคุมได้เช่นนี้ถือว่าเป็น ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
อเลน วอลเลซ อดีตพระและประธานสถาบันการศึกษาเรื่องความมีสติในซานตา บาร์บารา เชื่อว่า การปฏิบัติของชาวพุทธมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงอารมณ์และความสมดุลของการรับรู้ ทั้งยังมีพลังอำนาจไม่เพียงแต่รักษาความซึมเศร้าและความเจ็บป่วยทางจิตเท่านั้น
วอลเลซกล่าวว่า ทำไมถึงไม่นำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในระบบโรงเรียน ผู้คนจะได้เรียนดีขึ้น และมีประโยชน์ต่อสารพัดวิชาชีพ เพราะจะทำให้เขามีความสุขมากขึ้น มีความสมดุลและมีสมาธิมากขึ้น อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้พบปัญหาที่เด่นชัดอย่างหนึ่งในที่ประชุมคือ พระที่สภาพจิตที่มั่นคงเหล่านั้นจะต้องผ่านการฝึกความสามารถทางจิตอย่างหนักตลอดช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิต
ดาเนียล กิลเบิร์ต ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ถ้าจะต้องใช้เวลาฝึกถึง 15 ปี จึงคิดว่าไม่น่าจะช่วยคนส่วนใหญ่ได้
และได้ผู้มีความเห็นคัดค้านว่า อารมณ์บางอย่างซึ่งถือว่าเป็นในทางลบเช่น ความโกรธหรือความกลัว ก็น่าจะยังมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
ในตอนท้ายได้มีการยกตัวอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์คิง ( ผู้นำปลดแอกชนผิวดำในประเทศสหรัฐอเมริกา) เป็นคนขี้ฉุนเฉียว แต่เราก็ได้สิ่งดีๆ มากมาย จากอารมณ์โกรธของเขา
ข้อมูลจาก http://www.thestar.c...rticleId=238488
แปลโดย สุวรรณา เศวตสุนทร
เรียบเรียงโดย บ้านสายรุ้ง