สร้างบารมีอย่างไรให้ได้ทุกภพทุกชาติ
#1
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 07:54 PM
ท่านทำอย่างไร จึงสามารถสร้างบารมีได้ข้ามภพข้ามชาติได้
เนื่องจากสังขารนี้ไม่เที่ยงต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย บางชาติอาจต้องเกิดเป็น สัตว์ บางชาติเป็นคน
แต่ท่านก็สามารถ สร้างบารมีได้ทั้งที่เกิดเป็นสัตว์ เช่น ช้าง นกกระจาบ วานร
บางชาติอาจจะพลัดตกนรกไปบ้างแต่ก็สามารถกลับมาสร้างบารมีได้อีก เช่น ตอนเป็นพระเตมีย์ ใบ้ ทรงระลึกได้
ว่าตกอยู่ในนรกอยู่นานถึง 80000 ปี
คุณธรรมอะไร ที่ทำให้พระโพธิสัตว์สามารถสร้างบารมีข้ามภพชาติได้ โดยไม่ลืมจุดประสงค์เดิมเมื่อเกิดใหม่
หรือเมื่อเกิดเป็นสัตว์ก็สามารถสร้างบารมีได้
#2
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 08:29 PM
ผมว่าในกรณีพระโพธิสัตว์ก็เช่นเดียวกัน ท่านมีจิตใจที่ตั้งมั่น อธิษฐานตอกย้ำซ้ำมาโดยตลอดทุกครั้งที่ทำบุญ เมื่อทำตอกย้ำซ้ำก็เป็นผัง ที่ติดตรึงเข้าไปในใจน่ะครับ และที่สำคัญพระโพธิสัตว์ท่านจะมีความเพียรมั่นอยู่ในกมลสันดานเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้น เวลาท่านทำอะไร ท่านทำจริง และเอาจริงไงครับ จึงเกิดเป็นสำนึกลึกๆ ในทุกภพชาติ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 09:23 PM
การอธิษฐาน คือแรงปรารถนาแห่งจิต ซึ่งเกิดหลังจากดวงปัญญาที่สว่างทะลุเหตุและผลที่จะเกิดขึ้น
การที่ในอดีตเราได้เคยมีช่วงชีวิตที่ทั้งทุกข์และสุขปะปนกันมา ทำให้แต่ละครั้งเราจะตอกย้ำในใจ ชี้ไปว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ นี่คือสุข นี่คือทุกข์ นี่คือสุขกว่า สุขแล้วสุขต่อไปได้ยังไง สุขยังไงให้สมบูรณ์ที่สุด มันสะสมตัวเก็บไว้ จนได้ผลลัพท์ของสมการ ที่สังเกตุเห็นได้ว่ามันมีตัวแปรหรือสูตรอะไรบางอย่างเป็นพื้นฐานของเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเราและผู้อื่น พอเราสังเกตุบ่อยๆ ก็เกิดเป็นดวงปัญญา
เมื่อดวงปัญญาสว่างพอที่จะเห็นทะลุถึงเหตุและผลที่จะเกิดสืบเนื่องกันตลอดเวลากับตนเองและสภาพแวดล้อม หากเราเห็นว่าผลที่จะเกิดขึ้นมันดีเหลือเกินทั้งตนเองและผู้อื่น ตัวอย่างเช่นเมื่อใครสักคนมีบุญได้ไปเกิดในพุทธกาล ได้เคยเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระรัตนตรัย เห็นพิธีกรรมทางศาสนา ดวงปัญญาก็จะทำให้เห็นว่าเป็นผลที่ดีเลิศทั้งตนเองและผู้อื่น น่าจะมีสภาพความเป็นจริงเช่นนี้อีก แค่นี้ก็เป็นควมปรารถนาลึกๆ เกิดขึ้นแล้ว หากว่าดวงปัญญาสว่างแบบที่มีความรู้เห็นถึงผลดีโดยรอบยิ่งขึ้น ว่านี่คือสิ่งที่ดีเลิศเป็นSolutionสุดยอด ความปรารถนาก็จะเข้มข้นหนักแน่นจนต้องตั้งอธิษฐานจิต
การตั้งอธิษฐานจิตเพราะเห็นถึงผลที่ดีเลิศที่จะเกิดกับตนเองและผู้อื่นโดยรอบโดยกว้างไกลลึกซึ้งดีแล้ว แม้นจะไม่รู้วิธีการที่จะทำต่อไปว่าเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม แต่ทุกครั้งที่นึกถึงผลดีอันเลิศนั้น ก็เป็นสุขเปรียบประดุจมันจะเกิดขึ้นเป็นจริงได้ในวันพรุ่งนี้
ความปรารถนาอย่างสะเปะสะปะก็จะหมดไป เริ่มมีความตั้งใจอย่างมั่นคงในเป้าหมายที่เลิศที่สุดที่ตนเชื่อมั่นในตนเองว่าจะทำได้ ขบวนการนี้จะทำให้จิตเกิดการตอกย้ำอย่างลึกสุดใจ ด้วยปรารถนาที่แรงกล้ารวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นการอธิษฐาน (แบบพระโพธิสัตว์)
เมื่อเกิดใหม่ในชาติใด ขบวนการของจิตเมื่อได้รับสารจากภพภายนอกเข้าไป ก็จะไปเปรียบเทียบตรึกตรองกับภายใน แล้วมันจะมีแรงกระตุ้นที่เกิดจากการอธิษฐานอย่างแรงกล้าในอดีต บอกให้รู้ว่าใช่ ไม่ใช่ เราต้องการอะไร เป้าหมายอยู่ที่ไหน เราเป็นใคร พวกพ้องเราอยู่ที่ไหน ทำแล้วจะส่งผลอะไรต่อไป แล้วจะไปถึงเป้าหมายไหม เราขาดอะไรอีกบ้าง ฯลฯ
ส่วนที่จะอธิษฐานว่าจะเป็นอะไรในพุทธภูมิ ขึ้นอยู่ที่ขบวนการประเมินตนเอง ความเชื่อมั่นตรึกตรองตนเองว่าธาตุธรรมเราแก่/แกร่งแค่ไหน ความสามารถเก่าหรือผังสำเร็จเก่า หรือกำลังบุญเก่าเรามีแค่ไหน
บทสรุปของเมรี่คือ การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ให้ได้ทุกภพทุกชาติต่อเนื่องกันนั้น เกิดจากการตั้งอธิษฐานจิตอย่างเต็มกำลัง ต่อเป้าหมายอันเลิศ อันเกิดจากดวงปัญญาที่สว่างเห็นทะลุแล้วว่าเหตุ และผลอันเลิศต่อตนเองและผู้อื่นนั้นมีอยู่จริง มีศรัทธาอย่างแรงกล้า โดยเชื่อมั่นว่ามีทางเป็นไปได้ รู้สึกยินดีจะทำต่อไปแม้นว่าจะไม่รู้วิธีการอย่างชัดเจน อีกทั้งมีวิริยะอันแน่วแน่ ไม่ว่าจะใช้เวลานานเพียงใดก็ตาม ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ และกำลังเหลืออยู่ก็จะทำซ้ำๆไปอย่างไร้กำหนดเวลากำกับไว้เลย
ขอผู้ร้ชี้แนะด้วยนะคะ
#4
โพสต์เมื่อ 01 April 2006 - 09:38 PM
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#5
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 12:17 AM
........... จิตสดใสไม่เศร้าหมองสุขคติเป็นที่ไป..........
.ฟังเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ครับ
#6
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 12:18 AM
หัวใจข้อหนึ่งที่ทำให้พระโพธิสัตว์สามารถบรรลุวัดถุประสงค์ได้ตามเป้าหมายนั่นก็คือ พระโพธิสัตว์จะต้องบรรลุวิชชา 2 ในวิชชา 3 หรืออภิญญา 5 สามารถระลึกชาติได้ว่าตนเองมาจากไหนและได้ตั้งเป้าหมายในอนาคตต้องการเป็นอะไรและอนาคตภายภาคหน้าจะสำเร็จผลหรือไม่ เมื่อบุพเพนิวาสานุสติญาณ และอนาคตังสญาณเกิดขึ้นย่อมจะเป็นเครื่องตอกย้ำถึงความสำเร็จว่ามีความเป็นไปได้มากหรือน้อยนั่นเองครับ
สรุปคือ ถ้าประสงค์จะบำเพ็ญบารมีเร่งรัดให้เต็มโดยเร็ว ชนิดไม่พลาดไปในอบายภูมิเลยถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องสามารถระลึกชาติได้เป็นอย่างน้อยทุกชาติไปครับ เมื่อระลึกชาติได้ก็จะทำให้ป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ครับ มีแต่วิวัฎฎะบารมีเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#7
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 03:44 AM
๑. การเจริญให้ยิ่งในอิทธิบาทธรรม (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
๒. การมีโยนิโสมนสิการ
๓. ความเป็นกัลยาณมิตร เพราะกัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
#8
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 04:29 AM
มันเป็นสิ่งสงสัยอยู่ในใจตั้งนานแล้วครับ
ผมมีความคิดเหมือนคุณ Miracle Dream ทำอะไรเอาจริงเอาจังแล้วมันจะติดนิสัย
ข้ามภพข้ามชาติ
การตั้งจิตอธิษฐาน จากดวงปัญญาที่เต็มเปี่ยม มีศรัทธาอย่างแรงกล้า และวิริยะอย่าง
แน่วแน่ ย่อมเป็นปัจจัยติดตัวข้ามภพข้ามชาติไปได้แน่นอน จากคุณ ลูกพระธัม Merry Ma
คุณธรรมจักร งงอยู่ครับกินเกลือก็รู้ว่าเค็ม ช่วยขยายความอีกหน่อยเถิด
คุณ xlmen เพิ่มว่าควรได้วิชชา 2 ในวิชชา 3 หรืออภิญญา 5 จึงจะมั่นใจว่าไม่หลง
ไปอบายภูมิ เพราะระลึกชาติได้ทุกชาติ
ถึงอย่างไรก็มีสิทธิพลาดได้เพราะการได้ วิชชา 2 ใน 3 นั้นเป็นเรื่องยากหน่อยเมื่อเกิด
ใหม่สร้างบารมีใหม่ก็ต้องมาฝึกใหม่อยู่อย่างนั้น และถ้าไม่ตั้งใจฝึกก็ไม่สามารถสำเร็จได้และ
อาจจะพลาดพลั้งไปสู่อบายภูมิได้ ถ้าชาตินั้นถูก มารพาไปได้ ก็อาจจะลืมจุดประสงค์ได้อยู่ดี
เรื่องอธิษฐานบารมีถ้าไม่รอบคอบพอเพียงก็พลาดได้เหมือนกัน เช่น อธิษฐานให้ได้
ลักษณะมหาบุรุษ ให้มีทรัพย์สิน มีเงินทอง กลายเป็น เพลิดเพลินในกามไป ลืมจุดประสงค์
ไปกว่าจะนึกได้ก็สายไป
ขอบคุณสำหรับธรรมทานครับ ถ้าไม่อยากพลาดเลยจะทำอย่างไรดี
ใช่แล้ว ของพี่เกียรติก้องธรนินทร์มาเสริมพอดีโดยเฉพาะข้อกัลยาณมิตรขนาด
พระพุทธเจ้าสมณโคดมเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์โชติปาละ ยังเกือบพลาดกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิเสียแล้ว
#9
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 12:59 PM
ขอกราบอนุโมทนาเจ้าค่ะ / ขออนุโมทนาบุญนะคะ
และชื่นชมกับทุกท่านที่มาร่วมความเห็นกัน เพื่อความสมบูรณ์ในคำตอบ
ทุกความคิดเห็นเป็นการระดมปัญญาเพื่อล้อมกรอบการสร้างบารมี
ที่มีคุณค่ายิ่งค่ะ
แต่ขอคุณธรรมจักรมาให้ความกระจ่าง ในภาษิตที่ว่า กินเกลือก็รู้ว่าเค็ม
มันลึกซึ้งมาก จนยังงงอยู่ ช่วยกลับมาเติมอีกนิดค่ะ ;)
#10
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 03:51 PM
ชอเดานะครับว่าหมายถึง ธรรมชาติเกลือก็คือเกลือยังงัยก็ต้องเค็มครับ ฉันใดฉันนั้น ผู้ที่ได้เป็นนิยตโพธิสัตว์เที่ยงแท้แล้วย่อมเที่ยงตรงต่อการเป็นพระพุทธเจ้าไม่แปรเปลี่ยนเหมือนน้ำทะเลรักษาความเค็ม กล่าวคือเกลือแม้ปริมาณน้อยก็ย่อมจะมี
อานุภาพทำให้เค็มได้ฉันใด นิยตโพธิสัตว์แม้จะยังบารมีอ่อนไม่แก่กล้าก็ยังคงมุ่งตรงต่อโพธิญาณฉันนั้นครับ
ผิดหรือถูกต้องรอเจ้าของภาษิตมาแถลงครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#11
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 04:28 PM
1. ฉันทะ ได้แก่การอธิษฐาน ตั้งความปรารถนาในเป้าหมายอย่างแรงกล้า ซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ
2. วิรียะ ได้แก่การลงมือทำ ด้วยความพากเพียร ไม่หวั่นในอุปสรรค
3. จิตตะ ได้แก่การลงมือทำ ด้วยความตั้งใจ มีใจจดจ่อ
4. วิมังสา ได้แก่การลงมือทำอย่างชาญฉลาด ปฏิบัติตามผู้รู้ ซึ่งก็คือ กัลยาณมิตรนั่นเอง
#12
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 04:39 PM
ตัวบารมีนี่แหละเป็นตัวบังคับ ให้เราสร้างบารมีได้ตลอดรอดฝั่ง บารมีมี 10 ประเภท 3 ระดับ คือ
1 ทานบารมี
2 ศีลบารมี
3 เนกขัมบารมี
4 ขันติบารมี
5 วิริยบารมี
6 สัจจะบารมี
7 อธิษฐานบารมี
8 เมตตาบารมี
9 ปัญญาบารมี
10 อุเบกขาบารมี
ทั้ง 10 ประเภท แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
บารมีแบบธรรมดา เช่น ศีลก็รักษาศีล 5 ศีล 8 ปกติธรรมดา ทานก็ให้ทานเป็นปกติธรรมดา แต่ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ เป็นปกตินิสัย
อุปบารมี เช่น ศีลก็ทำอย่างเข้มข้นขึ้น บางทีถือแบบตลอดชีวิต ทานก็ให้ทุกอย่างที่ให้ได้ ไม่นึกเสียได้เมื่อเทียบกับโพธิญาณ
ปรมัตถบารมี เช่น ศีลก็รักษายิ่งชีวิต ยอมตายมากกว่ายอมผิดศีล ทานก็ถึงขนาดให้ชีวิต เลือดเนื้อ ลูกเมียเพื่อพระโพธิญาณ
ส่วนระยะเวลาในการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละท่าน ยาวนานเป็น "อเนกอนันตัง อปริมานัง" สุดที่จะนับจะประมาณได้ สร้างบารมีไปจนกว่าดวงบารมีจะเข้าข่ายเป็นพระสัมมาสัมพุททธเจ้านั่นแหละ นี่ถ้าวัดก็เป็นหลายอสงไขย เช่น
แบบปัญญาธิกะ 4 อสงไขย เศษอีก แสนมหากัป
แบบศรัทธาธิกะ 8 อสงไขย เศษอีก แสนมหากัป
แบบวิริยธิกะ 16 อสงไขย เศษอีก แสนมหากัป
ดวงบารมีทั้ง 3 ระดับ เปรียบเหมือนน้ำ 3 ตุ่ม สมมุติทั้ง 3 ตุ่มขนาดเท่านกัน
แต่บารมีแบบธรรมดา สมมุติว่าตุ่มแรกเป็นบารมีแบบธรรมดา ก็ต้องเอาดวงบุญที่ทำได้ในแต่ละเรื่องเก็บเล็กผสมน้อย เพราะบุญบางอย่างเราทำมากทำน้อย เปรียบเป็นน้ำ แต่น้ำนี้ไม่ใสเลย เพราะบางคนสร้างบารมีแบบปนเป็น บุญที่ได้ก็ขุ่นบ้าง คล้ำบ้าง คือสร้างบุญแต่มีกิเลสปน เช่น ทำบุญแบบหวังผล ทำบุญ ร้อยบาท หวังให้เกิดอย่างโน้นอย่างนี้ แทนที่จะหวังให้หมดกิเลส แต่หวังแบบเพิ่มกิเลส หรือทำบุญปนบาป เชือดไก่ที่บ้านไปถวายพระ เป็นต้น
บุญที่ได้เหมือนน้ำที่ไม่สะอาด ต้องเอาไปกลั่นก่อน อาจจะได้น้ำมาเท่าเขื่อนใหญ่ๆ แต่พอกลั่นให้ใสเป็นบารมีแล้วเหลือแค่ 1 ขัน ทำอย่างนี้จนบุญที่กลั่นเป็นบารมีตุ่มแรกเต็ม
เมื่อตุ่มแรกเต็มก่อนจะเทใส่ตุ่มที่ 2 คือ ตุ่มอุปบารมี ต้องเอาน้ำตุ่มแรกมากลั่นให้ใสยิ่งขึ้นเสียก่อน น้ำ 1 ตุ่มแรก กลั่นแล้วเหลือเพียงขันเดียว เราก็เทใส่ตุ่มอุปบารมี ทำอย่างนี้จนน้ำตุ่มอุปบารมีเต็มตุ่ม
เมื่อน้ำตุ่มอุปบารมีเต็ม เราก็เอาน้ำตุ่มที่ 2 นี้กลั่นให้ใสยิ่งขึ้นก่อน แล้วเทใส่ตุ่มปรมัตถบารมี ตุ่มที่ 2 กลั่นแล้วเหลือขันเดียวเราก็เเทใส่ตุ่มปรมัตถบารมี ทำอย่างน้จนกว่าตุ่มปรมัตถบารมีจะเต็ม ทั้ง 10 บารมีนั่นแหละ กว่าจะได้พระพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่งสร้างบารมีกันจนนับไม่ถ้วน และบารมีจะต้องขาวใสที่สุดจึงจะเป็นบุญศักดิ์สิทธิ์ทำให้สำเร็จความปรารถนาฝ่ายกุศลคือพระพุทธเจ้านิพพานกายธรรม 1 พระองค์
ส่วนพระพุทธเจ้านิพพานเป็นนั้น สร้างบารมีมากกว่านี้เยอะมาก มากกจนไม่อาจคำนวณเป็นระยะเวลาได้ แต่มีข้อพึงสังเกต คือ ถ้าจะให้เป็นพระพุทธเจ้านิพพานเป็นเราต้องเข้าถึงธรรมกายไปทุกภพทุกชาติที่กำลังสร้างบารมี ต้องลงมาเกิดสร้างบารมีและเข้าถึงธรรมกายได้ทุกชาติไปจึงจะพอสร้างบารมีนิพพานเป็นได้ อันนี้ได้จากประสบการณ์นะครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนเข้าถึงธรรมกายจะได้เข้านิพพานเป็นทุกคน อยู่ที่การตั้งความปรารถนา และอยู่ที่ยุคสมัยว่าจะอำนวยให้หรือเปล่า ถ้าภาคดำยังมีอำนาจปกครองอยู่ก็ยากครับ
อ่านสนุกๆนะครับ เพราะเรื่องนี้ละเอียดมากจริงๆ มีหลายๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมากในระยะเวลาที่พระโพธิ์สัตว์แต่ละพระองค์กำลังสร้งบารมีอยู่ สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ให้ประเมินสถานะการณ์ปัจจุบันด้วย...
#13
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 09:00 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#14
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 10:35 PM
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#15
โพสต์เมื่อ 02 April 2006 - 11:16 PM
น้าจี้
#16
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 03:57 PM
ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ แต่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์ อันนี้ เรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์
ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ และได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อันนี้ เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์
แยกตามศัพท์ อะ แปลว่า ไม่ + นิตยตะ หรือ นิตย์ แปลว่า เที่ยงแท้ ดังนั้น
อนิยตโพธิสัตว์ แปลว่า พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เที่ยงแท้
นิยตโพธิสัตว์ แปลว่า พระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้แล้ว
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#17
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 04:11 PM
คุณ xlmen ช่วยขยายปริศนาธรรมสาธุ หากท่านเป็นนิตยโพธิสัตว์แล้วเกิดเป็นอะไร
ก็สร้างบารมีได้ทั้งนั้น เพราะท่านจะรู้ตัวเอง เสมือนเกลือยังไงก็เค็ม
การเริ่มสร้างบารมีโดยการเจริญอิทธิบาท 4 ของพี่หัดฝันนั้น มองโดยกว้าง ๆ คือการประกอบ
ความเพียรตั้งใจในการทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือสร้างบารมี การประกอบคุณธรรมข้อนี้ควร
ออกบวชตลอดชีวิตทุกชาติหรือไม่ จึงจะได้ผล
คุณใสแจ๋วการสร้างบารมีให้ได้ทุกภพทุกชาตินั้นควรจะต้องเข้าถึงธรรมกายให้ได้ทุกภพ
ทุกชาติจึงจะทำได้
คุณ Muralath ควรทุ่มชีวิตเป็นเดิมพันทำแบบไม่เกี่ยงไม่ขาดสายและใจต้องใส เพื่อผล
ผลบุญนั้นจะติดตามไปในภพชาติหน้าเพื่อสร้างบารมีต่อ แล้วเกิดชาติใหม่ เสวยผลบุญ
แล้วผลบุญจะช่วยให้กิเลสมารทำอะไรไม่ได้หรือเปล่า
คุณ ckb เริ่มต้นที่การคิดและอธิษฐานเมื่อเริ่มคิดมาร ก็แฝงเข้ามาเสียแล้ว
คุณ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ครับทำตามครูบาอาจาร์ยแบบต่อเนื่อง ย่อมเข้าถึงธรรมได้ สาธุครับ แล้ว
ถ้าหากว่าบารมีไม่เต็ม เช่น ทานบารมียังบกพร่อง คงจะต้องยุ่งกับการเลี้ยงชีพโอกาศเข้า
ถึงธรรมในชาตินี้ พอมีทางหรือไม่
สาธุ กับธรรมทานครับ
#18
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 04:25 PM
ท่านเป็นนิตยะโพธิสัตว์หรือ อนิตยโพธิสัตว์กันแน่
#19
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 05:22 PM
ท่านเป็นนิตยะโพธิสัตว์หรือ อนิตยโพธิสัตว์กันแน่
เมื่อถูกพยากรณ์แล้ว ย่อมไม่ไปเกิดในทุคติค่ะ
ผลบุญนั้นจะติดตามไปในภพชาติหน้าเพื่อสร้างบารมีต่อ แล้วเกิดชาติใหม่ เสวยผลบุญ
แล้วผลบุญจะช่วยให้กิเลสมารทำอะไรไม่ได้หรือเปล่า
จะขจัดกิเลสมารออกไปได้ก็ต้องเข้าถึงธรรมค่ะ
ดังนั้นก็แปลว่าได้
ผลบุญที่เหลือจากการทำบุญ จะทำให้ได้บรรลุโลกุตรธรรมได้ค่ะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#20
โพสต์เมื่อ 03 April 2006 - 11:09 PM
แน่ใจแล้วเหรอครับน้องวิว เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ทรงได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ย่อมไม่เข้าถึงฐานะแห่งความอาภัพ ๑๘ ประการต่างหากล่ะ
๑. เกิดในครรภ์ของนางทาสี
๒. เป็นคนบอดแต่กำเนิด
๓. เป็นคนหนวกแต่กำเนิด
๔. เป็นคนใบ้แต่กำเนิด
๕. เป็นบุคคลวิกลจริต
๖. เป็นคนโรคเรื้อนกุฏฐัง
๗. ทำปัญจานันตริยกรรม ๕ ประการ ได้แก่ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต และทำสงฆ์ให้แตกกัน (สังฆเภท)
๘. เกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม
๙. เกิดเป็นพรหมสุทธาวาส
๑o. เป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบันกระทั่งถึงพระอรหันต์)
๑๑. เกิดในอายตนะโลกันตร์ หรือเกิดในอเวจีมหานรก
๑๒. เกิดเป็นอิตถีสตรีเพศ หรือเกิดเป็นบัณเฑาะก์ หรือผู้ที่มีความบกพร่องทางเพศอื่นๆ อาทิ อุภโตพยัญชนก
๑๓. เกิดเป็นเทวบุตรมาร
๑๔. เกิดในอนารยะมิลักขะประเทศ (แดนคนเถื่อน)
๑๕. เกิดในจักรวาลอื่น
๑๖. เกิดเป็นเปรตสามจำพวกแรก (ยกเว้น ปรทัตตูปชีวิกเปรต (เปรตขอส่วนบุญ) อาจพลาดพลั้งเป็นได้ในบางชาติ ซึ่งกำเนิดแห่งเปตวิสัยนั้น จำแนกเปรตออกได้เป็น ๔ จำพวก ๑๒ ตระกูล)
๑๗. เกิดในอรูปพรหม
๑๘. เกิดเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่านกกระจาบและใหญ่กว่าช้าง
#21
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:57 AM
#22
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 12:38 PM
ประทานโทษนะคะ
คือ เทวบุตรที่ถูกกิเลสมารครอบงำค่ะ ทำให้ทำความชั่ว
อยู่สวรรค์ชั้น 6
แต่ตอนนี้ได้ยินมาว่าไม่มีแล้ว ก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#23
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 12:47 PM
หลังจากกลับตัวกลับใจ ก็ได้อธิษฐานตั้งความปรารถนาจะขอเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคต กับเขาเหมือนกัน
#24
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 01:41 PM
ว่าตามกัน แล้วตั้งความปราถนา จนมีกำลังบุญหนาแน่นเพียงพอ
ก็จะบรรลุเป้าหมาย
#25
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 04:19 PM
ฝ่ายเทวบุตรมาร เมื่อคราวเห็นเจ้าชายสิทธัถะจะได้ตรัสรู้ ก็ไม่ยินยอมกลัวจะเสียอำนาจปกครองในภพ 3 จึงลงมาผจญพระโพธิสัตว์พร้อมกองทัพเสนามาร แต่พ่ายแพ้ด้วยพระบารมีของพระโพธิสัตว์ แต่ยังผูกใจเจ็บไม่คลาย จนศาสนาล่วงมาได้ประมาณ 200 กว่าปี ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระเจ้าอโศกต้องการฉลองเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 แห่ง พระยามารตนนี้ก็มีแผลงฤทธิ์มาทำลายพิธี แต่ในยุคนั้นมีพระมหาเถระชื่อพระมหาอุปคตผู้อรหัตน์กระทำวิธีทรมานพระยามารจนพ่ายแพ้แก่พระสาวกท่านนี้ พระมหาอุปคุตเกิดไม่ทันพระศาสดา จึงขอให้พระยามารเนรมิตพระกายหยาบของพระบรมศาสดาให้ดู พระยามารก็แสดงให้ดู พระอุปคุตจึงพยากรณ์ว่าต่อไปพระยามารท่านนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ตามที่พระยามารเคยอธิษฐานครั้นพ่ายแพ้แก่พระโพธิ์สัตว์ในคราวก่อนตรัสรู้
เรื่องเทวบุตรมาร กับเรื่องปราบมารของหลวงพ่อวัดปากน้ำคนละเรื่องกันนะครับ เพราะมารที่หลวงพ่อวัดปากน้ำปราบ เป็นต้นธาตุต้นธรรมของภาคดำที่คอยส่งฤทธิ์ให้ทั้งเทวบุตรมารและธาตุธรรมอื่นๆ ของเขา คือปราบมารของหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านปราบครอบจักรวาล แต่พระยามารเป็นแค่มารขั้นโลกียะเท่านั้น หลวงพ่อวัดปากน้ำปราบทั้งมารโลกียะและมารโลกุตตระครับ
#26
โพสต์เมื่อ 04 April 2006 - 09:41 PM
พุทธแท้ด้วย ได้ตั้งใจ ทำทาน รักษาศีล ฝึกสมาธิทุกภพทุกชาติ และขอให้เข้าถึงธรรมระลึก
ชาติได้ทุกภพทุกชาติ ก็สามารถกันพลาดพลัดหลงไปอบายภูมิได้อีกข้อ