ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

ใครมีเทคนิคแก้อาการเหล่านี้บ้างครับ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 21 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 02:19 PM

ใครมีเทคนิคเฉพาะตัว แก้อาการเหล่านี้บ้างครับ เอามาเล่าแบ่งประสบการณ์กันและกันเพื่อพัฒนาการปฏิบัติธรรมของเรา

1 ลุ้น
2 เร่ง
3 เพ่ง
4 จ้อง
5 บีบหัวตา
6 กดลูกนัยตา
7 เกร็ง กดประสาท
8 อยาก
9 ฯลฯ




#2 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 06:16 PM

1 ลุ้น แก้โดย อย่าลุ้น
2 เร่ง แก้โดย อย่าเร่ง
3 เพ่ง แก้โดย อย่าเพ่ง
4 จ้อง แก้โดย อย่าจ้อง
5 บีบหัวตา แก้โดย อย่าบีบหัวตา
6 กดลูกนัยตา แก้โดย อย่ากดลูกนัยตา
7 เกร็ง กดประสาท แก้โดย อย่าเกร็งผ่อนคลายสบาย
8 อยาก แก้โดย อย่าอยาก
9 ฯลฯ แก้โดย อย่า ฯลฯ


1 ลุ้น แก้โดย อย่าลุ้น
2 เร่ง แก้โดย อย่าเร่ง
3 เพ่ง แก้โดย อย่าเพ่ง
4 จ้อง แก้โดย อย่าจ้อง
5 บีบหัวตา แก้โดย อย่าบีบหัวตา
6 กดลูกนัยตา แก้โดย อย่ากดลูกนัยตา
7 เกร็ง กดประสาท แก้โดย อย่าเกร็งผ่อนคลายสบาย
8 อยาก แก้โดย อย่าอยาก
9 ฯลฯ แก้โดย อย่า ฯลฯ

#3 kiangjung

kiangjung
  • Members
  • 119 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 06:22 PM

มีอาการกดลูกนัยตาเหมือนกันค่ะ พอนึกได้ก็จะคิดก่อนว่าไม่ใช้ตา ใช้ใจนะแต่ค่อยคิดนะค่ะ แล้วค่อยๆ น้อมใจเข้าไปหาศูนย์กลางกายทีละนิด ค่อยๆน้อมใจ...ทีละนิด... พอได้ค่ะ

#4 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 06:54 PM

คุณ suppy001ครับ ถ้ามันง่ายๆอย่างนั้น ป่านนี้ผู้ที่มีปัญญาทั้งหลายเค้าก็ไปนิพพานหมดแล้ว

มีกิเลศ แก้โดยการ ไม่มีกิเลศ ง่ายชะมัด confused_smile.gif

เมื่อรู้ว่ามันไม่ง่าย พวกเราก็จึงต้องเรียนรู้วิธีการ ที่หลวงพ่อท่านเรียกว่า How to ไงล่ะครับ happy.gif




#5 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 08:04 PM

ทำบ่อยๆ ทำถี่ๆ ทำทีละนานๆ เดี๋ยวหายเอง เพราะมันจะเริ่มวางใจเป็น ทีละนิดๆ เจ้าค่า
หรือไม่ ก็นั่ง(หลับ)ไปเลย ย้ำว่า นั่ง มิใช่นอน เดี๋ยวก็ตกศูนย์เอง แล้วก็มองในตัวเป็นเองค่า
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#6 tor

tor
  • Members
  • 356 โพสต์
  • Location:BKK
  • Interests:meditation

โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 10:21 PM

สำหรับผม ส่วนมากลุ้นมักเกิดจากการจำได้....จำได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มีทั้งแบบจำได้จากที่ได้อ่านมาและจำได้เพราะเคยได้สถานะนั้นมา ถ้ารู้ตัวว่าลุ้น....ส่วนมากผมจะกลับมาภาวนา สัมมาอะระหัง ใหม่ครับ แล้วทิ้งตรงลุ้นไปเลย ไม่ต้องเสียดายช่างมัน
เร่งก็เหมือนกัน ส่วนมากเร่งเกิดจากการเคยได้สถานะนั้นๆ มาก่อนหน้านี้ พอเริ่มนิ่งเลยกำกับซะ จนกลายเป็นเร่งไปเลย ถ้ารู้ตัว....ผมจะทิ้งไม่เสียดายอีกเช่นกัน แล้วเริ่มใหม่หมด ตั้งเเต่เส้นด้ายร้อยจากหน้าไปหลัง จากซ้ายไปขวา ตัดกันตรงไหนก็วางนิ้วมือลงไปสองนิ้วแล้วเอาดวงแก้วมาตั้งใหม่ ไปเรื่อยๆ เหมียนเดิมครับ
เพ่งนี่ไม่ค่อยเป็น
จ้องก็ไม่ค่อยเป็น
บีบหัวตาไม่เป็น
กดลูกนัยตา...เป็นบ่อย ใช้เบสิคเหมือนเดิมครับ ผมจะนึกลำดับเป็นกลาง กลม ใส แล้วผ่อนคลายอย่างสบายสุดๆ แล้งก็วนมากลาง กลม ใส ไปเรื่อยๆ จนลืมไปเองครับ
อย่างอื่นไม่ค่อยเป็นอะไรแล้ว

ที่บ่อยสุดก็กดลิ้นนี่เเหละครับ นัยว่ามาจากลุ้น
อันนี้ส่วนตัวนะครับ มืดตื้อมืดมิด....ก็ยังมีสิทธิ์เข้าถึงธรรมอยู่ แฮะ แฮะ แฮะ สาธุ
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ = กายเป็นที่พึ่งแห่งกาย

#7 ting074

ting074
  • Members
  • 3 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 12:25 AM

อาการที่ว่ามาก็เคยเป็นมาหมดแล้วนะคะ ช่วงอบรมธรรมทายาทหญิง
แรก ๆ ก็อยากเข้าถึงธรรมเหมือนคนอื่น ๆ

พอนั่ง ๆ ไป ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง
ความต้องการลดลง เอาล่ะ ขอแค่ใจโล่ง โปร่ง เบา สบายก็พอแล้ว

นั่ง ๆ ไป อาการหนักกว่าเดิม แค่หลับตาก็เริ่มตึง เครียด
อารมณ์ตอนนั้น ไม่คิด ไม่ฝันถึงเรื่องการเข้าถึงธรรมอะไรแล้ว แค่ให้หายตึง หายเครียดเป็นพอ จะฟุ้ง จะง่วงโงกเงก จะหลับก็ไม่ว่า (ตอนนั้น พระอาจารย์ถามประสบการณ์คนอื่น ๆ หลายคนบ่นที่ตนเองนั่งฟุ้ง นั่งหลับ เราแอบนึกในใจ ขอเรานั่งฟุ้ง นั่งหลับบ้างได้มั๊ย จะดีใจมากเลย)

หลัง ๆ ไม่รู้เป็นไง นั่ง ๆ ไปหายใจไม่ออก ทรมานมาก ต้องลุกออกไปเดินเรื่อยเปื่อยนอกห้อง ลืมเรื่องที่เรามาปฏิบัติธรรมสักพัก แล้วจึงกลับมานั่งใหม่
พอเป็นถึงขั้นนี้ เริ่มปลง ความต้องการแทบเป็นศูนย์ ไม่กล้าคาดหวังอะไรอีกแล้ว แค่นั่งเอาบุญก็พอแล้ว

จบการอบรมธรรมทายาทหญิงออกมาทั้งอย่างนั้น คือ เวลานั่งสมาธิ ก็ยังติดตึง ติดเครียด

หลังจากนั้นเป็นปี ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สวนเพชรแก้ว พอหลับตาก็เริ่มจะตึง คิดในใจ ไม่ไหวแล้ว ถ้ามันจะต้องตึงต้องเครียดอย่างนี้ เราไม่นั่งสมาธิก็ได้ ไม่ได้ลุกออกไปนอกห้องนะคะ แต่ไม่สนใจจะนั่งสมาธิอีกแล้ว พระอาจารย์นำนั่งบอกให้หลับตา ก็ไม่หลับตา ก็นั่งมองวิวเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ เบื่อ ๆ ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง -> แปลกดี วิธีนี้กลับได้ผล นั่งอย่างนี้ไปสักพักกลับรู้สึกใจนิ่งใจรวม พอรู้สึกตัวก็ทำอย่างเดิมอีก พอรู้วิธีอย่างนี้ ดีใจมาก ดีใจที่ตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมในครั้งนั้น

ถัดจากนั้น เรานั่งสมาธิ ส่วนใหญ่ จะนั่งฟุ้ง กับนั่งหลับซะมาก แต่ก็มีใจสบายเป็นช่วง ๆ บางคนอาจคิดว่านั่งฟุ้งนั่งหลับแบบนี้ไม่เห็นจะดีตรงไหน แต่สำหรับเรา ได้เท่านี้ เราก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้วล่ะ

(บางคนอ่านแล้วอาจคิดว่า แล้วทำไมตอนอบรมธรรมทายาทหญิง ไม่เคยนั่งลืมตาเรื่อยเปื่อยเลยหรือ -> เราคงจะบื้อเองแหละ ก็เวลานั่งสมาธิ มาถึง พระอาจารย์ก็บอกให้หลับตา เราก็คิดว่านั่งสมาธิก็ต้องหลับตา ถ้าไม่หลับตาจะเป็นการนั่งสมาธิหรือ มาคิดดูตอนนี้แล้วก็ตลกดี ทำไมถึงซื่อบื้อได้อย่างนั้น)

นอกจากนี้ หลังจากผ่านมาหลายปี จากการสนทนากับพี่กัลยาณมิตรที่สนิทกันและจากการสังเกตุตนเอง เราก็พบว่าการย้ำคิดหรือย้ำพูดถึงอาการที่ไม่ดีต่าง ๆ (ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง บีบหัวตา กดลูกนัยตา เกร็ง กดประสาท อยาก ..) ส่งผลให้เรามีอาการอย่างนั้นได้ เช่น เราแก้อาการตึงได้หลายปีแล้ว ปกติไม่เป็นแล้ว แต่พออยู่ ๆ มาคิดถึงว่าเราเคยตึงอย่างนู้นอย่างนี้ ยิ่งพูดกับคนอื่น ๆ เรื่องอาการตึง อาการเกร็ง กดลูกนัยตา พอมานั่งสมาธิ ใจมันจะนึกถึงอาการตึง แล้วจะเป็นอีก ต้องผ่อนคลายอีกหลายวัน

เพราะงั้น ถ้าถามเราว่ามีเทคนิคแก้อาการเหล่านี้อย่างไร ขอแนะนำว่า ตอนนั่งสมาธิอยู่ ถ้าหลับตาแล้วตึง ก็ลืมตา มองอะไรเรื่อยเปื่อยไปก่อน (ช่วงแรก นั่งสมาธิ 30 นาที อาจนั่งลืมตาเรื่อยเปื่อย 20 นาทีก็ได้) เหมือนมานั่งเฉย ๆ ไม่ได้มานั่งสมาธิ และอีกอย่างที่สำคัญมากคือ อย่าพยายามคิดถึงหรือพูดถึงอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เดี๋ยวนั่งสมาธิ ใจมันจะเป็นไปตามนั้น

ปล. ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์และวิธีแก้ไขที่เราใช้ ซึ่งอาการเดียวกัน แต่ละคนอาจแก้ไม่เหมือนกันก็ได้


#8 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 04:00 AM

อาการบีบหัวตาหรือเกร็งตรงหว่างคิ้วลองใช้วิธียักคิ้วดูครับ

คือพอรู้สึกว่าเกร็งๆก็ลองยักคิ้วนิดๆ ไม่ต้องแรง
ทำความรู้สึกเหมือนคิ้วมันลอยหน่อยๆ อาการเกร็งหัวตาจะหายไปแล้วก็นั่งต่อครับ
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)

#9 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 05:35 AM

คุณสิริปโภ ครับ ความหมายของผมก็คือการแก้ไขอาการดังกล่าวก็คือทำตรงกันข้าม เพราะว่าผมทำแล้วได้ผล ไม่ใช่ต้องการเล่นคำนะครับ เพราะคุณครูไม่ใหญ่สอนว่าให้นึกอย่างง่ายๆ ทำให้ง่ายๆ แต่ธรรมชาติคนเราชอบทำของง่ายให้เป็นของยาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านมักจะสอนแบบนี้ เช่น ขี้เกียจ แก้โดย ขยัน.. ท้อ แก้โดย ไม่ท้อ... โกรธ แก้โดย ไม่โกรธ... เป็นต้น แต่ถ้าคำตอบของผมทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็ต้องของอภัยด้วย และก็ขอให้ลืมมันไปเลยนะครับ และขออนุโมทนาบุญกับคุณสิริปโก และทุกๆ ท่านด้วยนะครับ ขอให้ได้ดวงใสๆ สว่างๆ ทุกท่านเลยนะครับ...สาธุ

#10 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 07:38 AM

คนที่รับรู้อาการเหล่านี้ได้นั้นแสดงว่า ใจเริ่มที่จะมาอยู่กับตัวแล้วครับ ดีแล้ว
ค่อยๆจับอาการไปแล้วก็ค่อยๆแก้ไปทีละอย่างครับ
อย่างน้อย ใจเราก็ยังอยู่กับตัวเราหละครับ ไม่ได้วิ่งไปอยู่กับคนอื่น อีกหน่อยก็ไปรวมอยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้วครับ

อาการเหล่านี้ผมก็เป็นครับแม้กระทั่งทุกวันนี้
แต่ผมก็ทำเฉยๆ พอจับได้ว่าเราเพ่ง ก็โอเค ผ่อนคลายไม่เพ่งแล้ว ก็เอาใจลงศูนย์ต่อครับ ค่อยๆทำไปดีกว่าครับ

ถึงจะเพ่ง จะเครียดยังไง ก็ขอให้ทุกคนพยายามนั่งเอาใจจรดศูนย์กลางกายกันเอาไว้นะครับ เดี๋ยวก็สว่างเองครับ

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#11 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 09:51 AM

จะใช้วิธีของผมไหมล่ะพี่สิริปโป แต่ใช้เวลานานหน่อยนะ แต่ก็มั่นใจว่าได้ผลชัวร์ วิธีคือ ฝึกตัวให้เฉย และชินชากับทุกสิ่งและทุกเรื่องในทุกอริยาบท ใครพูดอะไร พูดเรื่องอะไรก็ไม่ยินดียินร้ายกับเขา จะอ่านหนังสือไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียนหรือธรรมะก็ให้อ่านไปเฉยๆ ไม่คิดตามจะจำได้หรือไม่ได้ก็ช่าง จะทำบุญจะทำได้หรือไม่ได้ก็ช่างอย่าคิดอยาก เช่นอยากจะทำบุญนั้นบุญนี้ จะทานข้าวก้อย่าคิดอะไรให้วางใจเฉยๆไม่สนว่าอยากทานนู้นทานนี่ ฝึกไปเรื่อยๆจนชินกับความเฉย เมื่อเราชินกับความเฉยแล้ว ความอยากจะค่อยๆลดลง เมื่อความอยากลดลง อาการลุ้นเร่งเพ่งจ้องก็จะหายไปเอง พออาการลุ้นเร่งเพ่งจ้องหายไปอาการเกร็งต่างๆก็จะหมดไป
เวลาผมฝึกอยากรู้ไหมล่ะครับว่าผมฝึกยังไง ไม่แนะนำให้ทำตามนะครับหากสติไม่แข็งพอเพราะอาจตบะแตกได้ เวลาผมฝึกผมจะฝึกโดยการไปเดินตามห้าง มองผู้หญิงที่ดูแล้วว่าสวยว่าน่ารัก แล้วผมก็จะนึกในใจว่า "ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง" นานๆไปจาก"ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง"ก็กลายเป็น "มันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งแหล่ะว้า" นานๆไปก็กลายเป็น "ก็แค่คนล่ะว้า" นานๆไปก็กลายเป็น "ก็แค่ถังขยะเดินได้เหมือนกับเรานี่เอง" จนสุดท้ายกลายเป็น "ซากศพเดินได้เหมือนเรานี่เอง"จนเดี๋ยวนี้ผมเห็นผู้หญิงไม่ว่าจะสวยแค่ไหน น่ารักแค่ไหน แต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อยยังไง ผมแทบจะไม่มีจิตคิดปฏิพัดเลย(ยังมีอยู่บ้างไม่มากนักอ่ะครับ หุหุ) แต่ที่แน่ๆมันช่วยให้ผมรู้สึกเฉยๆกับอาการอยากรู้อยากเห็น อาการลุ้นเร่งเพ่งจ้องได้เป็นอย่างดีครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#12 Nida49

Nida49
  • Members
  • 456 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 10:22 AM

แม้มืดตื้ด มืดมิด ก็มีเสร็จเข้าถึงธรรม

ยังไงก็ให้ได้นั่งธรรมะ อย่างน้อยก็ได้ระยะทางตามที่คุณยายท่านว่าไว้



#13 เฉย เฉย

เฉย เฉย
  • Members
  • 618 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:เรื่องกฎแห่งกรรม การกระทำ สมาธิ

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 10:51 AM

นี่เลย..เฉย เฉย นิ่งๆ...อย่าอยาก ยิ่งอยากยิ่งยากนะจ๊ะ
แม้มืดตื้อ..มืดมิด..ก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม

#14 Ronin

Ronin
  • Members
  • 62 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 01:43 PM

แต่ก่อนนี้ผมมีอาการครบหมดครับที่ว่าๆมา เอาว่าวิธีผมนะ นั่งสบายๆกับ dmc นั่นหละไปเรื่อยๆหลับคาคอมฯจนถึงเช้าบ่อยเลยแต่ไม่เพลียนะ
สรุปนะ ทำบ่อยๆอ่ะ

#15 (.^_^.)

(.^_^.)
  • Members
  • 29 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 02:51 PM

สำหรับตัวเองตอนช่วงที่ฝึกนั่งแรก ๆ จะรู้สึกว่า เครียดเพราะพยายามที่จะนึกถึงดวงกลมใสที่ศูนย์กลางกาย แต่นึกไม่ออกซะที และชอบกดใจให้ไม่ฟุ้ง (ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด) จึงทำให้เกิดอาการตึง ๆ บริเวณศีรษะและหว่างคิ้ว แต่ตอนหลังก็ทำตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกตอนนำนั่งสมาธิว่า ถึงแม้ยังไม่เห็นอะไร แต่ก็ให้นั่งทำใจนิ่ง ๆ ไปเรื่อย ๆ ปรากฏว่าหายค่ะ แล้วก็รู้สึกว่านั่งดีขึ้นด้วย และก็ทำตามที่ผู้รู้และพระอาจารย์ให้คำแนะนำว่า "ถ้าจะให้ดีก็ควรจะนั่งบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่องทุกวันนะคะ นั่งได้มากบ้างน้อยบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญเวลานั่งทุกครั้งต้องรู้สึกว่ามีความสุข และรู้สึกว่าอยากจะนั่งอีก" พอนำมาปฏิบัติตามก็รู้สึกได้เลยว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ (คือรู้สึกว่าสบายขึ้นเรื่อย ๆ)และเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

ปัจจุบันการนั่งสมาธิสำหรับเราก็ถือว่าเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ตอนนั่งทุกครั้งก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เวลามีประสบการณ์อย่างไรก็นั่งไปอย่างนั้น นั่งไปเรื่อย ๆ คิดว่านั่งแล้วสบายมีความสุข ได้พักกายพักใจให้สงบจากเรื่องอื่น ๆ ก็พอแล้วค่ะ ส่วนประสบการณ์ต่าง ๆ จากการนั่งสมาธิเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา แต่เราก็ไม่ควรจะไปยึดติดมันนะคะ มิฉะนั้นมันจะติดอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนค่ะ

#16 ฝันที่เป็นจริง

ฝันที่เป็นจริง
  • Members
  • 436 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 05:02 PM

เท่าที่สังเกตกับตัวเอง วันไหนถ้าใจอยู่ในบุญ ไม่ค่อยเครียดจากที่ทำงาน เวลานั่งไม่ต้องปรับอะไรเลย นั่งหลับตาเฉยๆก็นิ่งลงไปเลย อย่างรวดเร็ว

แต่ไม่ได้เป็อย่างนั้นบ่อยๆ ส่วนมากในระหว่างวันก็ฟุ้งซ่าน ไปเรื่อย พอมานั่งก็รวมใจไม่ค่อยได้ แถมตึง อีกต่างหาก

สิ่งที่น่าจะช่วยเราให้ดีที่สุด คือ รักษากาย วาจา ใจ ของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา หรือ ง่ายๆก็คือรักษาใจให้อยู่ในบุญเสมอ นั้นก็คือ
QUOTE
การหมั่นทำการบ้านที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านได้ให้ไว้ ให้ได้มากที่สุด สิ่งนี้จะเกื้อหนุนการปฏิบัติธรรมของเราเอง
ไม่ต้องไปคิดหาวิธีการให้มากมาย...
"หยุด เป็น ตัวสำเร็จ"

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ


หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ



#17 คุณรู้มั๊ย คุณนั้นเคยตาย

คุณรู้มั๊ย คุณนั้นเคยตาย
  • Members
  • 335 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:บุญ หยุดนิ่ง นั่งสมาธิ ฟุตบอล คอมพิวเตอร์

โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 05:57 PM

smile.gif ก็คงตั้งใจมากเกินไปน่ะครับ ตั้งใจมั่นลงไปที่ศูนย์กลางกายละกัน บุญเท่านั้นที่อยู่เบื้องหลังความสุขและความสำเร็จครับบบ
หลับตาเบาๆ ผ่อนคลายสบาย ให้ใจหยุดนิ่ง ที่ศูนย์กลางกาย

นิ่งๆ นุ่มๆ นานๆ

#18 bkk072

bkk072
  • Members
  • 16 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 07:22 AM

เคยถามลูกสาวและลูกชายว่าทำอย่างไง เพราะครั้งแรกที่เขาได้ฝึกสมาธิ เขาก็สามารถเขาถึงพระธรรมกายได้ โดยเริ่มแรกเขาใช้การนึกถึงพระอาทิตย์ไว้กลางท้อง ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักวัดพระธรรมกายเลย รู้แต่ว่าเป็นการฝืกสมาธิของหลวงปู่สด วัดปากน้ำ เราจะสังเกตุได้ว่าเด็กๆจะทำสมาธิได้ง่าย เพราะเขาไม่คิดอะไรมาก บอกให้นึกเขาก็นึก แต่ก็ไม่ใช่เด็กทุกคนจะทำได้ ต้องมีบุญเก่า ที่เขาเคยทำมาก่อน สำหรับผู้ใหญ่ที่ยาก เพราะเราตั้งใจมากเกินไป เริ่มแรกในการนั่งสมาธิ ทุกอย่าง เป็นการนึก ไม่ใช่การเห็น เพราะเมื่อเราคิดว่าต้องเห็น จึงเกิดการเพ่ง จ้อง ทำให้เครียด วิธีที่คุณครูไม่ใหญ่สอนเป็นทางลัดที่สุดค่ะ หมั่นทำบ่อยๆ ทั้งตอนลืมตาและหลับตา ไม่ช้าทุกคนต้องทำได้ค่ะ ทำง่ายๆสบายๆค่ะ



#19 ยิ่งหยุด ยิ่งเร็ว

ยิ่งหยุด ยิ่งเร็ว
  • Members
  • 49 โพสต์
  • Location:Tokyo, Japan

โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 08:18 AM

สูตรสำเร็จการแก้ลุ้น

1. ถ้าใจยังไม่พร้อมที่จะนึก อย่าเพิ่งนึก ให้วางใจเฉย ๆ จงคอยด้วยใจที่เยือกเย็น วางใจในที่สบาย ๆ

2. วิธีรักษานิมิต ให้ดูเฉย ๆ แม้หายก็ช่าง ให้หยุด นิ่ง เฉย

3. การดูเฉย ๆ จะทำให้ประสบการณ์ดีขึ้นตามลำดับ

4. เห็นแค่ไหนก็ให้พอใจแค่นั้นไปก่อน

5. มีอะไรให้ดู ก็ดูไป ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น

6. เรามีหน้าที่ดู ไม่ใช่ผู้กำกับการแสดง ไม่เจ้ากี้เจ้าการ

7. อย่าไปเพ่ง จำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่จำเป็นจะต้องได้ 100 เปอร์เซ็นต์
แล้วต่อจากนั้นก็นึกอย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องกังวลกับการนึกคิดมากไป

ที่มา: DOU MD203 สมาธิ 3 อุปสรรคและวิธีแก้ไขในการทำสมาธิ หน้า 86

#20 ยิ่งหยุด ยิ่งเร็ว

ยิ่งหยุด ยิ่งเร็ว
  • Members
  • 49 โพสต์
  • Location:Tokyo, Japan

โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 08:27 AM

วิธีแก้ไข เมื่อนั่งแล้ว ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง

1. ทำใจให้นิ่งนุ่มอย่างเบาสบาย

2. อย่ากังวลเรื่องการเห็นภาพ

3. วางใจนิ่ง ๆ ในกลางท้องที่เรามั่นใจว่า คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7

4. ให้มุ่งที่ใจหยุดแทนการมุ่งเห็นภาพ

5. ทำใจหยุดนิ่งเฉย มองเรื่อยไป ไม่ต่อต้านทุกความคิด

คำกลอนสอนใจที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ให้ไว้ว่า

หากอยากนั่ง O.K. ให้นั่งต่อ ตามใจพ่อสักหน่อยจะได้ไหม

เลิกลุ้นเร่ง เพิ่งจ้องมองเรื่อยไป เห็นอะไรใหม่ไม่ใหม่ก็ช่างมัน

แล้วเป็นมิตรกับความคิดทุก ๆ อย่าง ใจจะว่างโปร่งเบาไม่ฟุ้งฝัน

ลูกจะเจอของดี โอ้อัศจรรย์ คือรางวัลตามใจพ่อครั้งนี้เอย


#21 lee072d

lee072d
  • Members
  • 265 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 08:22 PM

จงหยุดที่ 072 อย่างเดียวครับ

#22 itte

itte
  • Members
  • 4 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 August 2007 - 05:12 AM

ให้ปรับธาตุธรรมก่อนจะทำให้ได้ธรรมได้ง่าย ๆ ๆ
ลองทำดูนะ......ให้เป็นธรรมชาติของเราให้ได้