การปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
*
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
*
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง
เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระพุทธศาสนาแปลว่าศาสนาของพระพุทธเจ้า
คำสอนของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
และผลที่ได้จากการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เหล่านี้
รวมเข้าในคำว่าศาสนาของพระพุทธเจ้า หรือพุทธศาสนาทั้งหมด
และพระพุทธศาสนาดังกล่าวนี้ที่เป็นคำสอน เมื่อกล่าวอย่างสรุปคือโดยย่อ
ก็เป็นคำสอนที่สอนให้ ละบาปอกุศลคือความชั่วทั้งหมด
ให้ประกอบกุศลคือความดีทั้งหมด และให้ชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
นี้เป็นพุทธศาสนาที่เป็นคำสอน ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ให้ปฏิบัติโดยย่อ
และการปฏิบัตินั้นก็เป็นการปฏิบัติตามคำสอนนี้
แม้การปฏิบัติก็เป็นพุทธศาสนา ผลที่ได้จากคำสอนนี้ก็เป็นพุทธศาสนา
และคำสอนดั่งกล่าวมานี้ การปฏิบัติดังกล่าวมานี้ พร้อมทั้งผลของการปฏิบัติ
๒
เมื่อแสดงอีกชื่อหนึ่ง ก็ได้แก่ศีลสมาธิปัญญา
ไตรสิกขา
ศีล นั้นคือความประพฤติปรกติเรียบร้อยดีงาม ทางกาย ทางวาจา ทางใจ
ตามพระวินัยซึ่งเป็นพระบัญญัติของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ศีลจึงต้องมีวินัย และเมื่อปฏิบัติตามวินัยก็ชื่อว่าศีล
สมาธิ นั้นได้แก่ความที่ทำจิตให้สงบตั้งมั่น อยู่ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งของความสงบทั้งหลาย
หรือเป็นที่ตั้งของกุศลธรรม คือธรรมะที่ดีที่ชอบทั้งหลาย
( เริ่ม ๑๗๔/๑ ) สมาธินี้เป็นความสำคัญ เพราะว่าจิตใจนี้ถ้าไม่มีสมาธิ
ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ และไม่สามารถจะเกิด ปัญญา ได้
ต่อเมื่อจิตมีสมาธิจึงจะทำให้เกิดการปฏิบัติทางกายวาจาใจได้
และทำให้เกิดปัญญาได้
เพราะสมาธินี้เมื่อกล่าวอย่างย่อที่สุด ก็คือความตั้งใจ
จะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ก็ต้องมีความตั้งใจ
คือตั้งใจที่จะทำ ตั้งใจที่จะพูด ตั้งใจที่จะคิด จึงเกิดการทำการพูดการคิดขึ้นได้
และจะรู้อะไรที่เป็นปัญญาก็ต้องมีความตั้งใจ คือตั้งใจที่จะรู้
ดังเช่นการมาฟังธรรมะซึ่งเป็นการอบรมกรรมฐาน ผู้ฟังก็ต้องตั้งใจฟัง
คือตั้งใจฟังคำพูดที่พูดออกมานี้ จึงจะสามารถได้ยินคำพูดนี้ทุกคำ
และเมื่อได้ยินคำพูดทุกคำ จึงจะมีความเข้าใจในเรื่องที่พูด
ความเข้าในเรื่องที่พูดนี้แหละเป็นตัวปัญญาอย่างหนึ่ง
ถ้าหากว่าขาดสมาธิในการฟัง คือไม่มีความตั้งใจฟัง ไม่มีการรวมใจเพื่อจะฟัง
ก็ไม่สามารถจะได้ยินคำพูดนี้ทุกคำได้ และจะไม่เข้าใจ จึงไม่ได้ปัญญาในการฟัง
เพราะฉะนั้น สมาธินี้จึงสำคัญมาก คือความตั้งใจ
ทุกคนย่อมมีสมาธิคือความตั้งใจที่เป็นพื้นฐานอยู่ด้วยกันทุกคน น้อยหรือมาก
๓
เหตุที่ต้องฝึกจิตให้เกิดสมาธิ
แต่ว่าโดยปรกติแล้วจิตใจนี้มักจะดิ้นรนกวัดแกว่ง
กระสับกระส่ายไปในอารมณ์ทั้งหลาย ปรากฏเป็นความชอบบ้างหรือเป็นความรักบ้าง
เป็นความชังหรือความเกลียดชังบ้าง ถ้าไม่เช่นนั้นจิตนี้ก็มักจะง่วงเหงาหาวนอน
ซึมเซาไม่โปร่งไม่แจ่มใส หรือถ้าไม่เช่นนั้นจิตนี้ก็มักเคลือบแคลงสงสัยโน่นสงสัยนี่
ไม่ได้ความตั้งใจที่แน่นอน เหล่านี้เรียกว่าเป็นนิวรณ์
คือเป็นเครื่องกั้นจิตไว้ไม่ให้สามารถได้สมาธิ ไม่ให้สามารถได้ปัญญา
จิตที่มีความตั้งใจอยู่ด้วยกัน อันเป็นพื้นฐานอยู่ด้วยกันทุกคนนี้
จึ่งไม่เป็นความตั้งใจมั่น คือไม่ตั้งอยู่มั่นคง ตั้งอยู่ได้ประเดี๋ยวประด๋าว
แล้วก็ฟุ้งซ่านกวัดแกว่ง หรือว่าง่วงเหงาหาวนอน หรือว่าเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ
ฉะนั้น คนเราจึงได้ทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ผิดๆพลาดๆ
และจึงไม่ได้ปัญญาที่เป็นตัวความรู้จริงในสิ่งทั้งหลาย แม้ว่าที่สมควรจะรู้
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องฝึกจิตใจนี้ให้ได้สมาธิให้มากขึ้น
ด้วยการปฏิบัติในกรรมฐาน ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้
ดังเช่นที่ได้ตรัสสอนให้ตั้งสติคือความนึกความระลึกได้ พร้อมทั้งความรู้ตัว
อยู่ในที่ตั้งของสติ ๔ ประการ คือ กาย เวทนา จิต และ ธรรม
ดังที่ได้มีการสวด และมีการอธิบายมาโดยลำดับ
กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
กายก็คือกายอันนี้ ซึ่งประกอบด้วยส่วนทั้งหลาย
ของร่างกายนี้เป็นอันมาก เป็นต้นว่าลมหายใจเข้าลมหายใจออก
การหายใจเข้าการหายใจออก ซึ่งเป็นตัวชีวิตของทุกๆคน
เพราะฉะนั้น จึงได้ตรัสสอนให้กำหนดที่ลมหายใจเข้าออก
๔
คือตั้งสติความระลึกรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก
หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าเราหายใจเข้า หายใจออกก็ให้รู้ว่าหายใจออก
และพระอาจารย์ก็ได้สอนไว้ง่ายๆ ให้กำหนดคำว่าพุทโธ เช่นหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
ให้จิตรวมอยู่ที่ลมหายใจเข้าพุท ลมหายใจออกโธ ไม่ให้ไปข้างไหน
ถ้าเผลอสติใจออกไป ก็นำกลับเข้ามาตั้งมั่นไว้ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกใหม่
ดั่งนี้ ก็เป็นข้อหนึ่งหรือวิธีหนึ่ง สำหรับฝึกจิตให้เป็นสมาธิ
ปัญญา ๓
และเมื่อตั้งใจฝึกไปดั่งนี้ จะทำให้จิตรวมดีขึ้นมั่นคงขึ้น
ก็นำจิตที่ตั้งมั่นดีขึ้นนี้ไปทำงาน งานที่ทำนั้นก็มีต่างๆ สุดแต่ใครจะทำงานอะไร
ก็ใช้จิตที่ตั้งมั่นดีนี้ทำงานอันนั้น แม้ว่าต้องการจะเรียนรู้อะไร
ก็ใช้จิตที่ตั้งมั่นดีนี้ในการเรียนรู้ เช่นในการอ่านหนังสือ ในการฟัง
ในการฝึกหัดปฏิบัติต่างๆ ให้จิตรวมอยู่ ตั้งมั่นอยู่ในการเรียน ในการฝึกหัดปฏิบัตินั้นๆ
ก็จะช่วยทำให้ความจำก็ดีขึ้น จะทำให้ความรู้ความเข้าใจก็เร็วขึ้น ง่ายขึ้น
จึงเป็นเครื่องเจริญปัญญา
และยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็เป็นตัวปัญญาที่พระพุทธเจ้าประสงค์
คือให้รู้จักการกระทำทางกายทางวาจาทางใจของตน
อันหมายรวมทั้งการพูดด้วย และการคิดนึกต่างๆด้วย
ให้มีปัญญาที่จะตรวจสอบอยู่เสมอ ว่าผิดชอบชั่วดีอย่างไร ให้คุณให้โทษอย่างไร
ถ้าเป็นการพูดการทำการคิดที่ไม่ดี ก็ให้รู้จักว่าไม่ดีอย่างไร และที่ดีก็ให้รู้จักว่าดีอย่างไร
เรียกว่าให้รู้จักเหตุรู้จักผลนั้นเอง นี้เป็นหน้าที่ของปัญญาคือความรู้จักเหตุรู้จักผล
และความรู้จักเหตุรู้จักผลนี้ ก็เป็นเหตุผลตามสามัญสำนึกนี่แหละ
เป็นเหตุเป็นผลตามที่ศึกษาเล่าเรียนมา ได้ยินได้ฟังมานี่แหละ
๕
เป็นเหตุผลที่ได้ประสบพบผ่านมาจากการกระทำของตน
จากการพูดของตน จากการคิดของตนนี่แหละ
ให้รู้จักว่าอันนี้ดีคือดีอย่างนี้ๆ อันนั้นไม่ดีคือไม่ดีอย่างนั้นๆ
แม้ว่าจะรู้ไปตามศรัทธาคือความเชื่อตามศาสนาที่นับถือก่อนก็ได้
จะเป็นความรู้ไปตามที่ศึกษาเล่าเรียนมาจากศิลปวิทยาการนั้นๆก็ได้
หรือว่าจะเป็นความรู้ที่เกิดจากการที่ตนได้สังเกตุสังกามาด้วยตนเองก็ได้
ก็รวมความเข้าแล้วก็เป็น ๓
คือเป็นปัญญาคือความรู้ที่ได้จากการสดับฟังการอ่านต่างๆอย่างหนึ่ง
เป็นความรู้ที่ได้จากความคิดนึกพิจารณาไตร่ตรองอย่างหนึ่ง
เป็นความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติอบรมต่างๆประการหนึ่ง
ก็พิจารณากำหนดให้รู้จัก เหตุผล ของสิ่งที่ได้สดับตรับฟังมา หรือสิ่งที่ได้อ่าน
ให้รู้จักความคิดของตัวเอง ความคิดอ่านของตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ให้รู้จักการฝึกหัดปฏิบัติอบรมของตัวเองว่าเป็นอย่างไร
ตัวปัญญาที่แท้จริง
แล้วจะได้ตัวปัญญาที่เป็นความรู้นี้
ที่มีลักษณะเป็นความรู้ในด้านเจริญ เป็นความรู้ในด้านเสื่อม
เป็นความรู้ในด้านที่จะปฏิบัตินำตนให้พ้นจากด้านเสื่อมไปสู่ด้านเจริญ
ดั่งนี้แหละจึงเป็นตัวปัญญา คือรู้จักทางเสื่อม รู้จักทางเจริญ
รู้จักปฏิบัติตนให้พ้นจากทางเสื่อมไปสู่ทางเจริญ อย่างแท้จริง
จึงรวมลงที่สัจจะคือตัวความจริง ให้รู้ความจริงในด้านเสื่อมด้านเจริญ
และในด้านที่จะปฏิบัติอย่างไร จึงจะพาตนให้พ้นเสื่อมไปสู่เจริญได้
นี้เป็นตัวปัญญาที่แท้จริง
๖
ข้อว่าปัญญาเกิดจากสมาธิ
ซึ่งปัญญาที่กล่าวมานี้ทั้งหมดนั้น ย่อมได้จากสมาธินี่เอง คือความที่มีจิตตั้งมั่น
คือมีความตั้งใจมั่นที่เป็นสมาธินี้ แล้วทุกคนจะได้ปัญญาขึ้นมาโดยลำดับ
ที่เกิดจากการอ่าน การสดับตรับฟังบ้าง เกิดจากการคิดค้นพินิจพิจารณาบ้าง
เกิดจากการปฏิบัติฝึกอบรมบ้าง ปรากฏเป็นตัวความรู้ฉลาด รู้จักเสื่อม รู้จักเจริญ
รู้จักการปฏิบัติที่จะให้พ้นเสื่อมไปสู่ความเจริญต่างๆ
ปัญญาดังกล่าวนี้ย่อมใช้ได้ทั้งในทางคดีโลก และในทางคดีธรรม
สามารถที่จะนำตนให้ดำรงอยู่ด้วยดีในโลก
ให้เจริญในธรรมะปฏิบัติของพระพุทธเจ้าได้เต็มที่
สำหรับในทางคดีธรรมที่เป็นทางธรรมะปฏิบัติในพุทธศาสนานั้น
ต้องการที่จะให้ละชั่วคืออกุศลธรรมทั้งหลาย
ต้องการที่จะให้ทำดีคือประกอบกุศลธรรมทั้งหลาย
ตั้งใจที่จะให้ชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
อันนี้แหละเป็นบทสรุปที่สุด
ฉะนั้น เมื่อได้ปฏิบัติมาตามหลักดังกล่าวนี้
คือปฏิบัติมาในหลักศีล คือทำตนให้เป็นผู้ที่มีศีล มีความประพฤติดี มีวินัย
และฝึกตนให้มีสมาธิให้มีความตั้งใจมั่นดี คือมีความตั้งใจที่เป็นพื้นนั่นแหละแต่ให้มั่นคง
และให้มีปัญญาดั่งที่กล่าวมา ก็ชื่อว่าได้ปฏิบัติในพุทธศาสนา
จะรู้จักพุทธศาสนา หรือไม่รู้จักก็ตาม จะนับถือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์
หรือไม่นับถือพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์ก็ตาม เมื่อตนปฏิบัติให้ถูกต้องดั่งนี้
ตามหลักของศีล หลักของสมาธิ หลักของปัญญา ดังกล่าวมานี้
ก็ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติละชั่ว ปฏิบัติทำดี และปฏิบัติชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส
อันเป็นพุทธศาสนา ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติพุทธศาสนาโดยแท้จริง
๗
เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนานี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นศาสนาสากล
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนแก่ชาวโลกทั้งสิ้น
ไม่จำกัดว่าชายหญิง เด็กผู้ใหญ่ ชาตินั้นชาตินี้ หรือศาสนานั้นศาสนานี้
ทุกคนสามารถที่จะปฏิบัติให้ได้รับผลดีด้วยกันทั้งนั้น
ต่อไปนี้ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
*
![รูปภาพ](/forum/uploads/profile/photo-thumb-1376.jpg?oh=7c5b25ccb3492e287ba66852b211cbc2&oe=5490980b&__gda__=1422188809_9d970ac596f3bd81b7c88042d6d13b41)
การปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
เริ่มโดย สิริปโภ, Feb 21 2006 09:43 PM
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 09:43 PM
#2
โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 08:31 PM
สาธุค่ะ
แม้มืคตื้อมืดมิด ก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม
สมาธิไม่ใช่แค่เพียงเพื่อผ่อนคลาย
แม้มืคตื้อมืดมิด ก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม
สมาธิไม่ใช่แค่เพียงเพื่อผ่อนคลาย
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
สุนทรพ่อ
muralath2@hotmail
#3
โพสต์เมื่อ 18 March 2007 - 03:46 PM
สาธุ