ลูกดื้อ ทำไงดี
#1
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 11:21 AM
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อ 4 ปีก่อน เธออายุ 25 ได้ไปเจอคนรู้จักกันทางคอมโดยบังเอญ พอผมทราบก็ให้เลิกคบกัน แต่ทั้งคู่ก็ยังแอบคบกันอยู่ และได้อยู่ด้วยกันด้วย พอทราบเรื่องก็ไม่พอใจมาก พยายามให้เค้าคบกันแบบเพื่อนอย่าเป็นแฟนกัน ให้ลูกเลือกหลายทีระหว่างพ่อแม่ กับแฟน เค้าก็ไม่ยอมตัดสินใจซะที ผมน้อยใจ ทำไมลูกเห็นคนอื่นดีกว่าพ่อแม่ ทั้งๆที่คนนั้นก็ใช่ว่าเป็นคนไม่ดีหรอก ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ คยบวชอีกด้วยที่วัดนี้แหละครับ แต่ติดตรงที่ทั้งอายุก็มากกว่า 6-7 ปี ฐานะ การศึกษา ผมมองแล้วว่าไม่คู่ควรกันเลย เคยแต่งงานมาก่อนแล้วเลิกกันแล้ว มันไม่เหมาะสมกันทุกด้าน แต่ลูกก็ยังมองเห็นเค้าเป็นคนที่ดีอยู่นั่นแหละ
ผมเตือนว่าการทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ ก็เป็นการอกตัญญูพ่อแม่ พระอรหันต์ในบ้านบาปมาก อยากให้เค้าถือพรหมจรรย์ ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันแล้วก็เลิกได้ ถ้าฝ่ายชายบวชได้ก็ยิ่งดี แต่ลูกก็ไม่ยอมตัดใจจากทางนั้นซะที คบกันเพื่อหวังว่าอนาคตจะได้อยู่ด้วยกัน อ้างว่าจะสร้างบารมีด้วยกัน
แต่แบบนี้กลับทำให้พ่อแม่เสียใจมาก ถึงแม้ลูกจะมาวัดประจำ ทำบุญไม่ขาด แต่เรื่องนี้ยังไงคนเป็นพ่อแม่ก็รับไม่ได้ ทำไมลูกไม่ยอมเลย ทำบุญกับพ่อแม่ดีกว่าทำบุญไปวัดประจำเสียอีก
ตอนนี้ก็อายุ 29 แล้ว จบมามีงานทำผมไม่ขอให้ตอบแทนอะไรเลย ไม่เลี้ยงดู ก็ไม่ว่า จะพูดกันไม่ดีก็ไม่ว่าขอให้เลิกคบกับคนนี้ก็พอ ลูกก็ให้คำตอบไม่ได้
ไม่รู้จะแก้ไขปัญหายังไง ตอนนี้ก็ยื่นข้อเสนอให้เลือก 2 ทางคือ พ่อแม่ หรือ แฟน อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้จบๆ ตัดขาดกันไปเลยจะดีกว่าคาราคาซังแบบนี้
#2
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 03:45 PM
พ่อกับแม่ยังไงก็ห่วงลูกทั้งชาติแหละ ไม่ว่าลูกจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน จะเอาเรื่องความเป็นห่วงมาบังคับให้ลูกทำตามที่ตัวเองต้องการนี่ไม่ดีเลย พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด แต่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตนะคะ และที่ว่าให้ลูกเลิกกับคนรักของเขาแล้วไม่ต้องตอบแทนพระคุณ หรือไม่ต้องพูดกับพ่อแม่เลยก็ได้ อันนี้เนี่ยผิดเลย กลายเป็นพ่อแม่ไปสอนให้ลูกไม่ตอบแทนพระคุณ ไม่ดูแลพ่อแม่ ลูกก็จะขาดบุญเรื่องนี้ไป พอแก่ตัว หรือเกิดชาติหน้าก็จะไม่มีคนมาดูแลเขา น่าสงสารลูกออกค่ะ
ทั้งพ่อแม่ และลูก งานนี้เอาใจมาตั้งให้ถูกที่ก่อนทุกฝ่าย คือวางไว้ที่กลางกาย แล้วเอาหลัก เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มาใช้มากๆ พ่อแม่เปิดใจ ลูกเปิดใจ ความขัดอกขัดใจก็ไม่เกิด แล้วให้ลูกเค้าเลือกทางชีวิตดัวยปัญญาของเขาเอง หากลูกมีความสุขพ่อแม่ก็แสดงความยินดี หากลูกต้องประสบกับความทุกข์ในสิ่งที่เค้าตัดสินใจ พ่อแม่ก็ต้องให้กำลังใจ ไม่ซ้ำเติม
อายุ การศึกษา ฐานะในสังคม ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าคนคนนั้นจะทำให้ลูกมีความสุขในชีวิตคู่หรือไม่ คนมีการศึกษาดี ฐานะดี ทำครอบครัวล่มเยอะแยะไป เช่นเดียวกับคนที่มีฐานะยากจน และ ไม่มีการศึกษา มันไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้วค่ะ
ยังไงก็ขอให้ครอบครัวของคุณโชคดีมีความสุขกันทุกฝ่าย แต่ขอร้องเถอะค่ะ เลิกให้ลูกเลือกระหว่างพ่อแม่กับคนรัก ไม่มีลูกคนไหนอยากจะเลือกไม่เอาพ่อแม่หรอกค่ะ เวลาคุณพ่อคุณแม่ทำบุญ นั่งสมาธิ ก็อธิษฐานให้บุญไปช่วยคุ้มครองลูกเรา ให้ลูกมีแต่ความสุขความเจริญนะคะ บุญจะไปสนับสนุนเขาเองค่ะ
#3
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 03:52 PM
ปล่อยเขาตัดสินใจเอง
เขาอยากจะแต่งงานก็ปล่อย เป็นวิบากกรรมของเขา
แต่ถ้าคุณไปทำให้เขาอึดอัด ให้ต้องเลือกระหว่างคุณกับแฟน คุณก็จะต้องไปเจอสถานการณ์แบบเขาบ้าง
ลองอ่านนี่ดูละกัน
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3098
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3099
ปล. หนูได้ยินมาว่าพ่อแม่เปรียบเสมือนพระพรหมในบ้านนะคะ
ไม่ใช่พระอรหันต์ค่ะ เพราะไม่ได้หมดกิเลส แต่มีแต่ความผูกพันธ์ทางรู้สึกกับลูกเลยเปรีบยเอา
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#4
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 04:11 PM
ถึงแม้ว่าเราจะสามารถให้ชีวิตเขามาได้ แต่ในเรื่องของจิตใจแล้วเราไม่สามารถบังคับใจเขาได้นะครับ คนทุกคนเกิดมาเพื่อรับผลของการกระทำทั้งดีและไม่ดีที่เคยทำกันมา ดังนั้นการที่ลูกสาวเราจะไปเลือกคู่ครองที่ดีหรือไม่ดีนั้น ก็ถือเป็นการรับกรรมของเขาเองครับ สิ่งที่พ่อแม่จะพึงทำได้ก็มีเพียงปรารถนาดีให้ในสิ่งที่ดีกับบุตร และคอยเป็นกำลังใจให้เมื่อลูกทำผิดพลาดไปแล้วครับ ดังนั้นปล่อยเขาไปเถอะครับ บุคคลจะรู้โทษของกามว่าร้อนแรงเพียงใดก็ต้องปล่อยให้เขาได้สัมผัสและรู้โทษของกามนั้นด้วยตนเองครับ
อุปมาเหมือนคนกินพริก พ่อแม่บอกว่าการครองเรือนเป็นทุกข์นะลูกพ่อแม่เคยผ่านการครองเรือนมาแล้วไม่สนุกเลยมันทุกข์ มันเผ็ดร้อน สุขน้อยทุกข์มาก ห่วงมาก หวงมาก ครั้นจะให้ลูกเชื่อว่าพริกมันเผ็ด ลูกก็คงไม่เชื่อสนิทใจนักหรอกครับจนกว่าเขาจะได้ลองกินพริกด้วยตนเองครับนั่นแหละครับถึงจะทราบว่าพริกมันเผ็ดจริงครับ
พรหมวิหารธรรมของพ่อแม่คือ เมื่อพ่อแม่เมตตาปรารถนาดีเกื้อกูลบุตรให้ได้ดีแล้ว และยินดีที่เห็นลูกมีความสุขแล้ว ถ้าลูกเลือกที่จะจมในกองทุกข์แล้วสิ่งที่พ่อแม่จะพึงทำได้คือ วางอุเบกขาครับ แล้วตอบบุตรที่รักว่า พ่อแม่ขอโทษนะลูก คือ พ่อแม่ขอโทษที่ช่วยอะไรลูกไม่ได้ พ่อแม่พยายามแล้ว
อุเบกขาไม่ใช่การทอดทิ้งนะครับ แต่จำเป็นต้องปล่อยเขาไปเพราะเราได้พยายามช่วยเหลือเขาเต็มที่แล้วครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 05:08 PM
"คุณลูก มาทำไม?"
ก็บอกว่า "นอนเล่น"
ถามว่า "นอนเล่น จะกลับหรือไม่กลับ?"
บอกว่า "กลับทำไม"
ถามว่า "ทำไมไม่กลับ"
บอกว่า "ไอ้นั่นมันจะตาย ปล่อยมัน"
บอก "มันตายเมื่อไร มันเลิกแล้ว"
บอก "เลิกก็ช่างมัน"
บอก "ไม่ได้ต้องรีบไป"
บอก "ไม่ไปเสียอย่างจะว่าอย่างไร"
...........................................................................................
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#6
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 05:43 PM
ปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่าง คน....(พ่อ..แม่...ลูก...เพื่อนร่วมงาน..จิปาถะ) เกิดได้ทั้งในบ้าน ที่ทำงาน โรงเรียน ชุมชน สังคม และประเทศ แต่ถ้าเราจะเจาะลงไปให้เจอหัวใจของปัญหาที่แท้จริงแล้ว ปัญหาเกิดขึ้นเพราะ ความอยาก....ตัณหา และ วิภวตัณหา ครับ....พ่ออยากให้ลูกเป็นอย่างนั้น แม่อยากให้ลูกเป็นอยากนี้ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ...มากมาย..เพราะ..ตัณหา ความทะยานอยาก 2 ตัวนี่แหละ ครับ
................................................................................................
ตรวจตราดูเถอะครับ มีหลายต่อหลายครั้งในชีวิตคนเรา ที่เกิดความขัดแย้งกันขึ้น และในกระบวนความขัดแย้งนั้น ส่วนมากเกิดจาก ความคิดที่แตกต่างกัน และศรัทธา ที่ไม่เสมอกัน แม้แต่คนที่เข้าวัดมาเพื่อแสวงบุญ สร้างบารมีก็เช่นกันครับ
กรณณี....พ่อ แม่ บังคับลูกให้เดินตามความต้องการของตนเอง โดยไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของลูก ไม่เปิดโอกาศให้เขาได้ตัดสินใจในส่วนของการเลือกแนวทางที่เป็นบรรทัดฐานของการสร้างชีวิตด้วยตัวเขาเอง โฟกัสไปที่อำนาจแห่งความเป็น บุพการี...อันนี้อันตรายสุดๆๆ ครับ..ขอย้ำ อันตรายต่อทุกๆฝ่ายครับ...
..............................................................................................
หลายคนอาจเคยรู้สึกว่า ความขัดแย้งมักเกิดขึ้น เพราะฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง (เพศที่แตกต่าง) ฉันเป็นผู้ใหญ่ เธอเป็นเด็ก (วัยที่แตกต่าง) ฉันเป็นนาย เธอเป็นลูกน้อง (สถานภาพที่แตกต่าง) ฯลฯ แต่ทั้งหมดล้วนมาจากรากฐานเดียวกันคือ คิดต่าง และเชื่อในฐานอำนาจที่ต่างกัน พอแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน และไม่มีการรอมชอม แถมแต่ละคนก็มีอำนาจใน เพศ วัย และตำแหน่งหน้าที่ทางสังคมต่างกัน ทั้งยังได้ชักนำเอาอำนาจนั้นมาสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองคิดให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่า ก็เป็นฝ่ายเจ็บปวด เพราะต้องทำตามความคิด ความเชื่อของอีกคน ซึ่งใหญ่โตกว่า ลูกต้องทำตามพ่อแม่ ภรรยาต้องทำตามสามี ลูกน้องต้องเชื่อฟังเจ้านาย ฯลฯ เลยพาลโทษว่า เป็นปัญหาระหว่างกัน เต็มไปด้วยความขัดแย้ง...มั่วไปหมด ครับ
..............................................................................................
ถ้าเราจะว่ากันเฉพาะปัญหาระหว่างคน...ก็ต้องไปดูว่า อะไรทำให้แต่ละคน....คิดไม่เหมือนกัน แสดงออกต่างกัน
พ่อ และ ลูก มีปัญหากัน พ่อ แม่ บังคับให้ลูกเลิกกับแฟน เพราะเขาจน เขาไม่ดีอย่างโน้น อย่างนี้สารพัดที่จะจับจุด ด้อย โดยไม่สนใจจุดเด่น โอกาศไม่เปิดให้ ทางข้างหน้าเต็มไปด้วยอุปสรรค เป็นการมองประเด็นที่คับแคบมากครับ.. แต่สุดท้ายช้าสุดคือ ก่อนสิ้นลมหายใจต้องรอมชอมกันได้ ไม่งันไปอบาย ครับ จิตไม่ผ่องใส...... บางเรื่อง แม่ต้องเชื่อลูก เพราะเราอยู่ในยุคสมัยของเขา แต่บางเรื่อง ลูกก็ต้องเชื่อแม่ เพราะแม่ผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อน แต่นับเป็นโชค ที่ส่วนใหญ่เราคือคนวัดพระธรรมกายย่อมเชื่อในสิ่งที่คล้ายๆ กัน หรือถึงไม่เชื่อ ก็ยอมฟังกัน ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการยอมรับฟังความรู้สึกนึกคิดของอีกคน ถึงแม้เขาจะคิดไม่เหมือนกับเราก็ตาม
.................................................................................................
ความขัดแย้งที่เจ้าของกระทู้มีนั้น..ผมมีข้อแนะนำด้วยความปราถนาดีต่อกันว่า.. เราถูกหล่อหลอมมาในบริบททางสังคม และการเรียนรู้ที่ต่างกันครับ ดูง่ายๆ เรื่องตำราเรียน เปลี่ยนไปทุกปีๆ ดังนี้ ฐานความรู้หรือประสบการณ์ในการเรียนรู้ ก็ย่อมต่างกัน คนยุคหนึ่ง หนังสือถือเป็นขุมทรัพย์ทางความรู้ ความคิด คนอีกยุคหนึ่ง อินเตอร์เน็ตมาแทนที่ คนยุคหนึ่ง แต่งตัวมิดชิดเรียบร้อย อีกยุคหนึ่ง พร้อมจะเปิดตรงนั้น ปิดตรงนี้ เป็นไปตามสมัยนิยม เจ้านายโตมาในระบบการทำงานแบบหนึ่ง ลูกน้องรับรู้ และเรียนรู้การทำงานในอีกแบบหนึ่ง ทำอย่างไรถึงจะหาจุดร่วมที่ตรงกันได้ มันก็ต้องไปปรับที่ วิธีคิด ของแต่ละคนอยู่ดี..พ่อก็ต้องปรับวิธีคิดกับลูก ลูกก็ต้องปรับวิธีคิด ครับ...
.......................................................................................
วิธีคิด เป็นเรื่องที่สำคัญ ที่มันสำคัญมากๆ ก็เพราะ...สิ่งที่เราคิด จะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราทำ เช่น ถ้าเราคิดว่า ลูกน้องรู้ไม่เท่าเรา เราก็จะคอยกำกับความคิด และวิธีทำของลูกน้องอยู่ร่ำไป แม่บังคับลูก จุกจิกจู้จี้ สามีกับภรรยาถกเถียงกัน ชุลมุนวุ่นวายไปหมด ถ้าเรายอมรับได้ว่า แต่ละคนมีสิทธิ์จะคิดต่างกัน และแสดงออกต่างกันได้ความเคารพนับถือในกันและกันจะเกิดขึ้น ความรู้สึกไว้วางใจจะเกิดขึ้น ท่าทีข่มขู่คุกคาม จู้จี้ขี้บ่น หรือแม้แต่การใช้อำนาจต่อกัน ก็จะไม่มีครับ มีแต่ความสุขครับ..
.........................................................................................
คนที่เชื่อในอำนาจของตัวเองเช่น พ่อ มีอำนาจมากกว่าลูก แม่มีอำนาจมากกว่าพ่อ หรือ ไม่ว่าจะเกิดจาก เพศ วัย สถานภาพทางสังคม ตำแหน่งหน้าที่ภายในสำนักงาน ปริญญาความรู้ หรือ เงิน..ครับ เงิน รวย ---จน...อะไรก็ตาม มักจะมีความแข็งกร้าวในบุคลิกภาพของตัวเอง ความแข็งกร้าวนี้ บางคนแสดงออกด้วยการบ่น ดุ ว่า ขู่ บางคนแสดงออกด้วยการสั่งๆๆ บางคนแสดงออกด้วยการนิ่งเฉย หรือที่เรียกกันว่า ดื้อเงียบ แม้ภายนอก เขาสามารถมีความน่ารักได้ เช่น คุยสนุก มนุษย์สัมพันธ์ดี มีเสน่ห์ แต่หากถึงเวลาที่จะต้องตัดสินอะไรเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจังแล้วละก็ ต้องเป็นไปตามความคิดของเขาเท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่า เขาแก่กว่า รู้มากกว่า ตำแหน่งสูงกว่า มีสิทธิ์ตัดสินใจ ฯลฯ พูดง่ายๆ ว่า เขาใช้อำนาจที่เขามี..ก็จะอยู่ในกองทุกข์ ครับ..........
.................................................................................................
คุณเป็นพ่อต้อง เชื่อในความแตกต่างของลูกๆๆแต่ละบุคคล และเคารพในความแตกต่างนั้น เขาจะเปิดโอกาสให้คนอื่นแสดงบทบาทที่สำคัญบ้าง ไม่ใช่รวบอำนาจมาแสดงบทบาทที่สำคัญนั้นเพียงคนเดียว เช่น บางครั้งลูกต้องเป็นคนตัดสินใจนะ, หรือคุณไปทำตามวิธีการของคุณได้เลย ผมไว้ใจคุณนะ ถ้าคุณแน่ใจว่า คุณจะทำให้วัตถุประสงค์ของเราบรรลุตามที่กำหนดไว้ได้ คุณลงมือเลย ต้องการให้ผมสนับสนุนหรือช่วยอะไร ถ้าผมทำได้ผมจะรีบทำทันที แหม...ถ้าเป็นอย่างนี้ ครอบครัวของคุณเจ้าของกระทู้ ก็ไม่มีปัญหา ครับ
.............................................................................................
ในเวลานี้ ความเห็นที่แตกต่างระหว่า พ่อ แม่ ลูก เป็นเพียงการติดยึดเล็กๆ บนฐานการคิดที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง กับอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นผลมาจากวัยก็คือ ความอยาก ครับ อยากอย่างโน้น อย่างนี้ ครับ........................................
คนอายุน้อยๆ ย่อมพร้อมที่จะเอะอะโวยวาย แสดงความโกรธ ความไม่พอใจ พร้อมจะถกเถียงในสิ่งที่คิดไม่ตรงกัน หรือน้อยใจปึงปังจากไป ไม่พูดจากันให้จบ หรือเกิดบทสรุปขึ้น ใครเจอท่าทีแบบนี้ บางทีก็เซ็งเหมือนกัน จริงหรือเปล่าครับ.......
คนเป็นพ่อ และ แม่ต้อง.--มีเมตตาในใจ มีท่าทีที่สุขุม เยือกเย็น แสดงออกให้เขารู้ว่า เราพร้อมจะรับฟังเขาได้ บอกเขาว่า ใจเย็นๆ แล้วลองอธิบายมาซิ อย่างนี้ก็เข้าสูตร ใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว เป็นสูตรสำหรับคนเป็นผู้ใหญ่ ที่ไม่ได้หมายถึงมีอายุมาก แต่หมายถึงมีวุฒิภาวะแล้ว คือรู้จักเคลื่อนตามความรัก โลภ โกรธ หลง ชอบ ไม่ชอบ รับได้ รับไม่ได้ของตัวเอง ตามอารมณ์ของตัวเองทัน และข่มกลั้น หรือสลายอารมณ์ติดลบพวกนี้ไปได้ จนกระทั่งไม่เกิดโทสะ ไม่ถือสาหาความ ไม่เกิดอคติ หรือความรู้สึกต้าน แถมยังมีจิตเมตตา อยากจะช่วยให้บรรยากาศที่กำลังจะแย่นั้น สงบขึ้น นิ่งขึ้น และผันไปสู่บรรยากาศที่ดีกว่านั้นขึ้นไปได้อีกด้วยครับ....ท่านเจ้าของกระทู้ลองทำดูนะครับ....
............................................................................................
ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ พ่อ แม่ ผู้มีอำนาจจำนวนไม่น้อยก็ถนัดที่จะใช้อำนาจความเป็นผู้ใหญ่ กะเกณฑ์ให้อีกฝ่ายเชื่ออย่างที่ตนเชื่อ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ผ่านการยืนยันด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาของตนแล้ว ถึงแม้จะแม่นยำจริง แต่ก็ต้องรู้ว่า ความสามารถในการทำนายผลลงเอยของเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ตาม ระหว่าง คนในครอบครัว ในวัด ในสังคม ในโลกใบน้อยๆ ใบนี้ นั้น มีไม่เท่ากัน ประสบการณ์อันน้อยนิดในชีวิตของเขา ความเยือกเย็นสุขุมที่มีจำกัด บางทีทำให้เขาไม่สามารถกำหนด หรือทำนายผลของความคิด ความเชื่อ หรือการกระทำของเขาได้ไม่แม่นยำเท่าใด หรอกครับ...
ดังนั้น พ่อ-ลูก-แม่-เจ้านาย-ลูกน้อย 9 ล 9 บอกเล่าถึงเหตุและผลให้เขาฟังอย่างใจเย็น หากคำนวณว่า ผลที่เกิดขึ้นไม่เสียหายร้ายแรงเท่าไหร่ บางทีก็ต้องปล่อยให้เขาทำด้วยซ้ำไป เพื่อซื้อบทเรียนดีๆ ให้แก่เขา ต้องเปิดโอกาสให้เขาเผชิญชีวิตด้วยตัวเขาเองบ้าง เขาจะได้ค่อยๆ ซึมซับและเรียนรู้ว่า ชีวิตสอนอะไรแก่เขาบ้าง หลังจากที่เขาต้องเรียนรู้ผ่านตำรา และคำสอนของผู้ใหญ่ แม่ พ่อ ครูบาอาจารย์ มาแล้วเกือบครึ่งชีวิต..29 ปี
สรุปในท้ายนี้ว่า จะเป็นนายกับลูกน้อง พ่อแม่กับลูก หรือสามีกับภรรยา ก็ตาม อย่าไปพะวงกับความคิด หรือวัยหรือศรัทธา ที่ต่างกัน เช่นอยากรวยๆ ทำบุญเยอะๆ นี่ก็ทุกข์ ทางมาแห่งบุญบุญมีตั้ง 10 อย่าง พ่อ แม่ ลูก ก็อย่านำมันมาเป็นเงื่อนไขของปัญหา ความคิด หรือวัยที่ต่างกันย่อมทำให้คนมีระบบความคิด ความเชื่อ รสนิยม และท่าทีที่แตกต่างกัน แต่ใจที่เปิดกว้าง ยอมรับความต่าง และให้โอกาสอีกฝ่าย โดยไม่มีเงื่อนไขของความต่างในทุกมิติมาเกี่ยวข้อง จะทำให้ช่องว่างระหว่างวัยหมดไปได้ และทุกๆ ช่องว่างก็ปิดสนิท เหลือแต่ความแนบแน่นของใจกับใจ เหลือแต่ความเชื่อมั่นและนับถือ ในท่าทีแห่งเมตตาจิตของกันและกัน ครับ
............................................................
พ่อ แม่ หรือ เจ้าของกระทู้ จงแสดงออกแบบใดก็ได้ครับที่สื่อได้ถึงความมีเมตตาจิตต่อกัน แสดงออกไปตามสิ่งที่นึกออกนั้นอย่างมีความสุขที่สุด ครับ.....
..........................................................................................
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#7
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 09:43 PM
แต่ขาเลือกทางเดินของตัวเองนะคะ เพราะว่ายังไงก็ตอบแทนบุญคุณคะ
คนที่คบก็ดีไม่มีอะไรเสียหายที่บ้านเค้ารู้ แต่อยากสร้างบารมี ยังไม่อยากแต่งงาน
#8
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 10:00 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#9
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 10:03 PM
ลูกไม่ได้เจอแม่หลายปี ประกาศหาแม่ตัวเองผ่านที่นี่
แม่ ขอบคุณที่ทำให้เจอลูกตัวเอง และบอกว่าคิดถึงลูกเพียงไหนและอยากให้ลูกได้เจอหนทางอันประเสริฐด้วยกุศโลบาย ผ่านที่นี่
ลูก โดนพ่อแม่บังคับให้เลิกกับแฟน ขอความช่วยเหลือเพื่อนๆ สหธรรมิก ผ่านที่นี่
พ่อแม่ อยากให้ลูกประพฤติพรหมจรรย์ ขอความเห็น ผ่านที่นี่
หลาน โดนป้าบังคับไม่ให้บวช ร้องทุกข์ทำไงดี ผ่านที่นี่
เพื่อนร่วมงาน ไม่เข้าใจเรื่องวัด ร้องทุกข์ผ่านที่นี่
ขอให้ทุกท่าน ได้พบความสุขที่แท้จริง ด้วยการนึกถึง 072 และเอาใจไปตั้งไว้ที่นั่นใน 1 นาที ทุกๆ 1 ชม. แล้วปัญหาทั้งหลาย ก็จะคลี่คลายไปด้วยตัวของมันเองค่ะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#10
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 10:07 PM
ขอให้แก้ปัญหาได้ไวๆค่ะ
ขอถามนิดนึงค่ะ
"แล้วถ้าหาก ลูก เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองแล้ว การที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ (ตามที่กล่าวไว้คือ พ่อแม่เห็นว่าลูกนั้นอกตัญญู ไม่ตอบแทนคุณ) อย่างนี้ลูกจะมีวิบากกรรมมากน้อยอย่างไรค่ะ"
#11
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 11:43 PM
ตอบ เป็นกรรมเก่าของพ่อแม่ และเป็นกรรมใหม่ของลูกครับ กล่าวคือ ภพชาติต่อไปลูกเกิดใหม่เมื่อมีครอบครัวก็จะได้ลูกที่ดื้อกระทำกรรมเฉกเช่นที่ตนกระทำมาครับ แต่ถ้ากรรมส่งผลเร็วก็อาจจะเห็นผลได้ในชาตินี้ครับ เช่น มีลูกก็จะได้ลูกดื้อ แม่บอกอย่ากลับบ้านดึกนะ ลูกสาวก็ตอบว่า จ้างั้นหนูกลับเช้าเลยนะจ้ะแม่จ๋า เป็นต้นครับ ทั้งนี้เพราะบุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้นครับ
#12 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 11:58 PM
#13
โพสต์เมื่อ 04 March 2006 - 11:59 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#14
โพสต์เมื่อ 05 March 2006 - 12:13 AM
บางครอบครัวอยากจะให้ลูกแต่งงานจนเป็นทุกข์ค่ะ อย่างคนที่ดิฉันรู้จัก ลูกมาปรับทุกข์ว่าแม่อยากให้แต่งงานเร็วๆอยากให้รีบมีลูก ทั้งๆที่ตัวเค้าเองไม่อยากเลย แม่มาบังคับจนเค้าเป็นทุกข์
บางครอบครัวก็อาจเป็นทุกข์เพราะไม่อยากให้ลูกแต่งงาน
ก็แล้วแต่ว่าคนจะเลือกเป็นทุกข์เพราะเรื่องอะไรน่ะค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 05 March 2006 - 02:08 AM
ตอบ คุณฟ้าร้างครับ การที่พ่อแม่ฝืนใจลูกจะเป็นกรรมเก่าของลูก แต่เป็นกรรมใหม่ของพ่อแม่ ส่งผลให้พ่อแม่ต่อไปในภพชาติหน้า ต้องถูกบิดามารดาฝืนใจเช่นกันครับ
เหมือนอย่างที่คุณแจ่มได้กล่าวมาแล้วแหละครับ เหตุของกรรมจะวนเวียนซ้ำซาก อุปมาก็เหมือนล้อเกวียนครับ
****เรื่องของกรรมน่ากลัวมากครับอย่าประมาทกันเลยครับ ผมมีตัวอย่างมาเล่าให้ฟังนอกเรื่องครับ***
ในประวัติของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ท่านเคยเล่าว่า เมื่อท่านระลึกชาติในขณะทำสมาธินั้นท่านพบว่าตัวท่านเกิดเป็นลูกสุนัขมาหลายชาติทีเดียว และท่านก็พบอีกว่า ขณะจิตตอนที่ท่านเป็นลูกสุนัขนั้น จิตท่านยินดีในภพชาติที่เกิดเป็นลูกสุนัขมาก นั่นคือ ความยินดีในการเกิดเป็นสาเหตุให้ต้องเกิดเป็นลูกสุนัขเพราะอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่งชาติหนึ่งขณะเป็นลูกสุนัขท่านเกิดเบื่อหน่ายในความเป็นลูกสุนัข ทำให้ท่านได้มาเกิดเป็นคนครับ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ชีวิตในวัฏฏะมันไม่หมูเลยครับ
ถ้าเราชอบจับบุตรคลุมถุงชน หรือขายลูกสาวแลกเงิน ถ้าภพใดตายไปเกิดเป็นคนก็ต้องเจอะเหตการณ์เดียวกัน แต่ถ้าเกิดเป็นสัตว์ ก็จะต้องเสียตัวเพราะเจ้าของนำสัตว์เพศตรงข้ามมาผสมพันธุ์ด้วย แม้ไม่เต็มใจก็โดนครับ และก็อาจถูกจับขายแลกเงินได้เช่นเดียวกับกรรมที่เคยกระทำมาครับ
เช่นเดียวกัน ถ้าเราชอบพรากคู่ครองคนรักหรือของรักของคนอื่น ในชาติต่อไปเราก็จะไม่สมหวังในความรักแม้ได้ของรักก็มักจะถูกแย่งหรือเหตุบางอย่างบังคับเช่น รักแมวหมาตัวนี้มาก ถ้าไม่รักมันก็ยังอยู่ดี พอรักแล้วแมวหมากลับหายออกจากบ้านซะฉิบ หรือ มีบ้านช่องอันเป็นที่รัก แต่ต้องยอมให้ราชการหรือผู้มีอำนาจสูงกว่าบังคับให้เรื้อเพื่อเวนคืนที่ดินทำทางด่วนเป็นต้น ก็เนื่องมาจากกรรมพรากคนรักของรักทั้งสิ้นครับ
#16
โพสต์เมื่อ 05 March 2006 - 05:04 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#17
โพสต์เมื่อ 05 March 2006 - 08:20 PM
#18
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 10:27 AM
#19
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 06:48 PM
#20
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 08:34 PM
ไม่นะคะ
ถ้าลูกทำดีแล้ว ถูกแล้ว แต่พ่อแม่ไปคิดเสียใจ ไม่พอใจเอาเอง ก็ไม่ถือว่าลูกผิดค่ะ
บางครั้ง วิบากกรรมก็ทำให้เราคิดอะไรนำไปก่อน จนผังมันมาแทรกเอา คิดอะไรไปเรื่อย
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#21
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 09:31 PM
ความคิด การพูด และการกระทำใดที่เป็นไปเพื่อน้อมนำไปตามอำนาจกิเลส การคิด พูด กระทำนั้นไม่ชื่อว่าการทำดี เมื่อไม่ทำดีจะหวังให้ผลกรรมดีบังเกิดย่อมไม่ใช่ฐานะ
ความคิด การพูด และการกระทำใดที่เป็นไปเพื่อกำจัดอำนาจกิเลส ตัณหา การคิด พูด กระทำนั้นชื่อว่าการทำดี เมื่อทำดีย่อมได้รับผลกรรมที่ดี ข้อนี้เป็นฐานะที่มีได้ครับ
ชายหญิงมีความปรารถนาจะอยู่กินฉันสามีภรรยาด้วยอำนาจของกิเลสกามบังคับจิตใจ ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส ตัณหาเข้าบังคับ เมื่อจิตยินดีในการเสพกาม จิตย่อมเข้าข้างตนเองว่าสิ่งที่เราทำนี้ไม่ผิด เพราะไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดเพราะเราไม่ผิดศีล ไม่ผิดเพราะเราไม่ได้แย่งคู่ครองคนรักหรือลูกเมียหรือผัวใครเขา แต่ผิดเพราะเราปล่อยจิตให้ยินดีในเบญจกามคุณ ผิดที่เราหลงยินดีในภพชาติ ผิดที่เราหลงยินดีในการครองเรือนคิดว่าการครองเรือนนั้นไม่เป็นทุกข์ ผิดที่มองไม่เห็นทุกข์โทษภัยของกิเลสแม้เพียงน้อยนิด ผิดที่มองไม่เห็นโทษภัยของสังขารว่าเป็นเหมือนของเน่า เป็นเหมือนส้วมเคลื่อนที่ เป็นเหมือนถุงแพรห่ออุจจาระ เป็นต้น ดังนั้นบุคคลผู้ประมาทย่อมมองไม่เห็นภัยในวัฎฎะสงสาร แม้ความผิดเพียงน้อยนิดก็ไม่อาจจะมองเห็นได้จึงชื่อว่ายังไม่พ้นบ่วงมารดังนี้แล
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#22
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 06:05 PM
#23
โพสต์เมื่อ 29 June 2007 - 12:10 PM
#24
โพสต์เมื่อ 23 January 2009 - 01:29 PM
เด็กที่เกิดมาใหม่ๆใสซื่อบริสุทธิ แต่ว่าพอโตขึ้นต้องกลายเป็นคน อกตัญญู เพราะว่าเมื่อก่อนพ่อแม่เมื่อก่อนเป็นคน อกตัญญู
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กที่เกิดมาต้องรับกรรม เพราะพ่อแม่ทำเอาไว้เมื่อก่อน เด็กที่เกิดมามีความผิดอะไรล่ะจึงต้องกลายมา
เป็นคน อกตัญญู พ่อแม่ซิควรจะได้รับผลกรรมที่ตัวเองทำเอาไว้ อาจจะได้รับผมกรรมในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกต้องมารับกรรมแทน แต่ผมก็เคยได้ยินนะว่า ลูกมันชั่ว เพราะพ่อแม่มันชั่วมาก่อน แต่ในใจลึกๆของผม ผมว่ามันไม่ยุติธรรมเลย เช่นผมต้องเป็นคนชั่ว เพราะพ่อแม่ผมเป็นคนชั่วมากก่อน อย่างนั้นหรือ???