ศีลห้า...ท่านว่าให้รักษาอย่างนี้
#1
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 03:00 AM
ศีล
ศีลเป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม
ชีวิตที่ดีงามย่อมเป็นที่ปรารถนาของทุกคน เพราะเป็นชีวิตที่มีความสุข เป็นชีวิตที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและสังคม แต่คุณงามความดีจะมีขึ้นได้ ต้องเริ่มจากกาย วาจา ใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ดังนั้นชีวิตที่ดีงาม จึงเริ่มต้นที่การรักษาศีลนั่นเอง
ศีลคืออะไร
ศีล แปลว่าปกติ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีลักษณะที่เป็นปกติของมันเอง เช่น ปกติของม้าต้องยืนไม่มีการนอน ถ้าม้านอนเป็นการผิดปกติ แสดงว่าม้าป่วย ฤดูฝนตามปกติจะต้องมีฝนตก ถ้าฤดูฝนกลับแล้ง ฝนไม่ตกแสดงว่าผิดปกติ
อะไรคือปกติของคน
๑.ปกติของคนจะต้องไม่ฆ่า ศีลข้อ๑ จึงเกิดขึ้นมา
๒.ปกติของคนจะต้องไม่ลักขโมย ไม่แย่งชิง ไม่คดโกง ไม่ทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ศีลข้อ๒ จึงเกิดขึ้นมา
๓.ปกติของคนจะพอใจเฉพาะคู่ครองของตน ถ้าใครไปแย่งเข้าถือว่าผิดปกติ ศีลข้อ๓ จึงเกิดขึ้นมา
๔.ปกติแล้วคนเราพูดตรงไปตรงมาเสมอ ใครโกหกหลองลวงก็ถือว่าผิดปกติ ศีลข้อ๔ จึงเกิดขึ้นมา
๕.ปกติแล้วคนต้องมีสติอันแจ่มใส แต่ถ้าดื่มสุราก็จะขาดสติ ทำสิ่งที่ไม่ดีได้ง่าย ศีลข้อ๕ จึงเกิดขึ้นมา
( ศีล๕ ได้มีก่อนพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับเข้ามาในพระพุทธศาสนา และทรงชี้แจงถึงความจำเป็นของการมีศีลให้ทราบ ) ดั้งนั้นในการรักษาศีล เราจึงควรศึกษาทำความเข้าใจในเรื่ององค์วินิจฉัยศีล ซึ่งเป็นหลักในการวินิจฉัยว่า ศีลขาดหรือไม่
องค์วินิจฉัยเป็นอย่างไร
๑ การฆ่าสัตว์ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๑.๑ สัตว์นั้นมีชีวิต
๑.๒ รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๑.๓ มีจิตคิดจะฆ่าสัตว์นั้น
๑.๔ มีความพยายามจะฆ่าสัตว์นั้น
๑.๕ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
๒ การลักทรัพย์ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๒.๑ ทรัพย์หรือสิ่งของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
๒.๒ รู้อยู่ว่าทรัพย์นั้นมีจ้าของหวงแหน
๒.๓ มีจิตคิดจะลักทรัพย์นั้น
๒.๔ มีความพยายามลักทรัพย์นั้น
๒.๕ ลักทรัพย์ได้ด้วยความพยายามนั้น
๓ การประพฤติผิดในกามประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๓.๑ หญิงหรือชายที่ไม่ควรละเมิด ( หญิงหรือชายที่มีเจ้าของแล้ว )
๓.๒ มีจิตคิดจะเสพเมถุน
๓.๓ ประกอบกิจในการเสพเมถุน
๓.๔ ยังอวัยวะเพศให้ถึงกัน
๔ การพูดเท็จต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๔.๑ เรื่องไม่จริง
๔.๒ มีจิตคิดจะพูดให้ผิดไปจากความจริง
๔.๓ พยายามที่จะพูดให้ผิดไปจากความจริง
๔.๔ คนฟังเข้าใจตามความหมายที่พูดนั้น
๕ การดื่มน้ำเมาต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๕.๑ น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเมา
๕.๒ มีจิตคิดจะดื่ม
๕.๓ พยายามดื่ม
๕.๔ น้ำเมานั้นล่วงพ้นลำคอลงไป
^_^
#2
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 05:04 AM
#3
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 09:23 AM
#4
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 02:41 PM
คือสงสัยอีกนิดหน่อยอะคะ ศีล 5 มาก่อนพุทธกาล มีมาตั้งแต่เมื่อไรแล้วใครเป็นคนกำหนดขึ้นเหรอคะ
น้าจี้
#5
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 03:03 PM
#6
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 06:44 PM
#7
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 07:15 PM
แล้วกระทู้นี้ คุณเกียรติฯ จะย้ายไปธรรมกถึกด้วยไหมคะ
#8
โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 07:41 PM
#9
โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 06:23 PM
พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว
#10
โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 06:30 PM
สาธุๆๆๆ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#11
โพสต์เมื่อ 20 February 2006 - 08:43 PM
ศีลห้ามีมาก่อนพุทธกาล
... อย่างไร
ขอตอบตามที่รู้นะคะ ผิดถูกอย่างไร ขอเชิญท่านผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วย
คือ ที่ว่ามีมาก่อนพุทธกาลเพราะว่า ศีลแปลว่าปกติหรือปกติของมนุษย์ต้องมีศีล
ใครที่ไม่มีศีลคือ คนผิดปกติ
มนุษย์นั้นมีมาก่อนพุทธกาล คือ มนุษย์ในต้นกัปป์ต้นกาล ที่มีแสงสว่างในตัว
กินอาหารทิพย์ ไม่ต้องทำมาหากินให้เสียเวลาของการปฏิบัติธรรม
มนุษย์ในสมัยนั้นทุกคนดีหมด ทุกคนเป็นปกติมีศีลในตัวเองคือ
1.ไม่ฆ่าหรือเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น
2. ไม่เอาของผู้อื่นมาเป็นของตน ไม่โขมย
3. ไม่ละเมิดของรักของผู้อื่น พอใจในคู่ครองของตน
4. ไม่โกหก ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดส่อเสียด ไม่ชวนทะเลาะ
5. ครองสติได้เสมอ คือไม่หาเหตุให้เสียสติ ไม่ดื่มของมึนเมา
พอต่อมาเกิดมีบางคนที่เริ่มผิดปกติ คือเริ่มคิดอยากกินอาหารอื่นที่ไม่ใช่อาหารทิพย์
จึงมีการเริ่มกินคูดดิน และ มูลดิน และสิ่งหยาบๆ ต่อมา
จากกายทิพย์จึงเริ่มเปลี่ยนเป็นกายหยาบ จากกายที่มีแสงสว่างก็เริ่มหมองและหยาบขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มมีผิวพรรณแตกต่างกันตามอาหารหยาบที่กินเข้าไป กินมากก็หยาบมาก แตกต่างมาก
มีการสร้างอวัยวะเพื่อย่อยอาหาร และเพื่อการขับถ่ายของกากอาหารเกิดขึ้น
เกิดเป็นหญิง เป็นชาย ความแตกต่างมีมากขึ้นเรื่อยๆ
ผิวพรรณก็เปลี่ยนไปตามระดับความปกติที่มีอยู่ในตัวคือตามระดับของศีลที่มีอยู่
ความผิดปกติคือ ความมีศีลลดลง ดังนี้
เมื่อนิยมกินอาหารหยาบมากขึ้น จึงเกิดการสะสมอาหารและการแก่งแย่งอาหารเกิดขึ้น
เป็นเหตุของการทะเลาะวิวาท นั่นคือเริ่มผิดศีล ข้อสี่
เมื่อมีการสะสม คือการเอาของส่วนรวมมาเป็นของตน ของส่วนรวมก็ขาดแคลน
จึงมีการฉกฉวยและลักขโมยเกิดขึ้น นั่นคือเริ่มผิดศีลข้อสอง
เมื่อทะเลาะก็ลุกลามถึงการลงไม้ลงมือ ประทุษร้ายฝ่ายตรงข้าม
และเบียดเบียนชีวิตเขา นั่นคือเริ่มผิดศีลข้อหนึ่ง
เมื่อมีจิตกำหนัดในเพศตรงข้าม และทำสิ่งที่น่าอาย จนต้องมีการสร้างที่กำบังสำหรับกระทำซึ่งความละอายนั้น
และไม่เพียงพอเฉพาะคู่ของตน จึงมีการละเมิดคู่ของผู้อื่น นั่นคือเริ่มผิดศีลข้อสาม
ความหยาบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนมาถึงยุคของการกำเนิดของน้ำเมา
ที่ผลไม้ตกค้างอยู่ในโพรงไม้ที่มีน้ำฝนอยู่เกิดการหมัก และเกิดเป็นน้ำเมาขึ้น
และมีการดื่มเสบน้ำเมาจนเป็นเหตุของการขาดสติ คือเกิดความผิดปกติของข้อที่ห้า
นั่นคือเริ่มผิดศีลข้อห้า
จะเห็นว่าระดับของความผิดปกตินั้นเริ่มจากความคิดก่อนคือ มโนกรรม
คือคิดอยากลองของแปลก( อยากกินดิน) จึงเริ่มกินดิน ซึ่งเป็นต้นเหตุของกรรมต่อไป
จากนั้นก็มีปัญหาพูดว่ากล่าวกัน ทะเลาะ ตักเตือนกัน
เธอกินมาก ฉันกินน้อย เธอเก็บมาก ฉันเก็บน้อย ... เกิดไม่ยุติธรรม ขึ้น
คือเมื่อขาดธรรม ขึ้นในใจ เรื่องก็ขาดการยุติ เกิดขึ้นเป็น วจีกรรม
เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง ขอดีๆไม่ให้ ก็ขโมย หรือตัดสินข้อวิวาทด้วยกำลัง เกิดเป็น กายกรรม
ปัญหาต่างๆจากความผิดปกติก็เป็นดังนี้แล
ผู้ที่รักษาความเป็นปกติได้
นั่นคือ ผู้ที่เอาใจหยุดไว้ตรงกลางกายเสมอ เอาใจหลบภัยไว้ตรงนั้น
ไม่มีสิ่งใดสามารถมากระทบให้เกิดความผิดปกติขึ้น รักษาความปกติได้ตลอดเวลา
ความใส สว่าง บริสุทธิ์จึงเกิดขึ้น และได้เป็นมนุษย์ปกติเหมือนกาลก่อน คือได้พบกายทิพย์
กายธรรม ที่สะอาดบริสุทธิ์ล้วนๆ เหมือนเมื่อครั้งต้นกัปป์ต้นกาล
เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรม ความยฺติจึงเกิดขึ้น เป็นความยุติธรรม
นั่นคือทุกคน(ควร)เป็นเหมือนกันหมด คือมีความปกติกันหมด
ปัญหาและความขัดแย้ง และความทุกข็ต่างๆก็จะหมดไป
จึงเกิดมีความเมตตา ปรารถนาให้มีความปกติเกิดขึ้นกับทุกคน
ท่านผู้มีกายธรรมนั้นจึงได้มาโปรด สั่งสอนให้ทุกคนกลับมาเป็นปกติ
คือกลับมารักษาศีล รักษาความบริสุทธ์ เพื่อให้ทุกคนได้กลับเป็นกายทิพย์กายธรรม
ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย
เหมือนเมื่อครั้งหนึ่งที่นานมา ที่น้านนนนน...นาน มา
#12
โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 02:07 AM
น้าจี้
#13
โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 02:23 AM
ได้ยินคำว่า ชัด ใส ปิ้ง ก็ทำให้คิดถึงและระลึกถึงหมู่คณะตอนไปปฏิบัติธรรมที่สุขสว่างค่ะ
ได้รู้จักอย่างชัด ใส ปิ้ง ของจุดหมายของหมู่คณะก็ที่นี่เอง รวมทั้งกระทู้นี้ด้วยค่ะ
ขอบุญกุศลที่เกิดจากการให้ปัญญานี้ถึงแก่พระอาจารย์ทุกรูปและทีมงานทุกคนนะคะ
#14
โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 02:48 AM
#15
โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 08:36 PM
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#16
โพสต์เมื่อ 13 April 2006 - 12:58 AM
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#17
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 05:35 PM
#18
โพสต์เมื่อ 18 March 2007 - 03:30 PM