แค่คิดในใจ แต่ทำไม่ได้ ผิดมากไหม
#1
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 01:14 PM
#2
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 01:59 PM
แต่ถ้าหากแฟนคุณจะเสียใจ ก็เสียใจนิดเดียวและแป๊บเดียวครับ หากเทียบกับบุญบารมีอันยิ่งใหญ่ ของการออกบวช พระเดชพระคุณครูไม่ใหญ่ เคยกล่าวว่า ความคิดที่จะออกบวช ยิ่งใหญ่กว่าความคิดที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เสียอีกครับ
#3
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 04:27 PM
"ขนาดเราเคยคิดว่าเรารักคนนี้มากที่สุดแล้วนะ ยังเลิกกันได้
แล้วเราจะมาเสียเวลาครองเรือนอยู่ทำไม
ออกบวช ประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นเพศอันสูงส่งบริสุทธิ์ดีเสียกว่าอีก
ความสุขชั่วครั้งชั่วคราวแบบนี้ เราจะหาเมื่อไหร่ก็ได้"
แต่ก็แล้วแต่พี่เถอะค่ะว่าจะคิดยังไง เพราะหนูก็ไม่ได้ผ่านโลกอะไรมามากเท่าตัวพี่เองหรอก
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#4 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 06:35 PM
จะได้รับคำตอบเอง...ไม่ได้หนับหนุนนะ....แต่ต่างคน...เพิ่มคำว่ารักมาที่ตัวเองแค่นั้นแหละ
อย่าคิดมาก
#5
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 07:33 PM
ได้คุยได้รู้จักเลยกลายเป็นความรักขึ้นมา แต่ขอบอกว่ารักจริงๆ
แล้วมีโครงการแต่งงานแล้ว ก็ยังมาทำบุญที่วัดได้นะ
มาช่วยงานที่วัดได้อยู่ ถึงจะไม่เต็มที่แต่ใจเราตั้งใจทำที่สุด
#6
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 07:35 PM
และอธิษฐานจิตบ่อยๆนะคะ ว่าขอให้ได้สร้างบารมียิ่งๆขึ้นไป
อย่าให้มีสิ่งใดมาขัดขวางหนทางในการสร้างบารมีนี้เลย
การอยู่เป็นโสดย่อมมีโอกาสได้สร้างบุญบารมีอย่างเต็มกำลังค่ะ
อย่าเปลี่ยนผังชีวิตของตัวเองเลย ยังไม่สายที่จะตัดสินใจ
โชคดี (มีบุญมาก)ที่ได้เกิดมาเป็นชาย ได้เพศบริสุทธิ์
อย่ารังแกฝ่ายหญิงเลยนะ
ถ้าเธอไม่ได้รักษาความโสดในชาตินี้
การจะได้เกิดมาเป็นชายในชาติหน้าหรือชาติต่อๆไป ก็ยากขึ้นค่ะ
ถ้ารักเธอจริง ก็ให้รักในอนาคต(ชาติต่อๆไป)ของเธอด้วยเถิด
อย่าเอาข้ออ้างว่ารัก...มารังแกเธอเลยค่ะ
#7
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 08:27 PM
แต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะโลกมนุษย์ถือเป็นกามภพ แต่ว่า ถ้าแต่งงานแล้วก็ต้องยอมรับสภาพว่า อาจจะสร้างบารมีได้ไม่เต็มที่เท่าคนโสด เพราะไหนจะต้องรับผิดชอบเรื่องคนข้างกาย ถ้ามีลูกก็ต้องเลี้ยงลูกอีก ตอนแรกคนเรามีแค่ขันธ์ 5 ก็หนักเป็นภาระอยู่แล้ว แต่งงานก็ได้มาอีก 5 รวมเป็น 10 พอมีลูกหนึ่งคน ก็เป็น 15 มีลูกสองคนก็เป็น 20
คุณยายเคยบอกว่า ถ้าไม่แต่งงาน มีเงิน 100 บาท ทำบุญได้เยอะ เพราะเราเลี้ยงแค่ตัวเราคนเดียว แต่พอแต่งงาน ก็ทำบุญได้น้อยลง พอมีลูกก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ดี ไม่ดี เงินไม่พอ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ดังนั้นจึงบอกได้ว่า คนครองเรือน สร้างบารมีได้ไม่เต็มที่เท่าคนโสด
ครั้นจะถือศีล นั่งสมาธิ อยู่คนเดียวไม่ต้องหงุดหงิด ไม่ต้องทะเลาะกับใคร ใจก็นิ่งๆ รักษาศีลกับทำสมาธิง่าย แต่พอแต่งงานแล้วก็อาจจะมีความสุขแบบคนครองเรือนบ้าง มีลูกให้อิ่มเอมใจบ้าง แต่ก็อาจจะมีผิดใจ หงุดหงิดกับคู่ชีวิต ถ้ามีลูกแล้วไม่ได้ดั่งใจก็หงุดหงิด เพราะโดยปกติมนุษย์มีความรู้สึกเจ้าเข้าเจ้าของในตัวติดมาอยู่แล้ว
ดีที่สุดคือ ให้ฝั่งชายรับบาตร ให้ฝั่งหญิงตักบาตร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องพร้อมใจกันทั้งสองฝ่ายน่ะครับ อย่างนี้ถึงจะสร้างบารมีได้รุดหน้าทั้งคู่ ให้ผู้ชายออกบวชเป็นทหารแนวหน้าของกองทัพธรรม ให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายสนับสนุนโดยเป็นฝ่ายเสบียงไปครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#8
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 08:58 PM
๑. ทำอย่างไรเราจึงจะกลับไปยังบ้านเดิมของเราได้ (ไม่ใช่แปลว่า เข้าวัดพระธรรมกายแล้วจะได้กลับดุสิตบุรีครบทุกคนนะครับ เรื่องนี้ต้องขอย้ำในที่นี้บ่อยๆ เลยก็แล้วกัน เพราะสิ่งที่ปรารถนาทุกอย่างจะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ล้วนอยู่ที่การประกอบเหตุเป็นสำคัญว่าถึงจุดถึงขีดถึงคราวที่จะยังให้ความปรารถนานั้นๆ สำเร็จด้วยหรือเปล่า?)
๒. เมื่อถึงวันที่เราต้องกลับบ้านจริงๆ แล้ว เราจะเอาอะไรกลับไปยังบ้านของเราบ้าง เพราะเรื่องราวอันเป็นที่สุดของธรรมธาตุทั้งปวงนั้นก็คือ "บุญและบาป" นั่นเอง มาถึงจุดนี้เราต้องถามกับตัวของเราเองและหมั่นตอกย้ำอยู่เสมอนะครับว่า เราจะเก็บเกี่ยวเอาบุญบารมีของเรากลับไปมากน้อยเพียงใด? เพศภาวะใดที่สามารถรองรับการสร้างบารมีได้มากที่สุดและเป็นเพศที่ประเสริฐสูงสุดในสังสารวัฏ?
ส่วนเรื่องของคำอธิษฐานที่ว่า ชาติหน้าขอให้ได้เกิดเป็นชายนั้น ผมก็ขอเพิ่มเติมว่า ให้ได้เกิดเป็นเพศชายที่เป็นเพศบริสุทธิ์สมบูรณ์ทั้งกายและใจ และขอให้ได้ตามติดสร้างบารมีกับมหาปูชนียาจารย์ไปได้ตลอดรอดฝั่งด้วยเพศภาวะอันประเสริฐสูงสุดนี้ได้อย่างสะอาด บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญฯ
#9
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 05:56 AM
ย่อมมีแสงอรุณขึ้นก่อน
เป็นบุพนิมิตฉันใด
ความเป็นกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ
เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้น
ของหนทางพระนิพพาน ฉันนั้น"
#10
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 11:11 AM
เจ้าของ Case เป็นสามี-ภรรยากัน ขอคำแนะนำครูไม่ใหญ่ ในการทำผังสร้างบารมี
ครูไม่ใหญ่ท่านได้เมตตาให้แนวทางเป็นกุศลอันสูงสุดของคู่สามี-ภรรยานั้น ว่า
1.ทางสามี ออกบวชอุทิศชีวิตแก่พระศาสนา เป็นปรมัตถบารมี
2.ทางภรรยา บริจาคสามีแก้ว ประหนึ่งบริจาคเลือดเนื้อ เป็นอุปบารมี แล้วตนถืออุโบสถศีล เพื่อให้ผังสำเร็จแน่น
ควรอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นกิจก่อนลาบวช
#11
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 04:42 PM
ดังเช่นเรื่องนี้ ถ้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ควรจะอยู่กันไปตลอดครับ อย่าเลิกรากลางคัน เพราะตัดสินใจไปแบบนี้แล้ว ทีนี้ถ้าจะบวชก็ต้องคุยกันให้เข้าใจครับ อย่าให้อีกฝ่ายติดค้างในใจ มิฉะนั้นเขาก็จะบอกคนอื่นไปว่า วัดพรากสามีเขาไป คนเข้าใจผิดเพียงหนึ่งคน เขาก็จะไปบอกให้คนอื่นเข้าใจผิดได้อีกเป็นสิบเป็นร้อยคนเลย แล้วมันก็จะกลายเป็นกระแสคาใจคนหมู่ใหญ่ในสังคมไม่สิ้นสุด
#12
โพสต์เมื่อ 26 March 2006 - 08:13 PM
แต่ทหารแถวหน้าต้องระวังข้าศึกบุกให้ดีด้วยนะค่ะ อิอิ..ระวังผิดพลาดเหมือนพี่ในอดีตชาตินะ
เลยต้องมาเกิดเป็นหญิงอยู่เนี่ยะ...
อดเลย อดได้บวชเลย สมน้ำหน้าตัวเราเองแท้ ๆ ...
พี่ก็ขอตอบแบบลูกทุ่งแล้วกัน
น้าน! เจ้าของกระทู้หาเรื่องแล้ว...ไม่ใช่เช่นนั่นจะมีสมาชิกเจ้าของผังต้องแต่งเพิ่มอีกคน อิอิ@^^@
ดีนะที่เลิกกันไปแล้ว...เค้าให้โอกาสเจ้าของกระทู้แล้วนะค่ะ
ได้เวลาได้โอกาสได้กลับไปคิดแล้วนะ...
คุณเท่านั่นที่ออกแบบชีวิตตัวเอง...วางผังชีวิตตัวเองได้จะเอายังไงกันแน่ ๆ ให้มันแน่ ๆ ลงไป..
จะเอาผังไหนติดตัวไปดีล่ะ...คิด ๆ
คิดเอาเองเถอะค่ะ^^
สำหรับหลาย ๆท่านที่พลาดไปแล้ว ก็ใช้ธรรมของการครองเรือนให้ดีที่สุดแล้วกันค่ะ
เลิกเพราะอะไรเลิกกันดี ๆ จบกันด้วยดี ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันหรอกค่ะ
#13
โพสต์เมื่อ 26 March 2006 - 10:19 PM
ถ้าเขาเห็นดีเห็นงามด้วยเขาก็จะได้บุญไปด้วยนะครับ
(ต้องตัดใจพูดให้ได้นะครับ)
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#14
โพสต์เมื่อ 27 March 2006 - 11:24 PM
ถ้าเธอไม่ได้รักษาความโสดในชาตินี้
การจะได้เกิดมาเป็นชายในชาติหน้าหรือชาติต่อๆไป ก็ยากขึ้นค่ะ
ถ้ารักเธอจริง ก็ให้รักในอนาคต(ชาติต่อๆ ไป)ของเธอด้วยเถิด
อย่าเอาข้ออ้างว่ารัก...มารังแกเธอเลยค่ะ
ในกรณีที่เป็นวิบากกรรมของบุคคลทั้งสองฝ่าย ซึ่งเกิดแต่การที่ได้เคยเกื้อกูลกันมาแต่ในอดีตชาติ และได้อธิษฐานจิตผูกเอาไว้ว่า เกิดภพชาติเบื้องหน้า ฉันใด ขอให้ได้ครองรักกันไปทุกชาติๆ ดังนี้ หากคำอธิษฐานจิตนั้นส่งผลให้เป็นไปตามปรารถนา โดยยังผลให้ต้องมาเป็นคู่ครองกันในภพชาติปัจจุบันแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการรังแกฝ่ายหญิงนะครับ และหากท่านมีความต้องการที่จะอยู่เป็นโสดแล้ว ก็สามารถทำได้ครับ แต่ต้องทำความตกลงและปรับความเข้าใจกันให้ดีเสียก่อนนะครับ จะได้ไม่เกิดปัญหาและไม่โดนเสียงตำหนิติฉินนินทาจากสังคมภายนอกตามมาในภายหลัง
ถ้าเขาเห็นดีเห็นงามด้วยเขาก็จะได้บุญไปด้วยนะครับ
(ต้องตัดใจพูดให้ได้นะครับ)
ขออนุโมทนากับความปรารถนาอันประเสริฐนี้ด้วยนะครับ สาธุ... สาธุ... สาธุ...
แต่พี่เองก็ขอเตือนน้องด้วยความจริงใจตรงไปตรงมาเช่นเดียวกันว่า "สัจจะบารมีทำได้คุณอนันต์ เสียสัจจะโทษมหันต์" นะครับ
#15
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 01:23 PM
#16 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 08:53 PM
ถ้าจะเลือกทางใด ก็จงทำหน้าที่ตรงนั้นให้ดีที่สุด รับผิดชอบให้ดีที่สุด