ใครมีเทคนิคแก้อาการเหล่านี้บ้างครับ
#1
โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 02:19 PM
1 ลุ้น
2 เร่ง
3 เพ่ง
4 จ้อง
5 บีบหัวตา
6 กดลูกนัยตา
7 เกร็ง กดประสาท
8 อยาก
9 ฯลฯ
#2
โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 06:16 PM
2 เร่ง แก้โดย อย่าเร่ง
3 เพ่ง แก้โดย อย่าเพ่ง
4 จ้อง แก้โดย อย่าจ้อง
5 บีบหัวตา แก้โดย อย่าบีบหัวตา
6 กดลูกนัยตา แก้โดย อย่ากดลูกนัยตา
7 เกร็ง กดประสาท แก้โดย อย่าเกร็งผ่อนคลายสบาย
8 อยาก แก้โดย อย่าอยาก
9 ฯลฯ แก้โดย อย่า ฯลฯ
1 ลุ้น แก้โดย อย่าลุ้น
2 เร่ง แก้โดย อย่าเร่ง
3 เพ่ง แก้โดย อย่าเพ่ง
4 จ้อง แก้โดย อย่าจ้อง
5 บีบหัวตา แก้โดย อย่าบีบหัวตา
6 กดลูกนัยตา แก้โดย อย่ากดลูกนัยตา
7 เกร็ง กดประสาท แก้โดย อย่าเกร็งผ่อนคลายสบาย
8 อยาก แก้โดย อย่าอยาก
9 ฯลฯ แก้โดย อย่า ฯลฯ
#3
โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 06:22 PM
#4
โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 06:54 PM
มีกิเลศ แก้โดยการ ไม่มีกิเลศ ง่ายชะมัด
เมื่อรู้ว่ามันไม่ง่าย พวกเราก็จึงต้องเรียนรู้วิธีการ ที่หลวงพ่อท่านเรียกว่า How to ไงล่ะครับ
#5
โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 08:04 PM
หรือไม่ ก็นั่ง(หลับ)ไปเลย ย้ำว่า นั่ง มิใช่นอน เดี๋ยวก็ตกศูนย์เอง แล้วก็มองในตัวเป็นเองค่า
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#6
โพสต์เมื่อ 20 August 2007 - 10:21 PM
เร่งก็เหมือนกัน ส่วนมากเร่งเกิดจากการเคยได้สถานะนั้นๆ มาก่อนหน้านี้ พอเริ่มนิ่งเลยกำกับซะ จนกลายเป็นเร่งไปเลย ถ้ารู้ตัว....ผมจะทิ้งไม่เสียดายอีกเช่นกัน แล้วเริ่มใหม่หมด ตั้งเเต่เส้นด้ายร้อยจากหน้าไปหลัง จากซ้ายไปขวา ตัดกันตรงไหนก็วางนิ้วมือลงไปสองนิ้วแล้วเอาดวงแก้วมาตั้งใหม่ ไปเรื่อยๆ เหมียนเดิมครับ
เพ่งนี่ไม่ค่อยเป็น
จ้องก็ไม่ค่อยเป็น
บีบหัวตาไม่เป็น
กดลูกนัยตา...เป็นบ่อย ใช้เบสิคเหมือนเดิมครับ ผมจะนึกลำดับเป็นกลาง กลม ใส แล้วผ่อนคลายอย่างสบายสุดๆ แล้งก็วนมากลาง กลม ใส ไปเรื่อยๆ จนลืมไปเองครับ
อย่างอื่นไม่ค่อยเป็นอะไรแล้ว
ที่บ่อยสุดก็กดลิ้นนี่เเหละครับ นัยว่ามาจากลุ้น
อันนี้ส่วนตัวนะครับ มืดตื้อมืดมิด....ก็ยังมีสิทธิ์เข้าถึงธรรมอยู่ แฮะ แฮะ แฮะ สาธุ
#7
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 12:25 AM
แรก ๆ ก็อยากเข้าถึงธรรมเหมือนคนอื่น ๆ
พอนั่ง ๆ ไป ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง
ความต้องการลดลง เอาล่ะ ขอแค่ใจโล่ง โปร่ง เบา สบายก็พอแล้ว
นั่ง ๆ ไป อาการหนักกว่าเดิม แค่หลับตาก็เริ่มตึง เครียด
อารมณ์ตอนนั้น ไม่คิด ไม่ฝันถึงเรื่องการเข้าถึงธรรมอะไรแล้ว แค่ให้หายตึง หายเครียดเป็นพอ จะฟุ้ง จะง่วงโงกเงก จะหลับก็ไม่ว่า (ตอนนั้น พระอาจารย์ถามประสบการณ์คนอื่น ๆ หลายคนบ่นที่ตนเองนั่งฟุ้ง นั่งหลับ เราแอบนึกในใจ ขอเรานั่งฟุ้ง นั่งหลับบ้างได้มั๊ย จะดีใจมากเลย)
หลัง ๆ ไม่รู้เป็นไง นั่ง ๆ ไปหายใจไม่ออก ทรมานมาก ต้องลุกออกไปเดินเรื่อยเปื่อยนอกห้อง ลืมเรื่องที่เรามาปฏิบัติธรรมสักพัก แล้วจึงกลับมานั่งใหม่
พอเป็นถึงขั้นนี้ เริ่มปลง ความต้องการแทบเป็นศูนย์ ไม่กล้าคาดหวังอะไรอีกแล้ว แค่นั่งเอาบุญก็พอแล้ว
จบการอบรมธรรมทายาทหญิงออกมาทั้งอย่างนั้น คือ เวลานั่งสมาธิ ก็ยังติดตึง ติดเครียด
หลังจากนั้นเป็นปี ได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่สวนเพชรแก้ว พอหลับตาก็เริ่มจะตึง คิดในใจ ไม่ไหวแล้ว ถ้ามันจะต้องตึงต้องเครียดอย่างนี้ เราไม่นั่งสมาธิก็ได้ ไม่ได้ลุกออกไปนอกห้องนะคะ แต่ไม่สนใจจะนั่งสมาธิอีกแล้ว พระอาจารย์นำนั่งบอกให้หลับตา ก็ไม่หลับตา ก็นั่งมองวิวเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ เบื่อ ๆ ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อยบ้าง -> แปลกดี วิธีนี้กลับได้ผล นั่งอย่างนี้ไปสักพักกลับรู้สึกใจนิ่งใจรวม พอรู้สึกตัวก็ทำอย่างเดิมอีก พอรู้วิธีอย่างนี้ ดีใจมาก ดีใจที่ตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมในครั้งนั้น
ถัดจากนั้น เรานั่งสมาธิ ส่วนใหญ่ จะนั่งฟุ้ง กับนั่งหลับซะมาก แต่ก็มีใจสบายเป็นช่วง ๆ บางคนอาจคิดว่านั่งฟุ้งนั่งหลับแบบนี้ไม่เห็นจะดีตรงไหน แต่สำหรับเรา ได้เท่านี้ เราก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้วล่ะ
(บางคนอ่านแล้วอาจคิดว่า แล้วทำไมตอนอบรมธรรมทายาทหญิง ไม่เคยนั่งลืมตาเรื่อยเปื่อยเลยหรือ -> เราคงจะบื้อเองแหละ ก็เวลานั่งสมาธิ มาถึง พระอาจารย์ก็บอกให้หลับตา เราก็คิดว่านั่งสมาธิก็ต้องหลับตา ถ้าไม่หลับตาจะเป็นการนั่งสมาธิหรือ มาคิดดูตอนนี้แล้วก็ตลกดี ทำไมถึงซื่อบื้อได้อย่างนั้น)
นอกจากนี้ หลังจากผ่านมาหลายปี จากการสนทนากับพี่กัลยาณมิตรที่สนิทกันและจากการสังเกตุตนเอง เราก็พบว่าการย้ำคิดหรือย้ำพูดถึงอาการที่ไม่ดีต่าง ๆ (ลุ้น เร่ง เพ่ง จ้อง บีบหัวตา กดลูกนัยตา เกร็ง กดประสาท อยาก ..) ส่งผลให้เรามีอาการอย่างนั้นได้ เช่น เราแก้อาการตึงได้หลายปีแล้ว ปกติไม่เป็นแล้ว แต่พออยู่ ๆ มาคิดถึงว่าเราเคยตึงอย่างนู้นอย่างนี้ ยิ่งพูดกับคนอื่น ๆ เรื่องอาการตึง อาการเกร็ง กดลูกนัยตา พอมานั่งสมาธิ ใจมันจะนึกถึงอาการตึง แล้วจะเป็นอีก ต้องผ่อนคลายอีกหลายวัน
เพราะงั้น ถ้าถามเราว่ามีเทคนิคแก้อาการเหล่านี้อย่างไร ขอแนะนำว่า ตอนนั่งสมาธิอยู่ ถ้าหลับตาแล้วตึง ก็ลืมตา มองอะไรเรื่อยเปื่อยไปก่อน (ช่วงแรก นั่งสมาธิ 30 นาที อาจนั่งลืมตาเรื่อยเปื่อย 20 นาทีก็ได้) เหมือนมานั่งเฉย ๆ ไม่ได้มานั่งสมาธิ และอีกอย่างที่สำคัญมากคือ อย่าพยายามคิดถึงหรือพูดถึงอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เดี๋ยวนั่งสมาธิ ใจมันจะเป็นไปตามนั้น
ปล. ที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์และวิธีแก้ไขที่เราใช้ ซึ่งอาการเดียวกัน แต่ละคนอาจแก้ไม่เหมือนกันก็ได้
#8
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 04:00 AM
คือพอรู้สึกว่าเกร็งๆก็ลองยักคิ้วนิดๆ ไม่ต้องแรง
ทำความรู้สึกเหมือนคิ้วมันลอยหน่อยๆ อาการเกร็งหัวตาจะหายไปแล้วก็นั่งต่อครับ
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#9
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 05:35 AM
#10
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 07:38 AM
ค่อยๆจับอาการไปแล้วก็ค่อยๆแก้ไปทีละอย่างครับ
อย่างน้อย ใจเราก็ยังอยู่กับตัวเราหละครับ ไม่ได้วิ่งไปอยู่กับคนอื่น อีกหน่อยก็ไปรวมอยู่ที่ศูนย์กลางกายแล้วครับ
อาการเหล่านี้ผมก็เป็นครับแม้กระทั่งทุกวันนี้
แต่ผมก็ทำเฉยๆ พอจับได้ว่าเราเพ่ง ก็โอเค ผ่อนคลายไม่เพ่งแล้ว ก็เอาใจลงศูนย์ต่อครับ ค่อยๆทำไปดีกว่าครับ
ถึงจะเพ่ง จะเครียดยังไง ก็ขอให้ทุกคนพยายามนั่งเอาใจจรดศูนย์กลางกายกันเอาไว้นะครับ เดี๋ยวก็สว่างเองครับ
อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
#11
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 09:51 AM
เวลาผมฝึกอยากรู้ไหมล่ะครับว่าผมฝึกยังไง ไม่แนะนำให้ทำตามนะครับหากสติไม่แข็งพอเพราะอาจตบะแตกได้ เวลาผมฝึกผมจะฝึกโดยการไปเดินตามห้าง มองผู้หญิงที่ดูแล้วว่าสวยว่าน่ารัก แล้วผมก็จะนึกในใจว่า "ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง" นานๆไปจาก"ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง"ก็กลายเป็น "มันก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งแหล่ะว้า" นานๆไปก็กลายเป็น "ก็แค่คนล่ะว้า" นานๆไปก็กลายเป็น "ก็แค่ถังขยะเดินได้เหมือนกับเรานี่เอง" จนสุดท้ายกลายเป็น "ซากศพเดินได้เหมือนเรานี่เอง"จนเดี๋ยวนี้ผมเห็นผู้หญิงไม่ว่าจะสวยแค่ไหน น่ารักแค่ไหน แต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อยยังไง ผมแทบจะไม่มีจิตคิดปฏิพัดเลย(ยังมีอยู่บ้างไม่มากนักอ่ะครับ หุหุ) แต่ที่แน่ๆมันช่วยให้ผมรู้สึกเฉยๆกับอาการอยากรู้อยากเห็น อาการลุ้นเร่งเพ่งจ้องได้เป็นอย่างดีครับ
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย
#12
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 10:22 AM
ยังไงก็ให้ได้นั่งธรรมะ อย่างน้อยก็ได้ระยะทางตามที่คุณยายท่านว่าไว้
#13
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 10:51 AM
#14
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 01:43 PM
สรุปนะ ทำบ่อยๆอ่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 02:51 PM
ปัจจุบันการนั่งสมาธิสำหรับเราก็ถือว่าเป็นกิจวัตรอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ตอนนั่งทุกครั้งก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เวลามีประสบการณ์อย่างไรก็นั่งไปอย่างนั้น นั่งไปเรื่อย ๆ คิดว่านั่งแล้วสบายมีความสุข ได้พักกายพักใจให้สงบจากเรื่องอื่น ๆ ก็พอแล้วค่ะ ส่วนประสบการณ์ต่าง ๆ จากการนั่งสมาธิเป็นผลพลอยได้ที่ตามมา แต่เราก็ไม่ควรจะไปยึดติดมันนะคะ มิฉะนั้นมันจะติดอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนค่ะ
#16
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 05:02 PM
แต่ไม่ได้เป็อย่างนั้นบ่อยๆ ส่วนมากในระหว่างวันก็ฟุ้งซ่าน ไปเรื่อย พอมานั่งก็รวมใจไม่ค่อยได้ แถมตึง อีกต่างหาก
สิ่งที่น่าจะช่วยเราให้ดีที่สุด คือ รักษากาย วาจา ใจ ของเราให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา หรือ ง่ายๆก็คือรักษาใจให้อยู่ในบุญเสมอ นั้นก็คือ
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต้ อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ
หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ
#17
โพสต์เมื่อ 21 August 2007 - 05:57 PM
#18
โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 07:22 AM
#19
โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 08:18 AM
1. ถ้าใจยังไม่พร้อมที่จะนึก อย่าเพิ่งนึก ให้วางใจเฉย ๆ จงคอยด้วยใจที่เยือกเย็น วางใจในที่สบาย ๆ
2. วิธีรักษานิมิต ให้ดูเฉย ๆ แม้หายก็ช่าง ให้หยุด นิ่ง เฉย
3. การดูเฉย ๆ จะทำให้ประสบการณ์ดีขึ้นตามลำดับ
4. เห็นแค่ไหนก็ให้พอใจแค่นั้นไปก่อน
5. มีอะไรให้ดู ก็ดูไป ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
6. เรามีหน้าที่ดู ไม่ใช่ผู้กำกับการแสดง ไม่เจ้ากี้เจ้าการ
7. อย่าไปเพ่ง จำได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ไม่จำเป็นจะต้องได้ 100 เปอร์เซ็นต์
แล้วต่อจากนั้นก็นึกอย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องกังวลกับการนึกคิดมากไป
ที่มา: DOU MD203 สมาธิ 3 อุปสรรคและวิธีแก้ไขในการทำสมาธิ หน้า 86
#20
โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 08:27 AM
1. ทำใจให้นิ่งนุ่มอย่างเบาสบาย
2. อย่ากังวลเรื่องการเห็นภาพ
3. วางใจนิ่ง ๆ ในกลางท้องที่เรามั่นใจว่า คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ 7
4. ให้มุ่งที่ใจหยุดแทนการมุ่งเห็นภาพ
5. ทำใจหยุดนิ่งเฉย มองเรื่อยไป ไม่ต่อต้านทุกความคิด
คำกลอนสอนใจที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ได้ให้ไว้ว่า
หากอยากนั่ง O.K. ให้นั่งต่อ ตามใจพ่อสักหน่อยจะได้ไหม
เลิกลุ้นเร่ง เพิ่งจ้องมองเรื่อยไป เห็นอะไรใหม่ไม่ใหม่ก็ช่างมัน
แล้วเป็นมิตรกับความคิดทุก ๆ อย่าง ใจจะว่างโปร่งเบาไม่ฟุ้งฝัน
ลูกจะเจอของดี โอ้อัศจรรย์ คือรางวัลตามใจพ่อครั้งนี้เอย
#21
โพสต์เมื่อ 22 August 2007 - 08:22 PM
#22
โพสต์เมื่อ 25 August 2007 - 05:12 AM
ลองทำดูนะ......ให้เป็นธรรมชาติของเราให้ได้