เสร็จกิจ ๑๖ ไม่ตกกันดารคือ??
#1
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 01:44 AM
ใครทราบช่วยมาเอาบุญกันหน่อยนะครับ
#2
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 02:24 AM
4 x 4 = 16 ครับผม
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#3
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 06:18 AM
is it one for มนุษย์ ,one for เทวดา ,one for รูปพรหม, one for อรูปพรหม? Please explain...Thank you...
THE FOUR NOBLE TRUTHS - อริยสัจ 4
1. The Noble Truth of Suffering
2. The Noble Truth of the Cause of Suffering
3. The Noble Truth of the Cessation of Suffering
4. The Noble Truth of the Way to the Cessation of Suffering
It contains a thorough and profound training of body, speech, and mind. Traditionally it's outlined as the Noble Eightfold Path:
(1) Right Understanding;
(2) Right Intention;
(3) Right Speech;
(4) Right Action;
(5) Right Livelihood;
(6) Right Effort;
(7) Right Mindfulness; and
(8) Right Concentration.
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#4
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 10:07 AM
คนจำนวนเท่าขนโค แต่ที่รอดพ้นจากอบายภูมิไปได้เท่าจำนวนเขาโค
ก็เป็นคติเตือนใจศิษยานุศิษย์ของท่าน ให้สำรวมในศีลและอินทรีย์ให้มาก และท่านยังได้สอนไว้อีกว่า
เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำ จะเกิดมาทำอะไร
สิ่งที่อยากก็หลอก สิ่งที่หยอกเขาก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงใย
เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป
เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้
คติธรรมนี้ ท่านหมายความว่า เกิดมาเพื่อจะพบคุณพระศรีรัตนตรัย ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ซิกลับไม่สนใจ ใส่ใจ ศึกษาสัมมาปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัย ให้ได้ผลสมควรแก่ธรรมปฏิบัติ แล้วที่เกิดมานี้จะได้ประโยชน์อะไร เสียชาติเกิดแท้ๆ ความทะยานอยากในกามก็เป็นเรื่องหลอกๆ ไม่จิรังยั่งยืนอะไร คือ ล้วนเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นภาระหนัก ให้ต้องห่วงใยอีกมาก ถ้าเลิกจากความทะยานอยากในกาม ตั้งหน้าปฏิบัติไตรสิกขา คือ อบรมกาย วาจา และใจ ให้เรียบร้อยดี ไม่มีโทษ โดยการปฏิบัติศีล สมาธิ และปัญญา อันมีนัยอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ พิจารณาสภาวธรรม และพระอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ในกาย หรือในโลกมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ให้รู้แจ้งเห็นแจ้งตามธรรมชาติที่เป็นจริง ชื่อว่า เสร็จกิจ ๑๖ นี้แหละเป็นทางมรรค ผล นิพพาน ให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ และที่เป็นบรมสุข ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้
#5
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 01:42 PM
ขอถามเพิ่มเลยละกันครับว่า โสฬสญาณคืออะไร???
#6
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 01:49 PM
ถ้ามีผู้รู้ช่วยตอบด้วยนะจ๊ะ
#7
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 02:25 PM
โสฬสญาณคือ ญาณ16 เป็นลำดับญาณของผู้ปฏิบัติจะได้พบ/ผ่านไปตามลำดับของการปฏิบัติ ญาณ1-12 เป็นโลกียญาณ มีรูปนามเป็นอารมณ์ ญาณ13-16 เป็นโลกุตตรญาณ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ผ่านญาณ16ครั้งที่ 1 บรรลุโสดาบัน ครั้งที่2 พระสกิทาคามี ครั้งที่ 3 พระอนาคามี ครั้งที่ 4 พระอรหันต์ค่ะ........
#8
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 02:55 PM
พระธรรมเทศนาโดย...หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
กิจในพระธรรมวินัยนี้ ที่นับว่าสำคัญที่สุดเรียกว่า โสฬสกิจ เป็นกิจที่โยคาวจร กุลบุตรพึง พากเพียรพยายามทำให้สำเร็จบริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท
โสฬสกิจ ได้แก่กิจในอริยสัจ ๔ ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ชั้นโสดาบันก็ประชุม ๔ ชั้น สกิทาคามีก็ประชุม ๔ สองสี่ก็เป็น ๘ ชั้นอนาคามีก็ประชุม ๔ ชั้นอรหันต์ก็ประชุม ๔ สองสี่ก็เป็น ๘ สอง แปดเป็น ๑๖ กำหนดสัจจะทั้ง ๔ รวมเป็นองค์อริยมรรคเป็นขั้นๆ ไป
เมื่อเรามาเจริญอริยมรรคทั้ง ๘ อันมีอยู่ในกายในจิต คือ
ทุกข์ เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ ก็รู้ว่ามี อยู่เป็น ปริญเญยฺยะ ควรกำหนดรู้ก็ได้ กำหนดรู้
สมุทัย เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ก็รู้ว่ามีอยู่ เป็น ปหาตัพพะ ควรละก็ละได้แล้ว
นิโรธ เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ก็รู้ว่ามีอยู่เป็น สัจฉิกาตัพพะ ควรทำให้แจ้งก็ได้ทำให้แจ้งแล้ว
มรรค เป็นสัจจะของจริงที่มีอยู่ก็รู้ว่ามีอยู่เป็น ภาเวตัพพะ ควรเจริญให้มากก็ได้เจริญให้มากแล้ว
เมื่อมากำหนดพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็แก้โลกธรรม ๘ ได้สำเร็จ
มรรค อยู่ที่ กาย กับ จิต คือ ตา ๒ หู ๒ จ มูก ๒ รวมเป็น ๖ ลิ้น ๑ เป็น ๗ กาย ๑ เป็น ๘ มาพิจารณารู้เท่าสิ่งทั้ง ๘ นี้ ไม่หลงไปตาม ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ อันมาถูกต้อง ตนของตนจิตไม่หวั่นไหว โลกธรรม ๘ เป็นคู่ปรับกับมรรค ๘ เมื่อรู้เท่าส่วนทั้งสองนี้แล้ว
เจริญมรรคให้บริบูรณ์เต็มที่ ก็แก้โลกธรรม ๘ ได้ ก็เป็น ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ อโสกํ วิรชํ เขมํ เอตมฺ มงฺคลมุตฺตมํ
โลกธรรมถูกต้องจิตผู้ใดแล้ว จิตของผู้นั้นไม่หวั่นไหว เมื่อ ไม่หวั่นไหวก็ไม่เศร้าโศก เป็นจิตปราศจากเครื่องย้อม เป็นจิตเกษมจากโยคะ จัดว่าเป็นมงคลอันอุดม เลิศ ฉะนี้แล ฯ
#9 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 06:42 PM
#10
โพสต์เมื่อ 15 February 2006 - 10:03 PM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#11
โพสต์เมื่อ 16 February 2006 - 02:08 AM
#12 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 16 February 2006 - 11:10 AM
> >>ครรภ์เป็นพิษน่อยหลังจากที่ตัดสินใจผ่าตัดเอาเด็กออกอย่างเร่งด่วน
> >>ปรากฎว่าลูกแข็งแรง แต่ไขสันหลังของแม่ไม่ผลิตเลือด
> >>อยากจะขอบริจากเลือดกรุ๊ปA ด่วนมากๆซึ่งคน 10 คน
> >>ที่บริจากเลือดจะัสามารถผลิดเลือดได้เพียง 1 ถุง เท่านั้น
> >>ขอขอบคุณทุกๆคนที่สร้างโอกาสให้เด็กน้อยได้เห็นหน้าแม่ บริจาคได้ที่
> >>คลังเลือด ร.พ.จุฬาเพื่อนางสาวจรรยา ตันคงจำรัสกุลร
> >>มีข้อสงสัยโทร ถามได้ที่(01) 822-8111 หรือ (01) 831-3990 ช่วย
> >>forward ต่อไปให้ผู้ที่ท่านคิดว่าสามารถบริจาคได้ด้วยขอบคุณมากๆ ครับ
#13
โพสต์เมื่อ 16 February 2006 - 01:06 PM
เสร็จกิจ 16 หมายถึง การพิจารณาอริยสัจ 4 ของกายที่ยังอยู่ในภพ 3 ทั้ง 4 กาย โดยใช้พระธรรมกายภายในเป็นตัวเจริญวิปัสสนา คือ
1) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมโคตรภู แล้วใช้กายธรรมโคตรภูไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายมนุษย์ จนหมดกิเลสในกายมนุษย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระโสดาบัน
2) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระโสดาบัน แล้วใช้กายธรรมพระโสดาบันไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายทิพย์ จนหมดกิเลสในกายทิพย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระสกทาคามี
3) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระสกทาคามี แล้วใช้กายธรรมพระสกทาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอนาคามี
4) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระอนาคามี แล้วใช้กายธรรมพระอนาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายอรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายอรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอรหันต์
เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วก็เท่ากับเสร็จกิจในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตกกันดาร มีนิพพานเป็นที่ไปครับ
ผิดถูกประการใด วานผู้รู้ชี้แจงด้วย
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#14
โพสต์เมื่อ 16 February 2006 - 01:16 PM
1) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมโคตรภู แล้วใช้กายธรรมโคตรภูไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายมนุษย์ จนหมดกิเลสในกายมนุษย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระโสดาบัน
2) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระโสดาบัน แล้วใช้กายธรรมพระโสดาบันไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายทิพย์ จนหมดกิเลสในกายทิพย์ จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระสกทาคามี
3) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระสกทาคามี แล้วใช้กายธรรมพระสกทาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอนาคามี
4) ปฏิบัติธรรมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมพระอนาคามี แล้วใช้กายธรรมพระอนาคามีไปพิจารณาอริยสัจ 4 ในกายอรูปพรหม จนหมดกิเลสในกายอรูปพรหม จึงบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลชั้น พระอรหันต์
เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วก็เท่ากับเสร็จกิจในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตกกันดาร มีนิพพานเป็นที่ไปครับ
ผิดถูกประการใด วานผู้รู้ชี้แจงด้วย
ถูกต้องแล้วครับ และคำว่าเสร็จกิจในพระพุทธศาสนานั้น หมายถึง เสร็จกิจทั้งในฝ่ายของสมถะและวิปัสสนาโดยตลอดครับ
#15
โพสต์เมื่อ 16 February 2006 - 08:14 PM
กายมนุษย์หยาบ --------> กายมนุษย์ละเอียด
กายทิพย์หยาบ ---------> กายทิพย์ละเอียด
กายรูปพรหมหยาบ------> รูปพรหมละเอียด
กายอรูปพรหมหยาบ ----> อรูปพรมละเอียด
กายโครตภูหยาบ--------> กายโครตภูละเอียด
กายพระโสดาบันหยาบ---> กายพระโสดาบันละเอียด
กายพระสกิทาคาหยาบ----> กายพระสกิทาคาละเอียด
กายพระอนาคามีหยาบ-----> กายพระอนาคามีละเอียด
กายพระอรหัตหยาบ--------> กายพระอรหัตละเอียด
#16
โพสต์เมื่อ 17 February 2006 - 03:51 AM
L phor said it in one of his teaching " เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วก็เท่ากับเสร็จกิจในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องตกกันดาร มีนิพพานเป็นที่ไป "
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#17
โพสต์เมื่อ 17 February 2006 - 04:48 PM
กิจ ๑๖
ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายมนุษย์ ๔
ทุกขสัจ มุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายทิพย์ ๔ เป็น ๘
ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายรูปพรหม ๔ เป็น ๑๒
ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายอรูปพรหมอีก๔ มันก็เป็น ๑๖
นี้เสร็จกิจทางพุทธศาสนา ทางพระอรหัตแค่นี้ นี้ทางปฏิบัติ
เทศนาดังนี้เป็นทางปฏิบัติ ไม่ใช่ทางปริยัติ นี่ทางปฏิบัติอันนี้แหละ พระพุทธศาสนาในทางปริยัติดังแสดงแล้วในตอนต้น พุทธศาสนา ในทางปฏิบัติดังแสดงแล้วในบัดนี้ แต่ปริยัติปฏิบัติ ที่เรียกว่าเข้าถึง ปฏิบัติ เดินสมาบัติทั้ง ๘ นั้นเป็นทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ได้เข้าเห็นพระโสดา บรรลุถึงพระโสดา นั่น ปฏิเวธแท้ๆ ทีเดียว ได้เข้า ถึงพระโสดาแล้ว ทั้งหยาบทั้งละเอียด
เมื่อพระโสดาเดินสมาบัติทั้ง ๘ ดูทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ในกายทิพย์เข้าทั้งหยาบทั้งละเอียด ได้บรรลุพระสกทาคา เมื่อถึงพระสกทาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด เห็นเข้านั่นเป็นตัวปฏิเวธแท้ๆ ทีเดียว รู้แจ้งแทงตลอดในสกทาคาเข้าแล้ว
เมื่อพระสกทาคาเข้าสมาบัติทั้ง ๘ ดูทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธ สัจ มรรคสัจ ในกายรูปพรหมเข้าเห็นในสัจธรรมทั้ง ๔ ชัดอีกได้บรรลุพระอนาคา นี้ที่ได้เห็นตัวพระอนาคา ทั้งหยาบทั้งละเอียด และทั้งธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคา นั่นเป็นตัวปฏิเวธแท้ๆ ทีเดียวรู้แจ้งแทงตลอดเห็นจริงทีเดียว เห็นปรากฏทีเดียว
เมื่อพระอนาคาเข้าสมาบัติ ดูทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจมรรคสัจ ทั้งหยาบทั้งละเอียด เห็นชัดในทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ได้บรรลุพระอรหัต เมื่อเห็นกายพระอรหัตทั้งธรรมที่ ทำ ให้เป็นกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียด เห็นชัดทีเดียว นั่น เห็นชัดอันนั้นแหละ ได้ชื่อว่าเป็นปฏิเวธแท้ๆ เชียว รู้แจ้งแทงตลอด
นี้ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ดังนี้ ศาสนามีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ดังนี้
ถ้าว่านับถือศาสนา ปฏิบัติศาสนา เข้าปริยัติไม่ถูก ปฏิเวธ ก็ไม่ถูก มันก็ไปต่องแต่งอยู่นั่น เอาอะไรไม่ได้ สัก ๑๐ ปี ๑๐๐ ปี ก็เอาอะไรไม่ได้ ถึงอายุจะแก่ปานใด จะโง่เขลาเบาปัญญาปานใด ถ้าเข้าถึงทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรจสัจ มรรคสัจไม่ได้ ไม่เห็นทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ ดังแสดงมาแล้วนี้ จะปฏิบัติศาสนา เอาเรื่องเอาราวไม่ได้
ถ้าว่าคนละ โมฆชินโณ แก่เปล่า เอาอะไรไม่ได้ เอา เรื่องไม่ได้
เหตุนี้แหละทางพุทธศาสนาจึงนิยมนับถือนัก ในเรื่อง สัจธรรมทั้ง ๔ นี้
จากพระธรรมเทศนาเรื่อง "เขมาเขมสรณาคมน์"
๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗
#18
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 09:03 PM
ผมชอบ คุณ xlmen ที่หลังอิงต้นโพธิ์
และก็เชื่อในพระธรรมเทศนาของพระมงคลเทพมุนี ( สด จนฺทสโร )
แม้ขณะนี้ยังไม่เข้าถึงสภาวะธรรมที่หลวงปู่กล่าาวถึง
เชื่อและชอบเพราะ ท่านบอก วิธีปฏิบัติด้วย
คุณ มองอย่างแมวและคุณก้องเกียรติธรณินทร์ ตอบตรงและย่อดีครับ
SaDhu.gif 22.04K 61 ดาวน์โหลด
#19
โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 10:54 PM
การเห็นธรรมคือ การเห็นอริยสัจ 4 นั้นจะต้องเริ่มต้นที่ธรรมขันธ์ ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไปถึงพระอรหันต์ครับ
ถามว่าถ้าใช้กายจิตของ มนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม จะสามารถเห็นอริยสัจ 4 ได้หรือไม่?
ดังนั้นโบราณจารย์จึงกล่าวว่าการเห็นอริยสัจ 4 จะต้องเริ่มที่กายใจจิตวิญญาณของพระโสดาบันเป็นปฐม แล้วใช้กายใจจิตวิญญาณของพระโสดาบัน มองอริยสัจ 4 ในกายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม ครับ
ถ้าจิตเบื่อหน่ายคลายกำหนัดละสังโยชน์ 3 ได้ คือ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาสแล้ว ก็จะสามารถเข้าถึงและเป็นพระโสดาบันโดยไม่มีถอยหลัง หรือกระดอนทำกายหายแน่นอนครับสาธุ อยากบรรลุบ้างจังทำงัยดีครับ 5555
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#20
โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 11:17 PM
#21
โพสต์เมื่อ 22 February 2006 - 12:45 AM
และได้เข้าถึงธรรมอันเป็นของจริงแท้ในบวรพระพุทธศาสนา
ได้บรรลุธรรมที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ได้บรรลุแล้วอย่างแตกฉาน คล่องแคล่วเชี่ยวชาญ
ชำนาญญาณเป็นวสีไม่มีติดขัด รู้ถูก เห็นถูก ตรงไปตามความเป็นจริงจงทุกสิ่งทุกประการ
ให้เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจ
สัทธรรมปฏิรูปอันเป็นธรรมปลอมทั้งปวงจงมลายหายสูญไม่มากล้ำกราย ไปทุกภพทุกชาติ
ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญฯ
เป็นคำอำนวยพรอันประเสริฐแท้
ยินดีน้อมรับความเมตตาปรารถนาดีและคำอวยพร
จากคุณ เกียรติก้องธรณินทร์อย่างสูงลิ่ว ครับ
ผู้ให้ ย่อมได้รับ
ให้ของประเสริฐ ย่อมได้ของประเสริฐ เช่นกันนะครับ
ไฟล์แนบ
#22
โพสต์เมื่อ 22 February 2006 - 02:20 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#23
โพสต์เมื่อ 22 February 2006 - 11:58 PM
#24
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 05:08 PM
#25
โพสต์เมื่อ 18 March 2007 - 03:12 PM
#26
โพสต์เมื่อ 04 September 2010 - 10:26 AM
ชื่นใจจัง ที่เห็นท่าน ๆ บัณฑิตทั้งหลายเสวนาธรรมกัน อ่านแล้วยกใจ ได้ความรู้มากมาย
โอใจหายจริง ๆ นี้ถ้าไม่มี DMC.TV ไม่มีครูไม่ใหญ่แล้วละก็คงไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมดี ๆ ได้ทุกเวลาอย่างนี้
และธรรมะดี ๆ จากคนดี ๆ ที่เราไม่รู้จักเลย แต่เราเป็นลูกพระธัมม์เหมือนกัน ใต้ฟ้าเดียวกัน
ขอแสดงความนับถือจริง ๆ และอนุโมทนาบุญในธรรมทานของท่านทั้งหลายด้วยค่ะ สาธุ ๆๆ
#27
โพสต์เมื่อ 04 September 2010 - 03:43 PM
สายอื่นๆเขาจะได้รู้ว่าวิชชาธรรมกายนั้นมาจากพระไตรปิฎก และมีความลึกซึ้งมากมาย
ถ้าเอาแต่เสวนาเรื่องเบื้องต้นอย่างเดียว เช่น เห็นแล้วดีใจจัง, ยังไม่เห็นซะทีเห้อ, หรือโชว์กันว่านั่งแช่นิ่งๆเป็นสิบๆชั่วโมง ไม่หลับ ไม่นอน ไม่ทานอาหาร(ก็เก่งมากนะครับ) แค่เพียงเท่านี้ คนสายอื่นๆเขาไม่เข้าใจจะหัวเราะเยาะเอาได้นะครับ ว่าวิชชาธรรมกายมีแค่นี้หรือ ติดนิมิต ติดสมาธิ ไม่มีวิปัสสนาเลย
และมุ่งเสวนาเพื่อความรู้ความหลุดพ้น มิใช่โชว์ภูมิว่าข้าก็รู้นะ ก็จะยิ่งเป็นธรรมทานมหากุศลมากๆครับ
สาธุกับทุกท่านครับ
...............
แต่ก็นั่นแหละครับ วิชชาธรรมกาย พระเดชพระคุณหลวงปู่สดท่านมาสอนให้เข้าใจเข้าถึงได้ง่ายด้วยบารมีในการแสดงธรรมของท่าน
ถ้าว่ากันง่ายๆแล้วก็คือ นั่งสมาธิให้เข้าถึงพระธรรมกาย แล้วใช้ญาณพระธรรมกายพิจารณาธรรมเพื่อละสังโยชน์และเพื่อทำนิพพานให้แจ้ง
เพียงเท่านี้ก็ครอบคลุม ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องยากเย็นเลย เพราะธรรมะถ้าทำของยากให้เป็นของง่ายไม่ได้ ต้องทำให้ยาก ซับซ้อน สับสน คนอื่นจะได้รู้ว่าข้าเก่งข้ารู้ แบบนี้ผมว่าขอให้ผู้แสดงธรรมนั้นกลับไปฝึกการแสดงธรรมมาใหม่จะดีกว่า เพราะถ้าฟังธรรมแล้วมันฟังไม่รู้เรื่องก็เท่านั้น
ส่วนธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้ง ซับซ้อนไปกว่านี้ เมื่อผู้ใดมีจิตศรัทธาแล้วก็หมั่นสิกขาธรรมให้แตกฉานก็จะยิ่งดี เป็นลำดับสืบต่อไป
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#28
โพสต์เมื่อ 04 September 2010 - 04:35 PM
ครูบาอาจารย์ในฝ่ายเมืองไทย แม้แต่พระอรรถกถาจารย์ชื่อก้องอย่างท่านพระพุทธโฆษาจารย์แห่งอินเดียใต้และลังกา
ท่านสอนไว้ครบสูตร สูงสุดคือ วิชชา 3 และเห็นแจ้งในอริยสัจ 4 นี้แหละเป็นตัวปหานะกิเลศสังโยชน์ที่แท้จริง พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ได้ก็เพราะวิชชา 3 และอริยสัจ 4 ซึ่งสติปัฏฐาน 4 ก็รวมอยู่ในขั้นตอนของอริยสัจนี้แหละครับ ทั้งสมถะ วิปัสสนาก็ด้วย ทำหน้าที่ของตัวเองไปในแต่ละบริบทที่เชื่อมโยงกัน
ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์โต หลวงปู่มั่น หลวงปู่สด ฯลฯ ท่านก็กล่าวสอนเรื่องอริยสัจ 4 นี้เป็นสิ่งสำคัญ ดังที่มีผู้โพสต์คำสอนหลวงปู่มั่นไว้ข้างบนเป็นตัวอย่างแล้ว
แต่ว่า ภายหลัง ได้มีพระผู้มีอำนาจทางการปกครองและการศึกษา คิดอย่างไรไม่ทราบ อยากจะสถาปนาแนวปฏิบัติแบบตนขึ้นบ้าง จึงได้ส่งลูกศิษย์เอกไปเรียนกับพระพม่า และสายที่ไปเรียนนั้น กลับไม่เน้นการรู้เห็น เน้นแต่หัวข้อกายานุปัสสนา และปัจจุบันธรรม ใช้แต่การตรึกนึกคิด ใช้สัญญา แล้วก็บอกว่าตนเองระลึกรู้ เป็นวิปัสสนา
ไปๆมาๆ การปฏิบัติแนวนี้ได้เผยแผ่ไปอย่างรวดเร็วในประเทศไทย เพราะอำนาจของสังฆบดีในสมัยนั้น ซึ่งนอกจากเป็นการมองข้ามบูรพาจารย์ของไทยหลายท่านไปอย่างมากแล้ว ยังพยายามขีดเส้นให้การปฏิบัติแบบสำนักตนเองนั้นเป็นมาตรฐาน ทำให้ผู้ปฏิบัติยุดหลังๆต่างตามๆกันไปตามนั้น
แล้วที่น่าหดหู่เป็นอย่างยิ่ง คือเกิดการกลับไปลบหลู่ดูหมิ่นดูแคลนครูบาอาจารย์ของไทยที่ท่านเป็นระดับบูรพาจารย์ พระอริยเจ้าทั้งหลายไปซะอีก ไม่ว่าจะชี้แจงกันอย่างไร ก็มักจะเอามาตรฐานของสำนักตนไปตัดสินสำนักอื่นๆไปในทันที เรียกได้ว่า ไทยเราเกือบจะเสียเอกราชแนวทางการปฏิบัติไปซะเเล้ว ยังดีที่ลูกศิษย์ลูกหาของบูรพาจารย์ชาวไทยได้มั่นคงในแนวทางที่ถูกต้องสืบมาจนปัจจุบัน
ครั้งหนึ่งด้วยอำนาจของสังฆบดีในสมัยนั้นได้อาราธนาพระเดชพระคุณหลวงปู่สดให้ไปเรียนกัมมัฏฐานแนวนั้น หลวงพ่อเราก็ต้องไปตามมารยาท เพราะเป็นคำเชิญของสังฆบดี ไปเรียนตามรับเชิญแล้วหลวงปู่สดท่านก็อุตสาห์รับรองของใหม่ให้ เสมือนครูบาอาจารย์สอบวิทยานิพนธ์เซ็นรับรองให้ลูกศิษย์ มีการเซ็นชื่อ และเขียนคำวิจารณ์ไว้ด้วย
แต่ภายหลังจากนั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าลุกศิษย์กลับตู่เอาว่าหลวงปู่สดท่านเลิกปฏิบัติธรรมกายแล้ว ไปฝึกแบบสายนั้นแล้ว มีการเซ็นคำสารภาพไว้ด้วย เป็นการกล่าวตู่ที่น่าเกลียดมากที่สุดในประวัติศาสตร์เลยที่เดียวครับ
จึงเรียนแจ้งข้อมูลให้ทราบครับ
ใครมีเรื่องเสวนาธรรมะเชิงวิชาการมากๆก็มาร่วมๆกันเสวนา จะได้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาสืบต่อไปนะครับ
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย
#29
โพสต์เมื่อ 08 September 2010 - 12:30 AM
ผมก็เบื่อพวกจ้องทำลายวัด ชอบเอาเรื่องหลวงปู่ฯทิ้งวิชชาธรรมกายมาอ้างอยู่เรื่อย
ส่วนเรื่องวิปัสสนา
คุณครูไม่ใหญ่เคยบอกว่าถ้ายังไม่เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้ก่อน
ก็เป็นแค่วิปัสสนึก คือนึกๆคิดๆเอาเอง
ซึ่งตรงกับข้อมูลที่คุณธาตุล้วนฯบอก
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#30
โพสต์เมื่อ 08 September 2010 - 01:19 AM
มีท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า
"สายตัวเองเอาแต่ ตรึก นึก คิด ใช้สัญญา แล้วว่าเป็นการระลึกรู้ เป็นวิปัสสนา
แต่กลับไปว่าสายอื่นๆ ที่เขาเข้าถึง รู้เห็น และเป็น ว่าเขาติดนิมิต
หัดว่าตัวเองบ้างว่าตัวเองนั้นติดนึก ติดตรึก ติดคิด ติดสัญญา เป็นวิปัสสนึก
เอาความเข้าใจของสายตนเองไปขีดเส้นเป็นมาตรฐาน ใครไม่เข้าใจเหมือนตนเองก็หาว่าเขาผิด แต่ไม่เคยว่าตัวเองผิด"
ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ
ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ
เราตถาคต คือธรรมกาย