[attachmentid=735]
ผู้ ชี้ ห น ท า ง ส ว่ า ง
นรชนใดห่อปลาเน่าด้วยใบหญ้าคา แม้ใบหญ้าคาของนรชนนั้น ก็ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไปเสพคนพาล ก็ฉันนั้น
นรชนใดห่อกฤษณาด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของนรชนนั้น ก็ย่อมหอมฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไปเสพนักปราชญ์ ก็ฉันนั้น
เพราะเหตุนั้น บัณฑิตรู้ความเปลี่ยนแปลงของตน ดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่ควรเข้าไปเสพอสัตบุรุษ ควรเสพแต่สัตบุรุษ ด้วยว่า อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมพาให้ถึงสุคติ
การเจริญภาวนาเป็นทางลัดที่สุดที่จะกลั่นกาย วาจา ใจ ของเราให้ใส สะอาด บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์เป็นบ่อเกิดแห่งบุญกุศล เป็นทางมาแห่งความสุขและความสำเร็จทั้งมวลในชีวิต ถ้าเรามีความบริสุทธิ์มาก บุญก็เกิดขึ้นได้มาก ถ้ามีความบริสุทธิ์น้อย บุญก็ลดหย่อนลงไป เราจึงควรเจริญภาวนาอย่างสม่ำเสมอทุกๆ วัน เพื่อให้ชีวิตของเรามีความสุขความสำเร็จ จนกระทั่งเข้าถึงความสุขที่แท้จริง อันเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา
มีพระบาลีใน ขุททกนิกาย ชาดก กล่าวไว้ว่า
นรชนใดห่อปลาเน่าด้วยใบหญ้าคา แม้ใบหญ้าคาของนรชนนั้น ก็ย่อมมีกลิ่นเน่าฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไปเสพคนพาล ก็ฉันนั้น
นรชนใดห่อกฤษณาด้วยใบไม้ แม้ใบไม้ของนรชนนั้น ก็ย่อมหอมฟุ้งไป ฉันใด การเข้าไปเสพนักปราชญ์ก็ฉันนั้น
เพราะเหตุนั้น บัณฑิตรู้ความเปลี่ยนแปลงของตน ดุจห่อใบไม้แล้ว ไม่ควรเข้าไปเสพอสัตบุรุษ ควรเสพแต่สัตบุรุษ ด้วยว่า อสัตบุรุษย่อมนำไปสู่นรก สัตบุรุษย่อมพาให้ถึงสุคติ
บัณฑิต คือคนที่มีใจผ่องใสอยู่เสมอ มีความเห็นถูกต้อง รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป ดำเนินชีวิตด้วยสติและปัญญา ทั้งสอนตนเองได้ และสอนผู้อื่นได้ ใครไปคบหาสมาคม ก็จะได้รับการชักนำให้ละเว้นความชั่ว ทำแต่ความดี ปิดประตูอบายภูมิ และนำทางไปสู่สุคติโลกสวรรค์ได้
เหมือนอย่างพระเจ้าพรหมทัต ที่ได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากพระโพธิสัตว์ จึงกลับตัวกลับใจเลิกทำบาปกรรมได้ เพราะการคบหาบัณฑิตนั่นเอง
*เรื่องมีอยู่ว่า พระเจ้าพรหมทัต ท่านหลงผิด ไปติดใจในการเสวยเนื้อมนุษย์ จึงทำบาปกรรมจนถูกเนรเทศออกไปจากเมือง พระองค์ได้ไปอาศัยอยู่ใต้ต้นไทรในป่า เปลี่ยนชื่อเป็น โจรโปริสาท คอยดักฆ่าคนที่เดินทางผ่านมา แล้วเอาเนื้อมากิน จนข่าวนี้ลือกันไปทั่วชมพูทวีป
วันหนึ่ง ท่านไปจับพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีป เพื่อบูชายัญรุกขเทวดาประจำต้นไทร ยกเว้นพระเจ้าสุตโสม ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะพระองค์เคยแนะนำสั่งสอนในสมัยที่เรียนอยู่ด้วยกัน
ฝ่ายรุกขเทวดามีความกังวลใจ ไม่ปรารถนาจะให้ใครมาทำบาปที่วิมานของตนเอง จึงไปเข้าเฝ้าท้าวจาตุมหาราชและท้าวสักกะ เพื่อขอให้มาช่วยห้ามโจรด้วย
ท้าวสักกะแนะนำว่า ให้บอกโจรไปจับพระเจ้าสุตโสมมาอีกองค์หนึ่ง พระเจ้าสุตโสมท่านเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก พระองค์จะสั่งสอนโจรโปริสาทให้กลับใจ เลิกกินเนื้อมนุษย์
รุกขเทวดาก็ทำตาม ไปแสดงอานุภาพให้โจรเห็น แล้วบอกให้ไปจับพระเจ้าสุตโสมมา
วันรุ่งขึ้นโจรไปจับพระเจ้าสุตโสม ในขณะที่ทรงสรงสนานอยู่ เผอิญวันนั้น พระเจ้าสุตโสมมีสัญญาว่า จะกลับไปฟังธรรมจากพราหมณ์ เพราะพระองค์เป็นผู้รักษาสัจจะและใฝ่ในการศึกษา จึงบอกโจรว่า จะขอกลับไปฟังธรรมจากพราหมณ์ตามสัญญาก่อน แล้วจะกลับมาให้กิน
ตอนแรกโจรโปริสาทไม่ยอมเชื่อว่า คนที่พ้นจากมือของตนไปแล้วจะยอมกลับมาอีก แต่ครั้นพระเจ้าสุตโสมปฏิญาณถึงสัจจะของพระองค์ แล้วจะทำการสาบาน จึงยอมปล่อยตัวไป และคิดว่า ถ้าพระเจ้าสุตโสมไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร ตนเองก็เป็นกษัตริย์เหมือนกัน จะเอาเลือดจากแขนของตนมาบูชายัญแทน
เมื่อพระเจ้าสุตโสมกลับไปฟังธรรมและพระราชทานรางวัลแก่พราหมณ์แล้ว ก็ไปทูลลาพระราชบิดาพระราชมารดา แล้วเสด็จกลับไปหาโจรโปริสาทอีกครั้ง
ขณะนั้น โจรกำลังก่อไฟ และนั่งถากหลาวอยู่ เมื่อเห็นพระเจ้าสุตโสมเสด็จมาก็ดีใจ แต่อดแปลกใจไม่ได้ว่า ทำไมพระเจ้าสุตโสมถึงได้รักสัจจะยิ่งกว่าชีวิต ทั้งๆ ที่ทรงรู้ว่า หากกลับมาจะต้องถูกโจรเช่นตนกินเนื้อของพระองค์อย่างแน่นอน จึงทูลถามว่า พระองค์เห็นอานิสงส์อะไรในสัจจะ ถึงได้ยอมทิ้งปราสาทราชมณเฑียร และทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตกลับมาอีก
พระเจ้าสุตโสมจึงทรงแสดงอานิสงส์ของสัจจะว่า สัจจะ ย่อมดีกว่ารสทั้งหลายที่มีอยู่ในแผ่นดิน เพราะสมณพราหมณ์ที่ตั้งอยู่ในสัจจะ ย่อมข้ามพ้นฝั่งแห่งความเกิดและความตายได้ โจรโปริสาทมองดูพระพักตร์อันเบิกบาน และกิริยาที่องอาจดุจพญาราชสีห์ของพระเจ้าสุตโสม แล้วทูลถามว่า พระองค์ไม่กลัวตายเลยหรือ พระเจ้าสุตโสมตอบว่า พระองค์ได้ทำความดีทุกอย่างไว้อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว สิ่งที่ควรทำทุกอย่างก็ทำเสร็จแล้ว พระองค์จึงไม่กลัวตาย ไม่กลัวการเดินทางไปสู่ปรโลก
โจรโปริสาทได้สดับพระดำรัส จิตใจก็หวั่นไหว เขาคิดว่า ถ้าเรากินสัตบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอย่างนี้ ศีรษะของเราจะต้องแตกเป็น ๗ เสี่ยงแน่ จึงได้อ้อนวอนพระเจ้าสุตโสมให้แสดงธรรมที่ได้ฟังมาจากพราหมณ์ เพื่อตนจะได้รู้จักบาปบุญคุณโทษบ้าง
พระเจ้าสุตโสมจึงตรัสพระคาถา อันเป็นพระดำรัสของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้สดับมาจากพราหมณ์ว่า
การสมาคมกับสัตบุรุษเพียงคราวเดียวเท่านั้น ย่อมรักษาผู้สมาคมนั้นได้ การสมาคมกับอสัตบุรุษแม้มากครั้งก็รักษาไม่ได้ พึงคบกับสัตบุรุษ พึงทำความสนิทสนมกับสัตบุรุษ เพราะบุคคลรู้สัทธรรมของสัตบุรุษแล้ว ย่อมมีแต่ความเจริญไม่มีความเสื่อม
ราชรถที่เขาทำให้งามวิจิตรยังเก่าคร่ำคร่าได้ สรีระร่างกายก็เข้าถึงความชราได้ ส่วนธรรมะของสัตบุรุษ ย่อมไม่เข้าถึงความชรา สัตบุรุษกับสัตบุรุษด้วยกันย่อมรู้กันได้ ฟ้าและแผ่นดินไกลกัน ฝั่งข้างโน้นของมหาสมุทรเขากล่าวว่าไกลกัน แต่ธรรมะของสัตบุรุษและของอสัตบุรุษ ท่านกล่าวว่าไกลกันยิ่งกว่านั้น
โจรโปริสาทได้ฟังธรรมแล้ว มีจิตใจอ่อนโยน ความปีติได้แผ่ซ่านไปทั่วกาย จึงกราบทูลว่า จะถวายพรแด่พระเจ้าสุตโสม ๔ ข้อ พระเจ้าสุตโสมจึงขอพร
ข้อแรกว่า ขอให้หม่อมฉัน ได้เห็นพระองค์มีสุขภาพแข็งแรงตลอดร้อยปี
ข้อที่ ๒ ขอพระองค์อย่ากินกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์นั้นเลย
และข้อที่ ๓ ขอให้พระองค์ปล่อยกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์นั้น กลับไปสู่แว่นแคว้นของตนเถิด
โจรโปริสาทยอมถวายพรทั้ง ๓ ข้อตามลำดับ
พระเจ้าสุตโสมขอพรข้อที่ ๔ ว่า ขอพระองค์จงเว้นเนื้อมนุษย์เสียเถิด
โจรโปริสาทติดรสเนื้อมนุษย์มาก คิดว่าถ้าขาดเนื้อมนุษย์ ตนคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ จึงอ้อนวอนให้พระเจ้าสุตโสมขอพรอย่างอื่นแทน
แต่พระเจ้าสุตโสมยังทรงยืนยันว่า จะขอให้โจรเลิกกินเนื้อมนุษย์ และให้โอวาทว่า คนใดมัวรักษาของรักอยู่ว่า นี่เป็นที่รักของเรา ทำตนให้เหินห่างจากความดี เสพของรักทั้งหลายอยู่ เหมือนนักเลงดื่มสุราที่เจือไปด้วยยาพิษฉะนั้น คนนั้นจะได้ทุกข์ในเบื้องหน้า
ส่วนบุคคลใดในโลกนี้ รู้สึกตัวแล้ว ละของรักได้ เสพอริยธรรมแม้ด้วยความฝืนใจ คนนั้นจะได้สุขในเบื้องหน้า เพราะความประพฤตินั้นแล
เมื่อให้โอวาทแล้ว ทรงประสงค์จะให้กำลังใจโจรโปริสาทมีความอาจหาญในการสละเนื้อมนุษย์ จึงตรัสว่า
นรชนพึงสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เมื่อระลึกถึงธรรมะ พึงสละอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิตทั้งหมดเถิด
โจรโปริสาทได้ฟังดังนั้น ก็ตัดใจจากความอาลัยในเนื้อมนุษย์ ได้คิดว่า
ท่านสุตโสมเป็นอาจารย์ของเรา และเราได้พูดไปแล้วว่าจะถวายพรแด่พระองค์ ชีวิตเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ต้องตาย เราจะเลิกกินเนื้อมนุษย์ เพื่อถวายพรแด่พระองค์ ในที่สุดโจรโปริสาทยอมถวายพร เลิกกินเนื้อมนุษย์ แล้วรับศีล ๕ จากพระเจ้าสุตโสม พระโพธิสัตว์ให้โจรโปริสาทรับศีล ๕ และได้พาโจรกลับสู่กรุงพาราณสี ให้ครองราชสมบัติดังเดิม พระเจ้าโปริสาททรงบำเพ็ญทานด้วยความไม่ประมาท ครองราชย์ด้วยทศพิธราชธรรม ไม่ลำเอียง และทำความดีจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์
เราจะเห็นว่า การคบบัณฑิต จะทำให้เราได้รับการถ่ายทอดความรู้และคุณธรรม ทำให้เราพลอยเป็นบัณฑิต ดำรงชีวิตอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาไปด้วย เปรียบเสมือนใบไม้ที่ห่อหุ้มของหอม ซึ่งจะพลอยหอมตลบอบอวลไปด้วยฉะนั้น การคบบัณฑิตจึงเป็นมงคลอย่างยิ่ง จะทำให้ชีวิตของเราประสบแต่ความสุขความเจริญ และจะดีที่สุดถ้าเราได้คบกับบัณฑิตภายใน คือเข้าถึงพระธรรมกาย ซึ่งเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานที่อยู่ในตัวของเราทุกคน พระธรรมกายเป็นแหล่งแห่งความสุขและคุณงามความดีทั้งมวล เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านปฏิบัติธรรมให้สม่ำเสมอ หมั่นทำใจหยุดใจนิ่ง ให้เข้าถึงพระธรรมกายกันทุกๆ คน
*มก. มหาสุตโสมชาดก เล่ม ๖๒ หน้า ๖๑๗